หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 518 ระบอบการปกครองเปลี่ยนไป (3)
ตอนที่ 518 ระบอบการปกครองเปลี่ยนไป (3)
“ตอนนี้สิ่งที่ข้ากังวลที่สุด หากพรุ่งนี้ฝ่าบาทฟื้นขึ้นมาไม่ได้ ที่นี่จะเกิดอะไรขึ้น” เหยาเยี่ยนอวี่พูดจบ ตรงหน้าของนางมีภาพความฝันเมื่อครู่ลอยขึ้นมาทันที
กรงเล็บปีศาจครีบสีทองเหมือนกำลังเตือนภัยล่วงหน้า มันยื่นมาจู่โจมเช่นนั้น เหมือนจะควักหัวใจของนางไปได้ทันที แค่นึกถึงก็รู้สึกปวดและสั่นสะท้านไปทั้งเรือนร่างแล้ว
“เจ้าแค่ทำให้สุดความสามารถก็พอแล้ว สำนักหมอหลวงมีคนมากมายขนาดนั้น พวกเขาคงไม่จับตามองเจ้าแต่เพียงผู้เดียวหรอก” เว่ยจางปลอบโยนเบาๆ
แต่คำพูดเช่นนี้ ตัวเขาเองก็ยังไม่เชื่อเลย
สำนักหมอหลวงมีคนนับร้อย ทว่าผู้มีสิทธิ์จับชีพจรและรักษาฮ่องเต้นั้นมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น และตอนนี้ เหยาเยี่ยนอวี่เป็นหนึ่งในนั้น อีกอย่างนางยังเข้าไปรักษาในขณะที่หัวหน้าหมอหลวงสองคนจนปัญญา
และก็หมายความว่าตอนนี้ทุกคนฝากความหวังไว้กับนางแล้ว หากครั้งนี้สำเร็จ นางคงได้เลื่อนตำแหน่งสูงส่ง หากไม่สำเร็จ ก็จะกลายเป็นคนบาปพันปี หลังจากนี้ไม่ว่าองค์ชายคนไหนได้ขึ้นครองราชย์ เพื่อให้ข้อสรุปกับคนทั้งแคว้น คงไม่มีทางปล่อยหมอหลวงหญิงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไปได้อยู่แล้ว
ทว่าไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะอยู่เคียงข้างนาง
เหยาเยี่ยนอวี่พักผ่อนอยู่ในอ้อมกอดของเว่ยจางสักพัก จู่ๆ ก็พูดว่า “ข้าหลับต่อไม่ได้แล้ว”
“ทำไมล่ะ” เว่ยจางมองสตรีในอ้อมกอดที่ฝืนลุกขึ้นนั่ง จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้
“ข้าต้องคิดหาวิธี ทำอย่างไรก็ได้ให้ฝ่าบาทฟื้นขึ้นมาเร็วที่สุด เจ้าออกไปก่อนเถอะ ให้ข้าอยู่ตามลำพังสักพัก” เหยาเยี่ยนอวี่พูดไป ก็นั่งลงบนตั่งไม้
“ได้ ข้าจะออกไปเฝ้าที่ด้านนอก เจ้ามีอะไรก็เรียกข้าแล้วกัน” เว่ยจางยื่นมือลูบมวยผมอันยุ่งเหยิงของนาง แล้วขมวดคิ้ว “ข้าสั่งให้คนเอาเสื้อผ้ามาให้เจ้า รอเจ้าอาบน้ำเสร็จแล้วค่อยเปลี่ยน”
“อืม ขอบคุณสามีจริงๆ” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอย่างซุกซน ราวกับสายลมแผ่วเบาที่พัดพาความทุกข์ในใจของทั้งสองไป
เว่ยจางยิ้มน้อยๆ ปลายนิ้วสัมผัสกับแก้มนางเบาๆ แล้วหันหลังเดินจากไป
จากนั้นก็มีนางกำนัลส่งชุดเซินอีสีขาวเข้ามา เหยาเยี่ยนอวี่ปล่อยผมมวยออก เก็บเครื่องประดับบนศีรษะออกให้หมด แล้วแต่งกายเป็นบุรุษ ทางฝั่งนี้เพิ่งแต่งกายเสร็จ ฮองเฮาก็ส่งคนมาเยือน เหยาเยี่ยนอวี่รู้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว จึงจัดคอเสื้อให้เรียบร้อย แล้วตามเข้าไปในตำหนักหลัก
หลังจากถวายบังคมเสร็จ ฮองเฮาก็ไม่อยากตรัสอะไรมากมาย แค่ถามเหยาเยี่ยนอวี่โดยตรง “พระอาการของฝ่าบาท เจ้ามองว่าอย่างไร”
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจเบาๆ แล้วตอบกลับเสียงเรียบ “พระเศียรของฝ่าบาทได้รับการกระทบอย่างรุนแรง โลหิตที่คั่งในพระมัตถลุงค์เป็นเหตุให้หมดสติไป หม่อมฉันพยายามทำให้พระโลหิตไหลเวียนด้วยวิธีการรมยาแบบไท่อี่แล้ว ทว่าเหตุเพราะโลหิตคั่งร้ายแรงเกินไป กำลังภายในของหม่อมฉันไม่แข็งแกร่งพอ ดังนั้นฝังเข็มเพียงครั้งเดียวคงไม่พอ หม่อมฉันอยากรอให้กำลังภายในฟื้นฟู แล้วค่อยฝังเข็มให้ฝ่าบาทต่อ ขณะเดียวกันก็ใช้ยาช่วยในการรักษาไปด้วย ฝ่าบาทต้องฟื้นขึ้นมาโดยเร็วแน่นอนเพคะ”
“เร็ว? เร็วดั่งที่ว่าคือเวลาใดกัน เจ้าทูลเวลาให้ชัดเจน” ฮองเฮาพูดอย่างเย็นชา
“ฮองเฮาเหนียงเหนียงได้โปรดอภัย หม่อมฉันก็ยังไม่กล้าทูลเพคะ”
“ไม่กล้าทูล?!” ฮองเฮายืดหลังตรง “เจ้าไม่ใช่หมอเซียนหรือไร เหตุใดถึงไม่กล้าทูล”
เหยาเยี่ยนอวี่ลอบกัดฟันกรอด แล้วพยายามทูลกลับอย่างใจเย็น “เรื่องพระอาการประชวรนั้นเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้นหม่อมฉันจะพยายามรักษาสุดความสามารถ ให้ฝ่าบาทฟื้นขึ้นมาโดยเร็วที่สุดเพคะ”
ฮองเฮาทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา แล้วถาม “เจ้ามั่นใจมากเพียงใด”
“ทูลฮองเฮา หม่อมฉันมั่นใจหกส่วนเจ้าค่ะ”
“แค่หกส่วน แล้วเจ้ายังกล้าให้คำมั่นสัญญาเช่นนี้อีกหรือ!” ฮองเฮาเกรี้ยวโกรธทันที “หากฝ่าบาทเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ต่อให้เจ้ามีสิบหัวก็ยังไม่พอเอามาประหาร!”
เหยาเยี่ยนอวี่ตื่นตกใจทันที ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
“ตามความหมายของฮองเฮาเหนียงเหนียง กระหม่อมควรทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” จู่ๆ จางชางเป่ยก็เดินออกจากหลังมุ้ง ขณะที่ทูลถามก็ถวายบังคมให้ฮองเฮาด้วย “กระหม่อมจางชางเป่ยถวายบังคมฮองเฮาเหนียงเหนียง เหนียงเหนียงได้โปรดอภัยที่กระหม่อมโผล่ออกกะทันหันเช่นนี้ เหตุเพราะเป็นห่วงพระอาการของฝ่าบาทเกินไป กระหม่อมเลยอยากทูลถามฮองเฮาเหนียงเหนียงว่ามีวิธีรักษาที่ดีกว่าหรือไม่ หากมี ได้โปรดพระราชทานความรู้ที จะได้รักษาฝ่าบาทให้ฟื้นเร็วขึ้น เช่นนั้นกระหม่อมจะได้รู้สึกสบายใจขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“จางย่วนลิ่ง เจ้าแก่เฒ่าจนสมองเลอะเลือนแล้วใช่หรือไม่ เปิ่นกงคือฮองเฮา ไม่ใช่หมอเซียน!” ฮองเฮาเหลือบพระเนตรมองจางชางเป่ยอย่างโมโห แล้วตรัสอีกว่า “ว่ากันว่าตระเตรียมความพร้อมทหารในยามปกติเป็นระยะเวลายาว เพื่อไว้ใช้ในยามเร่งด่วน จางย่วนลิ่งได้รับการโปรดปรานจากฝ่าบาทมาหลายปี เหตุใดวันนี้พอได้เวลาใช้เจ้า เจ้ากลับเทียบกับสตรีผู้หนึ่งไม่ติดเล่า”
“ฮองเฮาเหนียงเหนียง! กระหม่อมมีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ” เจิ้นกั๋วกงทนฟังไม่ไหวตั้งนานแล้ว วันนี้ฮองเฮาปรนนิบัติฮ่องเต้หรืออยากจะลอบทำร้ายฮ่องเต้กันแน่ โชคดีที่ฮ่องเต้ยังไม่ฟื้น มิเช่นนั้นก็คงไม่พอพระทัยอย่างยิ่ง
“อ้อ? ท่านกั๋วกงเชิญเถอะ” ฮองเฮายังถือว่าเกรงกลัวในเจิ้นกั๋วกงอยู่บ้าง ช่วยไม่ได้ เขาครอบครองอำนาจทหารของต้าอวิ๋น จะมองข้ามได้อย่างไรกัน
“กระหม่อมอยากทูลถามว่าวันนี้ฮองเฮาเหนียงเหนียงมาที่นี่ มีพระประสงค์ใดพ่ะย่ะค่ะ” เจิ้นกั๋วกงจ้องไปยังมารดาแห่งต้าอวิ๋น สายตาเย็นชา น้ำเสียงแข็งกร้าว
“เปิ่นกงทรงกังวลพระอาการของฝ่าบาท ก็มิควรเลยหรือ”
“ฮองเฮาทรงกังวลพระอาการของฝ่าบาทเป็นเรื่องสมเหตุสมผล กระหม่อมมิบังอาจโต้แย้งใดๆ ทว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงไม่ได้ตรัสตามพระอาการของฝ่าบาทเลย กลับมัวแต่บีบบังคับหมอหลวงเหยารักษาให้หาย กระหม่อมไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
“ท่านกั๋วกง ฝ่าบาทยังไม่เป็นอะไร เจ้าก็คิดจะก่อกบฏแล้วหรือ” ฮองเฮาเหนียงเหนียงแย้มพระสรวลอันเย็นชา จู่ๆ ก็ถามสวนเช่นนี้
เจิ้นกั๋วกงได้ยิน หัวเราะเสียงดังจนตัวโยน “ฮองเฮาเหนียงเหนียงไม่ควรตรัสคำพูดเช่นนี้เรื่อยเปื่อย เหนียงเหนียงทรงหาว่ากระหม่อมหันเวยก่อกบฏ แล้วไหนล่ะหลักฐาน! หากไม่มีหลักฐาน ก็ถือเป็นการปล่อยข่าวลือ จงใจทำลายรากฐานอันมั่นคงของกระหม่อม ทำให้แคว้นล่มจมนั้นมีโทษฐานถึงขั้นประหารชีวิต!”
ถึงขั้นกล่าวถึงการก่อกบฏจนทำให้แคว้นล่มจมเลยหรือ เหยาเยี่ยนอวี่ยืนฟังอยู่ด้านข้าง รู้สึกหวาดหวั่นยิ่งนัก
“เอาเถอะ!” เฉิงอ๋องเดินหน้ามาสองก้าว ยืนอยู่ระหว่างฮองเฮาและเจิ้นกั๋วกง “ท่านกั๋วกงเย็นลงหน่อยเถอะ พี่สะใภ้เพียงแค่เคร่งเครียดเกินไป คำพูดข้างต้นนับไม่ได้อยู่แล้ว”
“เหอะ เคร่งเครียดจนว่าร้ายขุนนางคนสำคัญในราชสำนักเช่นนั้นเลยหรือ!” คนอื่นเกรงกลัวฮองเฮา เจิ้นกั๋วกงกลับไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย เป็นถึงฮองเฮาแล้วจะทำไม องค์หญิงใหญ่หนิงหวาไม่เคยกลัวนางเลยสักนิด ตระกูลหันของเขาก็ไม่เคยกลัวตระกูลเฟิงอยู่แล้ว
เฉิงอ๋องตรัสกับฮองเฮาเหนียงเหนียงเสร็จ ก็หันไปเกลี้ยกล่อมเจิ้นกั๋วกง “ท่านกั๋วกงก็ใจเย็นหน่อยเถอะ ทุกคนกำลังเคร่งเครียดอยู่ จึงเอ่ยคำพูดไม่เสนาะหูโดยไม่ตั้งใจ เช่นนั้นก็พูดกันให้น้อยๆ หน่อยเถอะ พระวรกายของฝ่าบาทสำคัญที่สุด ต้องรีบรักษาฝ่าบาทให้หายเสียก่อน!”
“จริงที่ต้องรักษาฝ่าบาทให้หายประชวรนั้นสำคัญเป็นอันดับแรก ทว่ายังมีสิ่งสำคัญอีกเรื่อง!” จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น จากนั้นก็มีเสียงสกัดกั้นของทหารรักษาการณ์ แต่คนคนนั้นมีตำแหน่งสูงส่ง กลับผลักประตูเข้ามาได้ทันที
“อัครเสนาบดีเฟิง?” เฉิงอ๋องเห็นเฟิงจงเยี่ยที่ผลักประตูเข้ามา ก็หรี่พระเนตรลงเล็กน้อย…เขามาทำอะไร! ฮองเฮาให้คนไปตามมาหรือ หรือมีผู้อยู่เบื้องหลังอีก หรือเจ้าสุนัขจิ้งจอกนี่จะถือโอกาสพลิกชีวิต!
เฟิงจงเยี่ยก้าวมาข้างหน้าอย่างว่องไว แล้วยืนตรงข้างเจิ้นกั๋วกง ประสานมือคารวะฮองเฮา แล้วทูลด้วยเสียงดังสนั่น “กระหม่อมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดมีอยู่สองเรื่อง หนึ่งคือรักษาฝ่าบาทให้หาย สองคือเลือกองค์ชายมากความสามารถมาปกครองแคว้นชั่วคราวพ่ะย่ะค่ะ”