หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 524-2 เยี่ยนอวี่ลาพักร้อน หมิงชั่นได้บุตรชาย (2)
ตอนที่ 524-2 เยี่ยนอวี่ลาพักร้อน หมิงชั่นได้บุตรชาย (2)
ฮ่องเต้เกือบจะล้มจนพระพักตร์ทิ่มพื้น ภายในใจรู้สึกเคร่งเครียดยิ่งนัก ดังนั้นผลักหลินซู่มั่วออก “ไอ้สุนับรับใช้! ใครสั่งให้อยู่ที่นี่!”
หลินซู่มั่วสะดุ้งตกใจจนรีบคุกเข่าลงทันที พลางทูลด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง “ฝ่าบาทได้โปรดอภัย บ่าวทำตามคำสั่งของจางย่วนลิ่ง ให้อยู่ปรนนิบัติฝ่าบาทเพคะ”
“จางชางเป่ย?” ฮ่องเต้ยื่นพระหัตถ์ไปจับด้านข้างแล้วถามไปด้วย
หลินซู่มั่วลุกขึ้นเข้าไปพยุงพระพาหาของฮ่องเต้ พาเขาไปประทับบนตั่งไม้ริมหน้าต่าง แล้วทูลกลับด้วยเสียงอ่อนโยน “ทูลฝ่าบาท เพคะ”
“เจ้าคือคนของสำนักแพทย์หรือ”
“ทูลฝ่าบาท บ่าวเป็นหมอหญิงขั้นที่เจ็ดของสำนักแพทย์ หลินซู่มั่วเพคะ”
“หลินซู่มั่ว?” ฮ่องเต้ขานเรียกสองรอบ แล้วถาม “เหยาเยี่ยนอวี่ล่ะ”
“สองวันมานี้ใต้เท้าเหยาใช้วิธีการฝังไท่อี่ให้ฝ่าบาทไปเจ็ดครั้ง ตอนนี้ไร้เรี่ยวแรงใดๆ จึงสลบหมดสติไปเพคะ” หลินซู่มั่วทูลไป พลางถอนหายใจอย่างอ่อนโยน อ่อนโยนยิ่งกว่าฝนโปรยเบาๆ ในฤดูวสันต์
ความรู้สึกว้าวุ่นของฮ่องเต้ในตอนนี้ กลับสงบลงเพียงเสียงถอนหายใจอันแผ่วเบานี้
“เจ้าเป็นห่วงใต้เท้าเหยาของพวกเจ้ามากเลยหรือ” ฮ่องเต้หันไปมองหลินซู่มั่ว ถึงแม้เขามองไม่เห็น ทว่าได้ยินเสียงอ่อนโยนของแม่นางผู้นี้ คิดว่าคงจะมีรูปลักษณ์หน้าตาไม่เลว
“ใต้เท้าเหยาสอนทักษะการแพทย์กับบ่าว สอนบ่าวมีปัญญารักษาผู้ป่วยและทักษะการใช้ชีวิต เป็นอาจารย์ที่หาได้ยาก บ่าวเคารพนาง เชื่อนาง หวังว่านางจะฝ่าด่านนี้ไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น แค่ขอให้นางดีขึ้นในเร็ววัน จะได้มารักษาฝ่าบาทได้ ฝ่าบาทต้องทรงมีพระราชดำริว่าหมอหลวงใช้เวลาแค่สองวันก็ช่วยฝ่าบาทฟื้นขึ้นมาได้แล้ว แค่นางยังฟื้นขึ้นมาได้ ต้องรักษาพระเนตรของฝ่าบาทให้หายเป็นแน่” หลินซู่มั่วทำน้ำเสียงอ่อนโยน
ฮ่องเต้แย้มพระสรวลจางๆ แล้วตรัส “เจ้าทูลได้ไม่เลว”
ดวงตาแววใสดั่งหงส์ของหลินซูมั่วเป็นประกาย จึงรีบถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมากขึ้น “ดังนั้น ยอมให้หม่อมฉันปรนนิบัติฝ่าบาทเสวยอะไรหน่อยหรือไม่ ฝ่าบาททรงหมดสติไปสองวันแล้ว ยังไม่ได้เสวยสิ่งใดเข้าไป ร่างกายจะรับไหวได้อย่างไร”
ฮ่องเต้ลอบครุ่นคิดเงียบๆ แล้วเปรยเบาๆ “ก็ได้”
“ฝ่าบาทได้โปรดรอสักครู่ บ่าวจะรีบไปเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงอันอ่อนโยนของหลินซู่มั่วเต็มไปด้วยความสุขที่ไม่อาจปิดบังไว้ได้ ฮ่องเต้ได้ยินน้ำเสียงของนาง ก็รู้สึกสบายพระทัยมากขึ้น
ฮ่องเต้โมโหดั่งเพลิงกาฬไปเสร็จ กลับฟังคำเกลี้ยกล่อมของหลินซู่มั่ว ยอมเสวยอาหารอยู่บ้าง
บรรดาอ๋อง ฮองเฮา และองค์หญิงใหญ่ที่อยู่ด้านนอก รู้สึกไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ
ทว่าองค์หญิงใหญ่หนิงหวาได้สติกลับมาเป็นคนแรก จึงรีบถามจางชางเป่ย “ฝ่าบาทเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ยังต้องการคนคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย หลินซู่มั่วไม่เลว ฝ่าบาทก็โปรดปรานนาง ให้นางอยู่เฝ้าฝ่าบาทเถอะ”
จางชางเป่ยพลันตอบกลับ “เดิมทีนางก็เป็นหมอหญิงขั้นเจ็ด ควอยู่ปรนนิบัติฝ่าบาทอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงใหญ่ยิ้มจางๆ “ผู้เฒ่าอย่างเจ้าช่างน่าสนใจจริงๆ หรือเจ้าอยากให้นางกลับสำนักแพทย์ ฝ่าบาทโปรดปรานนาง ล้วนเป็นพระกรุณาธิคุณแล้ว เปิ่นกงหมายถึงให้นางอยู่ปรนนิบัติฝ่าบาทเป็นประจำ”
จางชางเป่ยตะลึงงัน แล้วยิ้มอย่างเสียหน้า พลางตอบกลับ “พ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงฮองเฮาขมวดคิ้วอย่างไม่พอพระทัย “วังในมีคนตั้งมากมาย จะเทียบเทียมไม่ได้กับหมอหลวงขั้นเจ็ดผู้นี้เลยหรือ น้องหนิงหวาก็กระวนกระวายเกินไปแล้ว กลับแม้กระทั่งเรื่องของวังใน เจ้ายังคิดจะเข้ามายุ่งเกี่ยว”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวายิ้มจางๆ แล้วตรัส “ฮองเฮาเหนียงเหนียงตรัสถูกต้อง วังในมีคนตั้งมากมาย แต่กลับไม่มีใครที่ทำให้เสด็จพี่พอพระทัยเลยเสียคน ไม่รู้จริงๆ ว่าฮองเฮาดูแลวังในอย่างไร ข้าคงไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจเรื่องวังในหรอก แค่กังวลพระวรกายของเสด็จพี่เท่านั้น”
เฟิงฮองเฮากัดฟันกรอด แล้วยังจะต่อล้อต่อเถียงอีก องค์หญิงใหญ่หนิงหวาถอนหายใจด้วยพระขนงขมวด แล้วจ้องพระพักตร์ฮองเฮาไว้ พร้อมถาม “ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าพี่สะใภ้คิดอะไรในใจกันแน่ ต่อให้ท่านละทิ้งความยุติธรรม ทว่าเสด็จพี่เป็นพระสาวมีของท่าน พี่สะใภ้ที่มีฐานะเป็นภรรยา ไม่คิดจะหวังดีกับสาวมีอย่างสุดจิตสุดใจ ภายในใจกลับนึกถึงแต่บุตรชายของคนอื่น ท่านมั่นใจว่าบุตรชายที่ไม่ได้ให้กำเนิดเองจะกตัญญูกับท่านในอนาคตหรือ”
กล่าวจบ องค์หญิงใหญ่แสยะยิ้ม แล้วมองฮองเฮาที่มีสีหน้าบูดบึ้งเพียงชั่วพริบตา หันหลังเดินจากไป
หลังจากฮ่องเต้เสวยข้าวต้มไปหนึ่งถ้วย อารมณ์อันหม่นหมองหายไปแล้ว ดังนั้นถึงได้บัญชาให้เฉิงอ๋อง จิ่นอ๋อง เยี่ยนอ๋อง สองพ่อลูกเจิ้นกั๋วกง อัครเสนาบดีเฟิง และเว่ยจางเข้ามาปรึกษาหารือกัน
องค์ชายสาม องค์ชายสี่ องค์ชายหก และองค์ชายเจ็ดที่ได้ยินเฉิงอ๋องตรัสถึงตนเองขึ้นก็มีเยี่ยมเยียนที่ตำหนักใต้ด้วย ทว่าเพื่อไม่ให้ข่าวคราวที่ฮ่องเต้ยังไม่ฟื้นในก่อนหน้านี้หลุดออกไป เฉิงอ๋องและเจิ้นกั๋วกงตัดสินพระทัยให้องค์ชายทั้งสี่อยู่ในตำหนัก ห้ามออกไปไหน ฮ่องเต้ได้ยินก็เอ่ยชมว่าเฉิงอ๋องทำได้เยี่ยมมาก แล้วสั่งให้องค์ชายทั้งสี่เข้าเฝ้า
คนทางฝั่งนี้กำลังเดินเข้าๆ ออกๆ ทว่าในโถงข้างหลังตำหนัก เหยาเยี่ยนอวี่กลับสลบหมดสติจนนอนหลับไป
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาเข้ามาเยี่ยมเยียน ทว่านอกจากถอนหายใจก็ทำอะไรไม่ได้ แค่สั่งชุ่ยผิง “ดูแลฮูหยินพวกเจ้าไว้ให้ดี มีเรื่องอะไรก็รีบมารายงานเปิ่นกง เปิ่นกงจะเป็นคนตัดสินให้พวกเจ้าเอง”
ชุ่ยผิงพลันค้อมตัวลง หลังจากลังเลไปสักพักก็พูดขึ้น “ครั้งก่อนฮูหยินของพวกเราหมดสติไป รบกวนพระองค์หญิงเชิญพระอาจารย์คงเซียงมาช่วยนางปรับกำลังภายใน ไม่รู้ว่าครั้งนี้…”
“ข้าสั่งให้คนไปตามอาจารย์คงเซียงมาแล้ว เขากับฮูหยินพวกเจ้าก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่คุยถูกคอกัน หากสะดวก ก็ไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว”
“ขอบพระทัยองค์หญิงใหญ่หนิงหวาเพคะ” ชุ่ยผิงพลันค้อมตัวลง
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาเปรย “ขอบคุณอะไรเล่า นางรักษาฝ่าบาทจนกลายเป็นเช่นนี้ ว่าไปแล้วก็เพื่อต้าอวิ๋น พวกเราควรขอบคุณนางถึงจะถูก”
หลังจากฮ่องเต้ปรึกษาหารือกับเหล่าอ๋องและขุนนางใหญ่แล้ว ตัดสินใจกลับวังหลวงในเช้าวันรุ่งขึ้น วันนี้พระเนตรทั้งสองข้างของเขาบอดไปแล้ว แน่นอนว่าไม่อาจสะสางราชกิจอีก มอบหมายเรื่องพวกนั้นให้เหิงจวิ้นอ๋องและจิ่งจวิ้นอ๋อง ให้องค์ชายทั้งสองร่วมงานกับขุนนางใหญ่ทั้งสี่ แต่หากเป็นเรื่องสำคัญก็ยังเป็นฮ่องเต้ที่เป็นผู้บัญชา เฉิงอ๋องรับผิดชอบทหาร เยี่ยนอ๋องรับผิดชอบฝ่ายข้าราชการพลเรือนและฝ่ายพิธีกรรม จิ่นอ๋องรับผิดชอบกรมอาญา อัครเสนาบดีเฟิงรับผิดชอบกระทรวงโยธาและกรมคลัง
ตอนนี้ มีขุนนางคนสนิทของตนคอยรับผิดชอบกรมและกระทรวงทั้งหก ยังมีองค์ชายสองคนและขุนนางทั้งสี่คอยสะสางราชกิจ ฮ่องเต้รู้สึกพอพระทัยอย่างยิ่ง
ตอนฮ่องเต้กลับตำหนัก เหยาเยี่ยนอวี่ยังคงไม่ได้สติ เว่ยจางปั้นหน้านิ่งเฉยดั่งสายน้ำ ดูไม่ออกว่ารู้สึกอะไร แค่คิ้วของเขาดูเคร่งเครียดเล็กน้อย
ถังเซียวอี้เห็นเว่ยจางอุ้มเหยาเยี่ยนอวี่ขึ้นรถ จึงเดินหน้าไปเลิกม่านด้วยความเชื่อฟัง รอให้พวกเขาเดินเข้ารถม้า ถึงจะปล่อยม่านลง แล้วยังถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “แม่ทัพ ในรถม้าอบอ้าวเกินไป ให้พวกเขายกน้ำมาหน่อยไหม”