หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 59 ต่างคนต่างหาความสุข
“อืม” ถังเซียวอี้พยักหน้า แล้วหันไปมองพร้อมกับยิ้มเห็นขบวนรถม้าค่อยๆ ออกจากประตูเมืองหลวงไป ขณะที่บรรดาทหารรักษาการณ์ที่เฝ้าอยู่ตรงประตูเมืองหลวงทั้งสองด้านพากันถอยออกไปจากที่นั่น ชาวบ้านจึงสามารถเข้าออกได้อย่างเป็นอิสระ
“พอเถอะ คนก็จากไปตั้งไกลแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ” เก๋อไห่สะบัดแส้ม้า เพื่อเร่งให้ม้าเดินเร็วขึ้น
ถังเซียวอี้กลับยังคงนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยความลังเลใจ พอคิดๆ ดูแล้ว ก็ได้สั่งการผู้ที่ติดตามเขาด้วยเสียงทุ้มต่ำเพียงไม่กี่คำ คนคนนั้นพยักหน้าขานตอบ แล้วหันหลังกลับไป จากนั้นถังเซียวอี้จึงได้สะบัดแส้ม้าและกระตุกบังเหียนม้าแล้วขี่ตามไป
นอกห้องอักษรของจวนเจิ้นกั๋วกง หันซังเกอนัดอวิ๋นคุนและซูอวี้ผิงมาปรึกษาหารือเรื่องสำคัญสองสามเรื่อง
เพราะว่าศึกสงครามในดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือได้จบลงแล้ว เจิ้นกั๋วกงเคลื่อนทัพกลับมาด้วยชัยชนะ หลังจากที่ให้บำเหน็จตามความชอบเสร็จ เหล่าทหารที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขาบ้างก็ได้เลื่อนตำแหน่ง บ้างก็เกษียณไปแล้ว และทหารผู้ที่เป็นวีรบุรุษในสนามรบ นอกจากจะได้รับบาดเจ็บ ส่วนมากก็ไม่สามารถปลดเกษียณและกลับบ้านเกิดของตัวเองได้ ทว่าบางนายก็ถึงเวลาที่จะต้องแต่งงานสร้างครอบครัว จึงต้องทำตามคำสั่งของบิดามารดา กลับบ้านเกิดไปสู่ขอภรรยา
ในค่ายทหารต้องมีทหารที่ประจำการอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีนายทหารที่ต้องการออกจากค่าย ก็ต้องมีคนใหม่มาแทนอยู่เสมอ เหมือนดั่งสายน้ำที่ไม่มีวันขาดแคลนน้ำ ในเมื่อทหารที่อยู่ภายใต้การดูแลของหันซังเกอ อวิ๋นคุน และซูอวี้ผิงลดน้อยลง พวกเขาจึงจำเป็นต้องรีบรับคนใหม่เข้ามาให้ทันเวลา
ทว่าฮ่องเต้ทรงมีแผนการใหม่ และทรงมีพระประสงค์ที่จะเปลี่ยนระบบของกองทัพใหม่ โดยการยึดครองทหารชั้นยอดที่ผ่านสมรภูมิเลือดมาหลายครั้งไว้ในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์เอง ในความเป็นจริงแล้ว ฮ่องเต้จำต้องใช้มาตรการบางอย่างเพื่อจำกัดอำนาจของขุนนางในราชสำนัก ด้วยการถ่วงอำนาจทางทหารของเหล่าลูกหลานผู้สืบเชื้อสายขุนนางเหล่านั้น เพื่อป้องกันการก่อกบฏที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ เฉิงอ๋องซื่อจื่อก็ดีหรือแม้แต่เจิ้นกั๋วกงซื่อจื่อก็ดี พวกเขาต่างก็ไม่สามารถคัดค้านได้ ทำได้เพียงปฏิบัติตามคำบังคับบัญชาของฮ่องเต้ จัดการโอนกิจต่างๆ ทางการทหารที่อยู่ในมือตนเองทั้งหมดส่งให้ศูนย์กลางของหน่วยงานที่ควบคุมทางทหาร เพื่อรอคอยให้ฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัย
ทหารผู้ติดตามถังเซียวอี้ที่ถูกส่งตัวกลับมาก็กลับไปที่จวนเจิ้นกั๋วกง จากนั้นก็มามองที่ประตูด้านนอกของห้องอักษรเพียงชั่วครู่ บังเอิญถูกหันซังเย่ว์ที่กลับจากข้างนอกมาเห็นเข้า เพราะเหตุนี้จึงถามขึ้น “มีเรื่องอะไรหรือไม่”
คนผู้นั้นรีบก้มคำนับแล้วตอบกลับ “มีเรื่องเล็กน้อยขอรับ รองแม่ทัพถังสั่งให้ข้าน้อยมาส่งสารให้แม่ทัพเว่ยเซ่าขอรับ”
เว่ยจางส่งสายตามองออกมา จากนั้นทหารผู้ติดตามคนนั้นก็รีบก้าวเข้าไปหา พลันโค้งตัวคำนับ “ท่านรองแม่ทัพถังสั่งให้ข้าน้อยมาเรียนท่านแม่ทัพ เพราะว่าเกิดความล่าช้าตอนที่ท่านรองแม่ทัพออกจากประตูเมือง ดังนั้นธุระที่ควรเสร็จสิ้นในช่วงบ่ายคิดว่าคงจะยืดเยื้อถึงกลางคืน จำต้องกลับมาในวันพรุ่งนี้ขอรับ”
“หืม?” เว่ยจางขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้ดีในธุระครั้งนี้ของถังเซียวอี้ ทว่าก็แค่เดินทางไปกลับเท่านั้น จำเป็นต้องถึงเวลากลางค่ำกลางคืนเลยหรือ อีกอย่างเขาไม่กลับมาก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร จำต้องส่งคนมารายงานโดยเฉพาะเลยหรือไร
ต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติไปแน่นอน เพราะเหตุนี้ เว่ยจางจึงถามด้วยเสียงเรียบเฉย “ไปเจอเรื่องอะไรที่ประตูเมืองหลวงมา เวลาถึงต้องยืดเยื้อขนาดนี้”
“ได้ยินมาว่ามีสตรีราวๆ สิบกว่าคนออกนอกเมืองหลวง ดังนั้นบรรดากองกำลังรักษาการณ์จึงปิดกั้นทางเดินของคนที่เข้าออกเมืองหลวง เพื่อหลีกทางให้รถม้าของสตรีเหล่านั้นขอรับ”*
“อ้อ!” หันซังเกอยิ้ม “เรื่องนี้ข้ารู้ดี คุณหนูสามแห่งจวนติ้งโหวเป็นคนเชิญบรรดาสตรีจากจวนต่างๆ ออกนอกเมืองหลวงไป บอกว่า…ประลองกู่เจิงของมิตรสหาย?” พูดไป หันซังเกอก็หันหน้ามามองซูอวี้ผิง
ซูอวี้ผิงยิ้มพลางเอ่ยพูด “ย่อมมีเรื่องเช่นนี้ แต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าเด็กคนนี้จะมีอำนาจมากเพียงนี้ กลับกล้าสั่งกองกำลังรักษาการณ์ไปเฝ้าประตูเมืองและสั่งห้ามไม่ให้สามัญชนทั่วไปเข้าออกเมืองหลวงได้ตามอำเภอใจอย่างนั้นเลยหรือ”
อวิ๋นคุนยิ้มพลางพูด “ท่ามกลางพวกนางอย่างน้อยก็มีจวิ้นจู่สองนาง เหล่าทหารรักษาการณ์จึงต้องเฝ้าระวังความปลอดภัยเป็นพิเศษ พอนึกถึงน้องสาวของข้าก็รวมอยู่ในนั้น ตอนเช้าตรู่ที่ตื่นมา ก็ได้ยินเสด็จแม่ทรงกำชับว่านางออกไปท่องเที่ยวก็จงระมัดระวังตัวเสียหน่อย และอย่าได้ใส่อารมณ์กับผู้อื่นไปเรื่อยเปื่อยเด็ดขาด”
เว่ยจางได้ยินคำพูดเหล่านี้ จึงหัวเราะด้วยเสียงแผ่วเบา “ฤดูนี้แถวชานเมืองมีอะไรน่าเพลิดเพลินกันแน่ เหล่าแม่นางน้อยจึงได้สนอกสนใจไปเล่นสนุกกันถึงเพียงนี้?”
“ได้ยินว่าพวกนางไปสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่าบ้านนามู่เย่ว์?” อวิ๋นคุนพูดไปก็หันไปมองซูอวี้ผิง “มันคือที่พักอาศัยของน้องสาวของน้องสะใภ้สามเจ้า คุณหนูสามบ้านเจ้าบอกว่าบ้านนาแห่งนั้นมีสวนลูกพลับที่กว้างใหญ่ และยังบอกว่าตอนนี้ลูกพลับก็สุกแล้ว เลยอยากเชิญชวนทุกคนไปลิ้มลอง” กล่าวจบ อวิ๋นคุนก็หัวเราะออกมา
ซูอวี้ผิงส่ายหน้าอย่างอดไม่ไหว จากนั้นก็ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “น้องสาวของข้าคนนี้ถูกเสด็จย่าถือหางจนไม่รู้จักกาลเทศะแล้ว”
หันซังเย่ว์จึงยิ้มแล้วพูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “นี่ก็ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงนี่ เหล่าคุณหนูมีเวลาว่าง(เว้น-ตัดออก)และไม่มีการใดที่ต้องทำยามอยู่เหย้าเฝ้าเรือน จึงหาสถานที่เล่นสนุกร่วมกันเท่านั้น เวลาเยี่ยงนี้คงจะเกิดขึ้นในปีสองปีนี้เท่านั้น รอให้พวกนางออกเรือนกันแล้ว ก็คงจะมีเรื่องให้เหน็ดเหนื่อยจากการดูแลเรือน อยากจะมาเที่ยวเล่นก็คงจะไม่มีโอกาสเสียแล้ว”
หันซังเกอพยักหน้า “เจ้าก็พูดได้มีเหตุผล พวกเราที่อยู่ในสนามรบที่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อเพื่อสังหารข้าศึกมามาก พูดตามตรงก็แค่เพื่อที่จะสร้างครอบครัว ตบแต่งภรรยาและมีบุตรหลานเท่านั้น พอพูดเช่นนี้แล้ว พวกเราทำทุกอย่างไปก็แค่อยากจะเห็นเหล่าสตรีในจวนมีความปลอดภัยและมีความสุข และสามารถใช้ชีวิตอย่างที่ปรารถนาเอาไว้เท่านั้น”
สองพี่น้องตระกูลหันต่างก็เห็นว่าน้องสาวของตนเองถืออำนาจสูงสุด ตอนที่อยู่ในสนามรบพวกเขาสามารถสังหารข้าศึกด้วยความกล้าหาญชาญชัย ทว่าตอนกลับจวนไปก็มักจะรักใคร่น้องสาวจนแทบจะบูชาขึ้นฟ้า ซูอวี้ผิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม คนที่มีพี่สาวและน้องสาวย่อมเข้าใจคนที่มีหัวอกเดียวกัน จวนติ้งโหวก็รักใคร่น้องสาวจนบูชาดั่งเทพเจ้าเช่นกัน
อวิ๋นคุนยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นก็จิบชา คนที่เป็นเฉิงอ๋องซื่อจื่อก็ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง เหล่าองค์หญิงและจวิ้นจู่ในตระกูลราชวงศ์ แต่ละคนก็คือสตรีที่ฟ้าประทานลงมา ตั้งแต่ราชวงศ์ต้าอวิ๋นเปิดแคว้นมา เหล่าสตรีมากมายในราชวงศ์ก็มักจะทำตัวเย่อหยิ่งและมีอำนาจที่เหนือกว่าบุรุษจนนับไม่ถ้วน
พอเหล่าคุณชายทั้งหลายที่มีน้องสาวเอ่ยถึงบรรดาน้องสาวที่ออกไปเที่ยวเล่น พวกเขาจึงมีหัวข้อพูดคุยที่เหมือนกัน ทุกคนต่างก็เอ่ยพูดขึ้นเพียงไม่กี่ประโยคก็ได้จบบทสนทนานี้ มีเพียงเว่ยจางผู้เดียวที่นิ่งเงียบ และไม่พูดไม่จาตั้งแต่ต้นจนจบ
ทันใดนั้นหันซังเย่ว์ก็เสนอขึ้น “ฤดูกาลนี้จะว่าหนาวก็ไม่หนาว จึงเหมาะแก่การออกล่าสัตว์ยิ่งนัก สองปีที่ผ่านมา เขตล่าสัตว์ป่าภูเขาซีได้นำสัตว์ป่ามากักตุนเลี้ยงไว้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยไปเที่ยวเล่นดูเลย ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน”
หันซังเกอยิ้มอ่อน “เขตล่าสัตว์ป่าภูเขาซีเป็นเขตสงวนของราชวงศ์ เจ้าคิดว่าเจ้าอยากไปก็ไปได้หรือ”
“นี่เป็นเรื่องง่ายยิ่งนัก กลับไปก็ชวนพี่สามและพี่ห้าไปด้วยกันก็พอ” บิดาของอวิ๋นคุนเฉิงอ๋องเป็นน้องชายฮ่องเต้ผู้เกิดจากมารดาคนเดียวกันด้วย ส่วนพี่สามและพี่ห้าที่เขาเอ่ยถึงก็คือองค์ชายสามนามว่าอวิ๋นหมินและองค์ชายห้าอวิ๋นฉี
หันซังเย่ว์อายุน้อยกว่าพวกเขาที่นั่งอยู่ที่นี่หลายปี และเป็นช่วงเยาว์วัยพอดี เขาจึงรีบเอามือมาประสานกันแล้วคารวะให้กับอวิ๋นคุน “ท่านซื่อจื่อ เรื่องนี้จำต้องเป็นท่านไปพูดถึงจะเหมาะสม”
อวิ๋นคุนจึงตอบกลับอย่างเต็มปากเต็มคำ “ได้ กลับไปข้าจะไปหาพี่สาม พวกเจ้ารอฟังข่าวดีได้เลย”
ซูอวี้ผิงยิ้มพลางพูด “ตั้งแต่กลับเมืองหลวงมา กระดูกของข้านี้ก็เกือบมีขนงอกได้แล้ว”
“ที่กล่าวมาก็มีเหตุผล ทั้งวันก็มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องวุ่นวาย ไม่ได้ทำให้กระดูกและเส้นเอ็นได้เคลื่อนไหวบ้างเลย เสียนจวิน คราวนี้เจ้าควรจะแสดงฝีมือออกมาให้สุดความสามารถบ้าง เขตล่าสัตว์ป่าภูเขาซีเลี้ยงแต่สัตว์ป่าทั้งนั้น” อวิ๋นคุนเหมือนสามารถหาจุดที่น่าเพลิดเพลินออกเสียที
เว่ยจางเข้าไปอยู่ในค่ายทหารตั้งแต่อายุสิบสี่ปี และมักจะใช้ชีวิตที่แสนลำบากตรงเขตชายแดน สำหรับเขตล่าสัตว์ภูเขาซี เขาเพียงแค่ได้ยิน ทว่าไม่เคยได้เห็น ได้ยินอวิ๋นคุนพูดเช่นนี้จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น “เลี้ยงสัตว์ป่าในเขตภูเขาซี ไม่กลัวว่าพวกมันจะวิ่งไปสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านหรอกหรือ”
ซูอวี้ผิงคลี่ยิ้มพลางเอ่ยพูด “รอบทิศมีกำแพงสูงล้อมอยู่ ทุกๆ ปีก็จะมีคนไปซ่อมแซมสถานที่ วางใจเถอะ ฮ่องเต้ไม่มีทางปล่อยให้สัตว์ป่าหนีออกไปหรอก อีกอย่าง ถึงแม้จะเรียกสัตว์พวกนั้นว่าสัตว์ป่า และดูเหมือนพวกมันถูกเลี้ยงตามธรรมชาติ ทว่าก็สั่งให้คนเอาอาหารเช่นเนื้อไก่ เป็ด แกะ กระต่ายอะไรพวกนี้ให้พวกมันอยู่บ้าง พวกมันคงไม่หิวโหยจนกระโดดข้ามกำแพงหรอก”
เว่ยจางพยักหน้าแล้วไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก สถานที่ซึ่งฮ่องเต้จะทรงเสด็จไป แน่นอนว่าต้องจัดเตรียมอย่างเหมาะสม
ทางฝั่งบ้านนามู่เย่ว์
ซูอวี้เหิงพาสตรีชั้นสูงราวๆ สิบกว่าคนเดินเข้าไปในบ้านนามู่เย่ว์ พร้อมกับมีผู้คุ้มกันคอยรักษาความปลอดภัยจนต้องเดินประกบทั้งข้างหน้าและข้างหลัง เหยาเยี่ยนอวี่ก็ได้พาชุ่ยเวย ชุ่ยผิง และสาวใช้ผู้งดงามสิบสองคนที่องค์หญิงต้าจั่งทรงส่งมา ไปคอยอยู่ที่สวนลูกพลับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว