หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 515 เรื่องราวซับซ้อน (4)
ตอนที่ 515 เรื่องราวซับซ้อน (4)
จนถึงวันนี้ ประตูหอบรรพบุรุษเปิดกว้างอีกครั้ง ทำให้ทุกคนในตระกูลตื่นตะลึง วันนี้เพื่อต้องการบอกให้บรรพบุรุษว่ามีทายาทสืบทอดตระกูลแล้ว เขาซูอวี้เสียงมีทายาทแล้ว!
ในสวนบุษบาด้านหลัง ซูอวี้เหิงดึงเหยาเยี่ยนอวี่ไปแอบคุยกันเงียบๆ “พี่เหยา ท่านดูท้องของเฟิงอี๋เหนียงสิ เป็นบุตรชายจริงหรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ “ข้าไม่มีตาส่องเข้าไปลึกเช่นนั้น จะไปรู้ได้อย่างไร”
“ท่านไม่ใช่ว่าเก่งกาจด้านการแพทย์หรือ”
“ข้ารู้วิชาการแพทย์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเก่งทุกด้านเสียหน่อย”
“ท่านว่าหากนางได้บุตรชายจริงๆ คงขึ้นไปเหยียบหัวพี่สะใภ้ใหญ่ไปแล้วหรือเปล่า”
“คิดจะปีนขึ้นมาเหยียบหัวฮูหยินท่านโหว เกรงว่าคงไม่ง่ายเช่นนั้นหรือเปล่า” เฟิงฮูหยินน้อยก็ไม่ใช่ผู้ประเสริฐศรีเสียหน่อย
“มีบุตรชายก็คงไม่เหมือนกัน” ซูอวี้เหิงค่อนข้างรู้สึกอัดอั้นใจ เฟิงซิ่วอวิ๋นเทียบไม่ได้กับหู่พั่วและหลิวหลี พวกนางเป็นเพียงบ่าว ฐานะและชีวิตล้วนอยู่ในกำมือของนาย ต่อให้คลอดบุตรชายก็ไม่กล้าทรยศหักหลังนายหญิงอยู่แล้ว ทว่าเฟิงซิ่วอวิ๋นกลับเป็นบุตรีของตระกูลเฟิงเหมือนกัน อนาคตหากมีบุตรชาย แล้วจะยอมต่ำต้อยกว่าคนอื่นได้อย่างไร
“เจ้าน่ะ อย่าตีตนไปก่อนไข้สิ” เหยาเยี่ยนอวี่ตบมือซูอวี้เหิง แล้วพูดยิ้มๆ “ว่ากันว่ารถม้าถึงหน้าภูเขาก็ย่อมหาทางเดินรถจนเจอ ข้าไม่ได้มาสวนแห่งนี้นานมากแล้ว ไม่รู้ว่าสถานที่ที่พวกเราเล่นกู่เจิงเป็นเช่นไรบ้างแล้ว มิเช่นนั้นพวกเราไปเยี่ยมชมดูหน่อยเถอะ”
“ได้” ซูอวี้เหิงรีบละทิ้งเรื่องเคร่งเครียดทั้งหมด จูงมือเหยาเยี่ยนอวี่เดินออกจากประตู
“คุณหนูสามจะไปไหนหรือ” เฟิงซิ่วอวิ๋นจึงเห็นเหยาเยี่ยนอวี่และซูอวี้เหิงออกจากประตู จึงถามด้วยยิ้มจางๆ
“พวกเราไปดูทางฝั่งภูเขาจำลองเถอะ” ซูอวี้เหิงพูดไป ก็รีบพูดเพิ่มเติมก่อนที่เฟิงซิ่วอวิ๋นจะเอ่ย “ทางเดินฝั่งโน้นไม่ค่อยดี เจ้าอย่าตามไปเลย เจ้าอยู่เสวนากับเหล่าฮูหยินและสะใภ้ที่นี่เถอะ”
เฟิงซิ่วอวิ๋นที่กำลังจะพูดก็ต้องเก็บกลืนคำพูดเพราะซูอวี้เหิง ทำได้เพียงเม้มปาก แล้วมองพวกนางสองคนกุมมือกันจากไปอย่างมีความสุข
ทั้งสองกุมมือกันเดินขึ้นภูเขาจำลองเล็กๆ ซูอวี้เหิงเอาผ้าเช็ดหน้าซับหยาดเหยื่อบนใบหน้า แล้วเปรยว่า “โอ๊ย ร้อนจัง!”
ถนนเพียงเท่านี้ สำหรับเหยาเยี่ยนอวี่แล้วกลับสบายมาก ดังนั้นนางยังหายใจในจังหวะปกติ แค่นั่งอยู่กับราวศาลาเล็กแล้วมองซูอวี้เหิงที่หายใจหอบ “เจ้าห้ามขี้เกียจอีกแล้วนะ”
“เอ๊ะ? เหตุใดพี่สาวถึงดูไม่เหนื่อยเลย ไม่มีเหงื่อแม้แต่น้อยล่ะ” ซูอวี้เหิงเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าเหยาเยี่ยนอวี่ไม่เหมือนตนเอง
“ดังนั้นข้าจึงบอกเจ้า! อย่ามาแต่เกียจคร้านอยู่ในเรือน เจ้าไม่ขยับเขยื้อนร่างกายเลยหรือไร”
“ที่ไหนกันล่ะ!” ซูอวี้เหิงขยับเข้าไปสังเกตมองเหยาเยี่ยนอวี่อย่างไม่พอใจ แล้วยิ้มอย่างลึกลับ “ว่ามา แม่ทัพแอบถ่ายทอดพลังอะไรให้ท่านหรือเปล่า”
“หรือว่ารองแม่ทัพถังของเจ้าไม่มีวิชาใดๆ เลย? เขาไม่ได้สอนเจ้าหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่พูดไป ก็ยิ้มอย่างร่าเริง “มิน่าล่ะ คิดว่าเขาคงอยากเห็นเจ้านอนเกียจคร้านอยู่บนเตียงทุกเวลา จะนึกได้อย่างไรว่าต้องสอนวิชาอะไรให้เจ้าน่ะ”
ซูอวี้เหิงเขินจนแก้มแดงทันที แล้วตะคอก “นี่เป็นสิ่งที่ผู้เป็นพี่สาวควรพูดด้วยหรือ ท่านยิ่งอยู่ก็ยิ่งร้ายกาจแล้ว!”
ทั้งสองมัวหยอกล้อกันไปมา ไม่ทันสังเกตเห็นคนสองคนที่ลงจากยอดภูเขาจำลอง กระทั่งหนึ่งในนั้นพูดด้วยความตกตะลึง “คุณหนูสามกลับอยู่ที่นี่…เอ๊ะ นี่เหยาฮูหยินนี่!”
“บ่าวขอน้อมคำนับฮูหยิน คุณหนูสามเจ้าค่ะ! ทั้งสองเดินมาตรงหน้า แล้วโค้งคำนับพร้อมกัน
“ท่านนี้คือ…” เหยาเยี่ยนอวี่เห็นสตรีแปลกหน้า สายตามองไปยังท้องที่นูนขึ้นมาเล็กน้อย จึงเดาออกว่าผู้นี้คือใคร
“บ่าวสกุลหลี่เจ้าค่ะ” หลี่เจียฮุ่ยพลันน้อมคำนับ
เหยาเยี่ยนอวี่เห็นสตรีผู้นี้ดูถ่อมตนและมีมารยาท จึงยิ้มบางๆ “ที่แท้ก็คือหลี่อี๋เหนียงนี่เอง รีบนั่งเถอะ เจ้าตั้งครรภ์อยู่ เหตุใดถึงยังมาปีนเขาจำลองอีก”
“หมอหลวงเลี่ยวบอกว่าครรภ์เริ่มนิ่งแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องอุดอู้อยู่ในเรือนทุกวัน หมอตำแยที่ฮูหยินเชิญมาก็บอกว่า ปกติให้เดินเล่นมากๆ หน่อย จะได้คลอดง่ายเจ้าค่ะ” สกุลหลี่นั่งลงบนราวกั้นตรงข้ามเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วเอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อบนปลายจมูกและขมับ
เหยาเยี่ยนอวี่เห็นกระจางๆ ขึ้นตรงแก้มทั้งสองข้าง นี่น่าจะเป็นกระเริ่นเซิน ดังนั้นจึงเตือนด้วยความหวังดี “สตรีตั้งครรภ์เดินเยอะดีต่อตอนคลอดบุตรนั้นเป็นเรื่องจริง แต่พยายามอย่าปีนภูเขาสูงเช่นนี้ เจ้าแค่เดินเล่นอยู่กลางสวนก็พอแล้ว ปีนเขาอันตรายเกินไป ไม่ระวังอาจลื่นล้มได้ เดี๋ยวเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เจ้าคงจะเสียใจภายหลัง”
หลี่เจียฮุ่ยได้ยินชื่อเสียงของเหยาเยี่ยนอวี่มานานแล้ว รู้ว่านี่ก็คือหมอหลวงที่แม้กระทั่งฝ่าบาทก็ยังวางพระทัย นางให้คำแนะนำตนเช่นนี้ ก็คือวาสนาของตนเองแล้ว ดังนั้นพลันลุกขึ้นแล้วตอบกลับ “เจ้าค่ะ บ่าวจดจำคำพูดของฮูหยินไว้แล้ว ขอบคุณฮูหยินเป็นอย่างยิ่ง”
เหยาเยี่ยนอวี่พูดขึ้นต่อ “เจ้าตั้งครรภ์แล้ว ฮูหยินต้องดูแลเจ้าเป็นพิเศษแน่นอน ข้างกายเจ้าไม่ได้มีหมอตำแยเพียงคนเดียวหรือเปล่า เจ้าฟังคำแนะนำคนอื่นเยอะๆ อย่าฟังแต่คนเดียว”
สกุลหลี่ได้ยินคำพูดนี้ก็อดตะลึงงันไม่ได้ หลังจากได้สติกลับมาก็รีบน้อมคำนับให้เหยาเยี่ยนอวี่ “คำสอนของฮูหยินบ่าวจดจำไว้แล้ว ขอบคุณฮูหยินจริงๆ”
“เอาเถอะ พวกเราออกมาสักระยะแล้ว จะกลับไปพร้อมกันไหม” เหยาเยี่ยนอวี่พูดไป ก็พยุงซูอวี้เหิงขึ้น
“เจ้าค่ะ” สกุลหลี่พลันตอบกลับ
พวกนางเดินลงภูเขาจำลองอย่างช้าๆ สกุลหลี่ก็กล่าวอำลากับเหยาเยี่ยนอวี่และซูอวี้เหิง “คุณหนูสามและฮูหยินเชิญกลับก่อนเถอะ บ่าวไม่ส่งพวกท่านกลับไปแล้ว”
ซูอวี้เหิงพยักหน้า “ได้ เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
มองเหยาเยี่ยนอวี่และซูอวี้เหิงเดินจากไป หลี่เจียฮุ่ยค่อยๆ หุบยิ้ม แล้วถอนหายใจเบาๆ
“อี๋เหนียงออกมาสักระยะแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ” สาวใช้ด้านหลังพลันพยุงแขนของนาง แล้วพูดขึ้น
สกุลหลี่ยิ้มจางๆ แล้วพูดขึ้น “เฉียวเอ๋อร์ ตอนกลางคืนไปบอกฮูหยินว่า หมอตำแยคนนี้เกียจคร้านเกินไป ข้าอยากเปลี่ยนคน”
“เจ้าค่ะ ตอนกลางคืนบ่าวจะไปรายงานฮูหยินเจ้าค่ะ” สาวใช้พลันตอบกลับ
เหยาฮูหยิน หมอหลวงเหยา…ขอบคุณท่านจริงๆ! ระหว่างที่สกุลหลี่เดินกลับ มือข้างหนึ่งลูบหน้าท้องเบาๆ มุมปากยกยิ้มจางๆ
กลับกล่าวถึงเหยาเฟิ่งเกอพาบุตรสองคนไปกราบไหว้บรรพบุรุษ หลังจากนามของซูจิ่นหนิงบันทึกไว้ในปูมประวัติ งานเลี้ยงก็เริ่มขึ้น
สถานที่จัดงานเลี้ยงชายและหญิงถูกคั่นกลางด้วยทุ่งต้นอ้อ ถึงแม้ไม่ได้เชิญคณะละครเพลงมาแสดงรายการใด ทว่าเหตุเพราะทุกคนอารมณ์ดี ทุกคนที่มาเยือนล้วนเป็นญาติมิตรที่สนิทสนมกัน ถือเป็นงานเลี้ยงที่รื่นเริงยินดีทั้งเจ้าภาพและแขกเหรื่อ
ยามบ่าย ระหว่างทางที่กลับจากจวนติ้งโหว เหยาเยี่ยนอวี่ที่นั่งรถม้ากลับหลับใหลไป จู่ๆ รถม้าก็จอดลงอย่างกะทันหัน ทำให้ศีรษะของนางเกือบชนผนังรถม้า
“เหตุใดถึงขับเร็วเช่นนี้!” เซียงหรูตลบม่านขึ้นว่าต่อเถียนหลัว
“ฮูหยิน…มีคนมาขวางทางขอรับ” เถียนหลัวกระโดดลงจากแอกม้าแล้วดึงบังเหียนม้าไว้
ทหารจิ่นหลินที่ขวางทางกระโดดลงจากม้าแล้วเดินมาใกล้ พลางยกป้ายหยกขึ้น พร้อมพูดด้วยเสียงเรียบ “หมอหลวงเหยา เร็วเข้า ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาให้ท่านรีบไปกับพวกเรา!”
เหยาเยี่ยนอวี่ที่ยังคงสะลืมสะลือในตอนแรกก็ตื่นขึ้นมาทันที แล้วถาม “ฝ่าบาทเป็นอะไรไปหรือ”
ทหารจิ่นหลินไม่เคยมากความอยู่แล้ว แค่ประสานมือคารวะ “หมอหลวงเหยาอย่าถามเลย ท่านถึงวังหลวงใต้ก็จะรู้เอง”