หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 554 หมอเซียนกลับมาอีกครั้ง (4)
ตอนที่ 554 หมอเซียนกลับมาอีกครั้ง (4)
“ทูลฝ่าบาท หมอหลวงเหยาพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีรีบทูลกลับอีกครั้ง
“รีบเข้ามาเถอะ!” ฮ่องเต้ประทับบนที่นั่งอย่างมีชีวิตชีวายิ่งนัก
เมื่อครู่นี้หัวใจของเหยาหย่วนจือเต้นแรงราวกับนั่งรถไฟเหาะ จนถึงตอนนี้เพิ่งรู้ว่าร่างกายของบุตรีตนเองหายดีแล้ว ตอนนี้ก็รีบกลับมารักษาพระเนตรของฮ่องเต้ ดังนั้นจึงรีบจัดการกับอารมณ์ตนเองแล้วยืนอยู่ด้านข้าง รอให้สองสามีภรรยาเข้ามา
เว่ยจางสวมชุดราชสำนักสีม่วง เหยาเยี่ยนอวี่ที่อยู่ด้านข้างสวมชุดเครื่องแบบหมอหลวงสีขาวหยก ทั้งสองเดินตามกันเข้ามาถวายบังคมฮ่องเต้ ห่างจากตั่งไม้ไปเจ็ดก้าว “กระหม่อมเว่ยจาง หม่อมฉันเยี่ยนอวี่ ถวายบังคมปี่เซี่ยะพ่ะย่ะ ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปีพ่ะย่ะ”
“เหยาเยี่ยนอวี่?” ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปที่นางอย่างไร้ความรู้สึกใดๆ ทว่าสีหน้ากลับตื่นเต้นดีใจจนปิดบังไว้ไม่อยู่
“หม่อมฉันเองเพคะ” เหยาเยี่ยนอวี่พลันทูลกลับ
“วิชาการแพทย์ของเจ้า…” อาจเพราะว่าคาดหวังมากเกินไป เวลานี้ฮ่องเต้จึงไม่กล้าถามอะไรมากมาย
เหยาเยี่ยนอวี่พลันทูลกลับ “ทูลฝ่าบาท สภาพร่างกายของหม่อมฉันดีขึ้นมาก กำลังภายในกลับมา ครั้งนี้จึงรีบกลับมารักษาพระเนตรของฝ่าบาทเพคะ”
“ฮ่าๆ!” ฮ่องเต้แย้มพระสรวลด้วยความรื่นเริงยินดี แล้วเปรยว่า “ตาที่มืดบอดคู่นี้ของเจิ้นจะกลับมาเหมือนเดิมเสียที!”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ ลอบมองเหยาหย่วนจือเพียงชั่วพริบตา แล้วพยักหน้าเบาๆ เหยาหย่วนจือส่งสายตาให้นาง ให้นางรีบรักษาฮ่องเต้ให้เร็วที่สุด
“เอาผ้าทอมาหนึ่งผืน” เหยาเยี่ยนอวี่หันไปสั่งไหวเอิน “ปิดพระเนตรของฝ่าบาทก่อนเถอะ”
“เหตุใดถึงต้องปิด” ฮ่องเต้ถามด้วยความสงสัย
“ฝ่าบาทไม่เห็นแสงมาสี่เดือนกว่าแล้ว หม่อมฉันกลัวว่าแสงจะแยงพระเนตรเกินไปเพคะ”
ฮ่องเต้ได้ยินก็ยิ่งคาดคิดไม่ถึง “เจ้าหมายความว่า…วันนี้เจ้าก็จะทำให้เจิ้นกลับมามองเห็นได้อีกครั้งใช่ไหม!”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มน้อยๆ “วันนี้หม่อมฉันต้องทำสุดความสามารถแน่นอน”
“ดี! ดี!” ฮ่องเต้ตบโต๊ะไปด้วยแล้วตรัสว่าดีไปด้วย ขณะเดียวกันก็ให้ไหวเอินปิดตาตนเอง
เหยาเยี่ยนอวี่ดึงเข็มเงินพกพาออก ซู่มั่วที่ได้ยินว่านางมาถึงก็เข้ามาปรนนิบัติตั้งแต่เนิ่นๆ จึงรีบยื่นสำลีชุบเหล้ามาหนึ่งแผ่น เหยาเยี่ยนอวี่รับแล้วเช็ดเข็มเงินหนึ่งรอบ จากนั้นจับจุดจิงหมิงของฮ่องเต้ แล้วค่อยๆ ฝังเข็มลงไป
ชิงอวิ๋นจื่อเคยบอก กำลังภายในที่ฝึกฝนมาไม่ได้เป็นของตัวเอง ทว่ายืมมาจากฟ้าดิน หัวใจของมนุษย์และฟ้าดินบรรจบกันเป็นหนึ่ง กำลังภายในจะยิ่งใหญ่จนวัดไม่ได้ ดุจพื้นผิวน้ำกว้างไพศาลไร้ที่สิ้นสุด
เดิมทีเหยาเยี่ยนอวี่มักอ่านคัมภีร์ไท่ผิง ทีแรกก็เข้าใจอยู่บ้าง ทว่าต่อให้เข้าใจก็เอามาปะติปะต่อกันไม่ได้ วันนี้นางติดตามชิงอวิ๋นจื่อมาหลายเดือน ถึงแม้จะบอกว่าไม่ถึงกับเข้าใจพลังอัศจรรย์ทั้งหมด ทว่ากลับฝึกฝนอะไรกลับมาได้บ้าง
ตอนนี้นางเริ่มจากรักษาจุดเล็กๆ ก่อน นั่นก็คือกำจัดเลือดคั่งในสมองฮ่องเต้ ใช้เวลาแค่ครึ่งก้าวธูปเท่านั้น
หลังจากฝังเข็ม เหยาเยี่ยนอวี่ถามฮ่องเต้ “ฝ่าบาทรู้สึกอย่างไรบ้าง”
พระเนตรของฮ่องเต้แม้จะปิดด้วยผ้าทอ ทว่าก็สัมผัสได้ถึงแสงสว่าง เขาลองทอดพระเนตรไปด้านหน้า เห็นเงาของคนลางๆ เหตุเพราะแสงสว่างในตำหนักถูกปิดด้วยผ้าหนึ่งชั้น ภาพตรงหน้าเลยค่อนข้างพร่ามัว อีกทั้งรู้สึกปวดลูกตา เขาจึงตรัสไปตามความจริง
เหยาเยี่ยนอวี่จึงทูล “ฝ่าบาทร้อนพระทัยเกินไปเจ้าค่ะ รอให้ฟ้ามืดก่อน ยังไม่ต้องจุดไฟ แล้วแกะผ้าออกก่อน ให้พระเนตรค่อยๆ คุ้นเคยกับแสง ผ่านไปสามสี่วันก็จะไม่ปวดแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้ปลื้มปิติอย่างยิ่ง “เยี่ยมมาก! นี่เป็นหินก้อนใหญ่ที่อยู่ในใจของเจิ้นมาโดยตลอด และแล้วก็ถูกขุนนางที่เจิ้นโปรดปรานกำจัดไปเสียที! เยี่ยม! เยี่ยมมาก!”
เหยาเยี่ยนอวี่รีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว ตลบชายเสื้อคลุมยาวคุกเข่าลง พลางทูลด้วยความรู้สึกผิด “หม่อมฉันฝึกวิชาได้ไม่ดี ปล่อยฝ่าบาททุกข์ทรมานไปหลายเดือน หม่อมฉันไร้ความสามารถ ฝ่าบาทได้โปรดอภัยเพคะ”
“ไม่โทษเจ้า!” ฮ่องเต้ถอนหายใจยาว แล้วเปรยว่า “หมอหลวงทั้งหมดในสำนักหมอหลวงจนปัญญา แม้กระทั่งจางชางเป่ยก็ทำได้เพียงถอนหายใจ ช่วงนี้เจิ้นแค่หวังว่าเจ้าจะหายดีในเร็ววัน แล้วค่อยมารักษาอาการของเจิ้น”
ตรัสจบฮ่องเต้ก็แย้มพระสรวล “ถึงแม้จะรอนานหน่อย ทว่าวันนี้เจ้ามาถึงก็รักษาให้เห็นแสงสว่างอีกครั้ง ทำให้รู้สึกตื่นตะลึงจริงๆ! เจิ้นยังคิดว่าต่อให้เจ้ากลับมา เจิ้นยังต้องทุกข์ทรมานอีกครึ่งเดือน!”
เหยาเยี่ยนอวี่ทูลตามความจริง “ทีแรกหม่อมฉันก็ท้อแท้ยิ่ง พอนึกถึงชาตินี้ตนเองใช้เพียงยารักษาผู้ป่วยได้เท่านั้น กลับนึกไม่ถึงว่าจะได้เจอนักพรตเต๋าที่มีฝีมือยอดเยี่ยม เขาฝึกฝนให้หม่อมฉันไปสักระยะหนึ่ง ช่วยหม่อมฉันกู้กำลังภายในกลับมาอีกครั้ง ให้พึ่งพากำลังธรรมชาติมาค่อยๆ ฟื้นฟูกำลังภายใน”
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ “กลับมีเรื่องอัศจรรย์เช่นนี้ด้วยหรือ”
เหยาหย่วนจือเดินเข้าไปทูลอย่างเห็นด้วย “ฝ่าบาททรงมีโชคมีลาภ สวรรค์เลยส่งนักพรตเต๋าที่เก่งกาจมาช่วยเหลือ”
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์อย่างมีความสุข นิ้วพระหัตถ์สัมผัสโต๊ะเล็กเบาๆ “ถึงแม้หมอหลวงเหยาจะทูลไม่ผิด ทว่าเจิ้นผ่านพ้นอาการประชวรครั้งนี้ได้ ล้วนก็เพราะหมอหลวงเหยาพยายามอย่างสุดความสามารถ ถ้าไม่มีนาง เจิ้นก็คงไม่ได้เป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอีก เจิ้นชัดแจ้งและยุติธรรมโดยตลอด เหยาเยี่ยนอวี่ช่วยชีวิตเจิ้นไว้ ตั้งแต่บัดนี้ ขอแต่งตั้งให้เจ้าเป็นย่วนพั่นซ้าย ทั้งยังพระราชทานนามพรหมยุทธ์ให้เป็นฮูหยินฝู่กั๋วอย่างเป็นทางการ”
ก่อนหน้านี้เหยาเยี่ยนอวี่ได้รับการแต่งตั้งเป็นฮูหยินเก๊ามิ่งขั้นที่สองพร้อมกับเว่ยจาง แต่ยังไม่มีนามพรหมยุทธ์อย่างเป็นทางการ ปกติคนอื่นเรียกนางว่าหมอหลวงเหยาหรือว่าฮูหยินแม่ทัพฝู่กั๋ว ถึงแม้วันนี้นามพรหมยุทธ์ว่า ‘ฮูหยินฝู่กั๋ว’ นั้นแตกต่างจาก ‘ฮูหยินแม่ทัพฝู่กั๋ว’ เพียงสองพยางค์ ความหมายกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ถือว่าได้รับเกียรติสูงสุด เหยาเยี่ยนอวี่พลันเลิกชายเสื้อคลุมแล้วคุกเข่าขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณ เว่ยจางและเหยาหย่วนจือก็คุกเข่าหมอบกราบเช่นกัน ฮูหยินและบุตรีได้รับการแต่งตั้ง ผู้ที่มีฐานะเป็นสามีและบิดา ก็ได้รับเกียรติอย่างมาก
ฮ่องเต้ตรัสขึ้นอีกครั้ง “ใต้เท้าเหยา เจ้าไม่ได้เจอบุตรีมานานแล้ว คงจะมีเรื่องให้พูดคุยเยอะแยะ พวกเจ้าสองพ่อลูกออกไปได้แล้ว เสี่ยนจวิน เจ้าอยู่ต่อ เจิ้นมีอะไรจะเสวนากับเจ้า”
เว่ยจางและเหยาหย่วนจือขานรับพร้อมกัน เหยาเยี่ยนอวี่พยุงเหยาหย่วนจือลุกขึ้น แล้วทูลลาอย่างพร้อมเพรียง ฮ่องเต้ผายพระหัตถ์ให้เว่ยจางลุกขึ้น แล้วถามว่า “เรื่องสนามขี่ม้าทางเขตตอนใต้ เจ้าสืบไปถึงไหนแล้ว”
เรื่องนี้เว่ยจางให้ถังเซียวอี้สืบมาโดยตลอด เพียงแต่เกี่ยวข้องกับองค์ชายทั้งสอง ถังเซียวอี้ไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเองอีกต่อไป เว่ยจางทำได้เพียงทูลเบาะแสที่ถังเซียวอี้ได้ให้ฮ่องเต้ฟัง พอเห็นฮ่องเต้มีสีพระพักตร์หม่นหมอง จึงเอ่ยปลอบ “ฝ่าบาทอย่าเพิ่งพิโรธเลยพ่ะย่ะค่ะ ในมุมมองของกระหม่อม เรื่องไม่ได้ง่ายเช่นนี้ ไม่แน่มีคนจงใจโยนความผิดให้คนอื่น ทำให้ความสัมพันธ์ของฝ่าบาทและจวิ้นอ๋องทั้งสองพระองค์ห่างเหินกัน ฝ่าบาทได้โปรดส่งคนสืบรายละเอียดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ได้ยินคำพูดเช่นนี้ ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมตรัส “เจิ้นรู้แล้ว เจ้าออกไปเถอะ”
เว่ยจางคุกเข่าทูลลาพลางมองสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ ทว่าพอฮ่องเต้นิ่งสงบเหมือนผืนน้ำ ภายในใจย่อมโมโหอยู่ ถึงแม้เขาจะไม่ติดตามฮ่องเต้อย่างใกล้ชิดเหมือนหวงซง ทว่าหลายปีมานี้ เขาก็พอรู้นิสัยของฮ่องเต้อยู่แปดเก้าส่วน รู้ว่าฮ่องเต้รับฟังคำพูดตนเองแล้ว ก็ออกจากตำหนักอย่างสบายใจ