หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 7 พยายามทำอย่างดีที่สุด
ด้วยความตกใจ หลี่หมัวมัวจึงคุกเข่าลงตรงปลายเท้าของเหยาเยี่ยนอวี่ จึงทำให้เกิดเสียงดังกึกขึ้น นางกอดเท้าของเหยาเยี่ยนอวี่เอาไว้แล้วเอ่ยถาม “คุณหนูพูดจริงหรือเจ้าคะ”
“ถึงเวลานี้แล้ว ข้าจะเอาเรื่องเช่นนี้มากล่าวเล่นได้อย่างไร?” เหยาเยี่ยนอวี่พยุงตัวหลี่หมัวมัวขึ้นมา จากนั้นเอ่ยพูดอย่างช้าๆ “ข้ามีความรู้ด้านการแพทย์อยู่บ้าง ทว่าเวลานี้ไม่สะดวกที่จะบอกเจ้าได้ว่าข้าเรียนรู้มาด้วยวิธีใด แต่ข้านั้นไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการรักษามาก่อน ทำได้เพียงค่อยๆ รักษาไปทีละขั้นตอน หากคิดคำนวณดูทั้งหมดแล้ว ข้าเองก็มีความมั่นใจเพียงแค่ครึ่งเดียว เพียงแต่เกรงว่าบรรดานายหญิงของจวนและท่านโหวรวมถึงคุณชายสามจะไม่ยินยอมกับเรื่องนี้ เพราะถึงอย่างไรข้าก็ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการรักษามาก่อน พวกเขาคงไม่ให้ข้าทำการผลีผลามได้ ดังนั้น หากหมัวมัวอยากจะให้ข้าลองดูสักครั้ง หมัวมัวจำต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ”
หลี่หมัวมัวค่อยๆ เข้าใจขึ้นมา นางมองเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความฉงนสงสัย นางคาดเดาไม่ได้จริงๆ ว่าคุณหนูรองทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร อย่าได้กล่าวถึงหลังจากที่นางสามารถรักษาคุณหนูใหญ่จนหายดีเลย แค่กล่าวถึงฐานะของนางในตอนนี้ก็น่ากระอักกระอ่วนมากแล้ว อีกทั้งคุณหนูรองกล้าพูดอย่างมั่นใจว่ามีความมั่นใจเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น? เหล่าหมอหลวงในสำนักหมอหลวงยังไม่กล้าจะกล่าวคำพูดเช่นนี้เลย แล้วนางกล้าพูดออกมาได้อย่างไร
สำหรับความสงสัยของหลี่หมัวมัวนั้นเหยาเยี่ยนอวี่คาดเดาไว้แต่แรกแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด นางเพียงแค่ยกยิ้มแล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ “เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า อาการป่วยของพี่ใหญ่ข้า หมอหลวงบอกว่าอย่างไรกันแน่”
แม้ว่าหลี่หมัวมัวไม่ยินดีที่จะพูด ทว่าก็ไม่อาจไม่พูดตามความจริงได้ “บอกว่า…ไม่อาจมีชีวิตรอดผ่านฤดูร้อนนี้ ก็คือประมาณปลายเดือนนี้หรือต้นเดือนหน้าเจ้าค่ะ”
“เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งเดือนหรือ?” เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “เจ้าลองคิดดูเถอะ หากข้าอยากจะใช้ข้ออ้างนี้ในการทำร้ายพี่ใหญ่ นางจะเสียหายอย่างไร หรือจะกล่าวว่า ข้าจำเป็นต้องวางแผนเพื่อทำการอย่างอื่นอีกหรือ? เหตุใดข้าจะต้องคิดร้ายกับผู้ที่เหลือเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ยังเป็นพี่สาวของข้า?”
“คุณหนูกล่าวไม่ผิด คุณหนูไม่มีเหตุจำเป็นต้องวางแผนเพื่อทำการอย่างอื่นเจ้าค่ะ” คำพูดนี้ของหลี่หมัวมัวนั้นกล่าวจากใจ คุณหนูรองมีสิ่งใดให้ต้องวางแผนกันเล่า ขอเพียงคุณหนูใหญ่สิ้นใจ นางก็กลายเป็นฮูหยินน้อยสามแล้ว ทุกอย่างของคุณหนูใหญ่ล้วนตกเป็นของนาง อีกทั้งคุณหนูใหญ่ก็ไม่ได้มีทายาท ดังนั้นหากคุณหนูรองจะให้กำเนิดบุตรชายในวันข้างหน้าแก่คุณชายสามก็ย่อมเป็นไปได้ นางไม่มีเหตุผลใดที่ต้องไปทำร้ายคุณหนูใหญ่จริงๆ
“ข้าจะบอกเจ้าในสิ่งที่ข้าต้องการ” เหยาเยี่ยนอวี่จ้องตาของหลี่หมัวมัวไว้ แล้วพูดขึ้น “ข้าจะบอกเจ้าถึงความในใจของข้า และหวังว่าหมัวมัวจะสามารถช่วยข้าได้”
เวลานี้หลี่หมัวมัวกลับรู้สึกวางใจ ผู้ที่ไม่มีความต้องการนั้นยากที่จะควบคุม นางจึงไม่กล้าเชื่อใจ ด้วยเหตุนี้นางรีบโน้มตัวลงแล้วขานตอบ “คุณหนูกล่าวมาเถอะ ขอเพียงสามารถรักษาคุณหนูใหญ่จนหายดี ไม่ว่าจะให้บ่าวทำสิ่งใดเพื่อคุณหนูบ่าวล้วนยินดีเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่อยากเป็นจี้ซื่อของพี่เขยซู” แม้เหยาเยี่ยนอวี่จะเอ่ยเสียงเบา ทว่ากลับให้ความรู้สึกที่หนักแน่น “ข้าไม่อยากอยู่ที่จวนโหว ข้าอยากจะไปใช้ชีวิตในชนบทเพียงลำพัง อยากจะให้ตนเองได้ใช้ชีวิตด้วยความสงบและเรียบง่าย ดังนั้น หากข้าสามารถรักษาพี่ใหญ่จนหายดี ข้าปรารถนาว่าพี่ใหญ่จะอนุญาตให้ข้าออกไปจากจวน ไปอยู่ชนบท เมื่อครั้งตอนอยู่ที่บ้านข้าไม่อาจบอกเรื่องเหล่านี้กับฮูหยินได้ เพราะถึงอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินก็เลี้ยงดูข้ามานานหลายปี แล้วยังลำบากเหน็ดเหนื่อยเพื่ออบรมข้า หากกล่าวเช่นนั้นไปคงไม่ยอมให้ข้าได้ทำตามความต้องการเป็นแน่ ทว่าหากข้าสามารถรักษาพี่ใหญ่จนหายดี นี่ถือเป็นสิ่งที่ข้าสามารถตอบแทนฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยิน ดังนั้นหมัวมัวช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่”
“คุณหนูพูดจริงหรือเจ้าคะ!” หลี่หมัวมัวคิดไม่ถึง นางไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือความจริง
เหยาเยี่ยนอวี่ยื่นมือไปหยิบปิ่นหยก จากนั้นก็มีเสียง เพล้ง ดังขึ้น ปิ่นหยกตกลงบนพื้นและแตกเป็นเสี่ยงๆ ในพริบตา
“หากข้าพูดปดแม้เพียงคำเดียว ขอให้มีชะตากรรมเฉกเช่นเดียวกับปิ่นนี้”
“คุณหนู!” หลี่หมัวมัวตกใจ แล้วคุกเข่าด้วยเรือนร่างสั่นเทาตรงหน้าเหยาเยี่ยนอวี่ “บ่าวสมควรตาย! บ่าวไม่ได้มีเจตนาที่จะเค้นถามคุณหนู ความหมายของบ่าวคือ การที่คุณหนูจะไปใช้ชีวิตที่สุดแสนจะลำบากในชนบทอย่างนั้น อย่าได้กล่าวถึงฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินที่ไม่อาจทำใจได้เลย แม้แต่คุณหนูใหญ่…”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจาง “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก ทุกคนที่มีชีวิตอยู่ในใต้หล้านี้ ล้วนมีความปรารถนาที่แตกต่างกัน ข้าไม่คิดที่จะแก่งแย่งชิงดีในเรือนหลังใหญ่เช่นนี้ และไม่ลุ่มหลงในลาภยศ ข้าเพียงอยากจะใช้ชีวิตที่เงียบง่าย และอยู่อย่างสงบจนแก่ชราก็เท่านั้น”
ความเป็นจริง คำพูดเหล่านี้เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ควรที่จะพูดกับบ่าวรับใช้ เพียงแต่เวลานี้เหยาเฟิ่งเกอมีสติเลือนราง มีช่วงเวลาที่อาการเหมือนจะดีขึ้น แล้วกลับทรุด นางจึงไม่อาจรอได้แล้วจริงๆ หากเหยาเยี่ยนอวี่อยากรักษาอาการป่วยให้กับนาง จะต้องผ่านคนที่อยู่ข้างกายของเหยาเฟิ่งเกอก่อน ไม่เช่นนั้นแม้จะมีหลี่หมัวมัวเพียงคนเดียว นางก็ไม่อาจเข้าใกล้เหยาเฟิ่งเกอได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังต้องใช้การฝังเข็มและยาสมุนไพรในการรักษาอีกด้วย
คำพูดนั้นได้กล่าวไปอย่างชัดเจนแล้ว หลี่หมัวมัวซึ่งเป็นแม่นมของเหยาเฟิ่งเกอ แน่นอนว่าย่อมไม่ยินดีที่จะติดตามเหยาเยี่ยนอวี่ หากว่านางสามารถติดตามเหยาเฟิ่งเกอต่อไปได้ ความผูกพันยี่สิบกว่าปีของนายกับบ่าวนั้นไม่ใช่เรื่องเท็จ
ค่ำคืนที่เงียบสงบ ในเช้าตรู่วันถัดมา เหยาเยี่ยนอวี่มาเยี่ยมเยียนเหยาเฟิ่งเกอ นางไม่รู้ว่าหลี่หมัวมัวได้พูดสิ่งใดกับซานหู เมื่อซานหูเห็นเหยาเยี่ยนอวี่เดินเข้ามาก็น้อมทำความเคารพ ท่าทีของนางแลดูให้เกียรติตนมากกว่าก่อนหน้านี้
หลี่หมัวมัวใช้ข้ออ้างที่ว่าคุณหนูรองมีเรื่องจะพุดคุยกับฮูหยินน้อยสาม จึงไล่บรรดาสาวใช้ภายในเรือนออกไป เหลือซานหูเพียงคนเดียวที่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกาย แม้แต่ตัวนางก็ยังเฝ้าอยู่ด้านนอก และไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้
เหยาเยี่ยนอวี่จับชีพจรให้กับเหยาเฟิ่งเกอด้วยความตั้งใจ จากนั้นสั่งให้ซานหูนำกระถางธูปหอมออกไป พร้อมทั้งเปิดหน้าต่าง เหลือเพียงผ้ามุ้งผืนบาง เพื่อกันไม่ให้ยุงและแมลงบินเข้ามา
ภายนอกของเรือนนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้ต้นไม้นานาพันธุ์ เมื่อหน้าต่างเปิดกว้าง ลมเย็นๆ ที่พัดเข้ามาพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกบัว ใช้เวลาเพียงไม่นาน กลิ่นธูปหอมและกลิ่นยาสมุนไพรที่ฟุ้งกระจายอยู่ภายในเรือนก็ถูกลมพัดจนจางหายไปหมด อากาศในเรือนสดชื่นขึ้นมาก
เหยาเยี่ยนอวี่นำชุดฝังเข็มของตนที่ซ่อนเอาไว้ขึ้นมา นี่ไม่ใช่เข็มที่พิเศษอะไร แต่ครั้งหนึ่งขณะที่นางเดินทางไปไหว้พระที่วัด ได้บังเอิญเจอชายชราตั้งแผงขายอยู่ข้างถนน ด้วยเหตุนี้นางจึงซื้อกลับมา ตอนที่นางซื้อนั้นชุ่ยเวยยังได้เอ่ยถามว่านางจะซื้อสิ่งนี้มาทำการใด ทั้งที่ไม่สามารถนำมาเย็บปักถักร้อยได้ ในตอนนั้นนางตอบกลับไปเพียงสองพยางค์ก็คือเพื่อ ความสนุก
ชุดฝังเข็มนี้ถูกเหยาเยี่ยนอวี่เก็บซ่อนเอาไว้มานานกว่าหกปีแล้ว นางนำมาฝังเข็มให้กับบรรดาแมว สุนัข ไก่และกระต่ายที่นางเลี้ยงเอาไว้ แน่นอนว่า เพื่อที่จะหาจุดฝังเข็มบนเรือนร่างได้ถูกต้องและแม่นยำ เหยาเยี่ยนอวี่ก็เคยทดลองฝังเข็มลงบนร่างของนางแล้ว โดยนางแอบทำ ตอนที่นอนอยู่บนเตียงในกลางดึก นางแสร้งนอนหลับเพื่อหลอกให้ทุกคนออกไป จากนั้นก็ลองฝังเข็มกับตนเอง
ทว่าวันนี้ไม่เหมือนเดิม วันนี้นางไม่ได้ฝังเข็มลงบนเรือนร่างของตัวนาง ทว่ากลับฝังเข็มลงบนร่างของคนป่วย
เหยาเฟิ่งเกอเป็นคนไข้คนแรกของนาง หลังจากที่ทะลุมิติเข้ามาในที่แห่งนี้
เหยาเยี่ยนอวี่สั่งให้ซานหูเลิกผ้าห่มขึ้น พับขากางเกงของเหยาเฟิ่งเกอขึ้นมา เมื่อแน่ใจว่าจุดจู๋ซานหลี่ อยู่ที่ใด จึงหยิบเข็มออกมาแล้วฝังเข้าไป
ก่อนอื่นนางต้องรักษากระเพาะอาหารของเหยาเฟิ่งเกอ นางดื่มยาต้มมานานเกินไป อีกทั้งยังกินข้าวไม่ลง กระเพาะอาหารของนางถูกยาต้มกัดกร่อนจนเสียหายเกือบหมด เวลานี้ถึงขั้นกินอาหารเพียงไม่กี่คำก็อาเจียนออกมาแล้ว แม้ยาบำรุงจะดีเพียงใดหรือสูตรยาจะดีเพียงใด หากไม่อาจดื่มเข้าสู่ร่างกายได้นั้นล้วนถือว่าสูญเปล่า ในยุคสมัยที่ไม่มีน้ำเกลือให้หยอด ไม่มียาของฝั่งตะวันตกให้กิน การรักษาจึงอาศัยเพียงแค่ยาต้ม ทำได้เพียงอาศัยการดูดซึมของกระเพาะอาหารเท่านั้น
หลังจากที่นำกระถางธูปหอมออกไปแล้วเปิดหน้าต่างรับลมเข้ามา และฝังเข็มจนเสร็จ เหยาเยี่ยนอวี่ใช้เวลาถึงครึ่งชั่วยามกว่าจะออกมาจากห้องนอนของเหยาเฟิ่งเกอ พร้อมทั้งกำชับกับซานหู “อย่าเพิ่งให้พี่สาวดื่มยาต้ม นางในเวลานี้ หากดื่มเข้าไปก็จะเกิดการกัดกร่อนกระเพาะเสียมากกว่า ดื่มเข้าไปก็ล้วนไม่มีประโยชน์อันใด ทำข้าวต้มให้นางดื่มไปก่อนสักระยะ เจ้าคอยป้อนให้นางกินวันละหลายๆ รอบ อืม…สองชั่วยามป้อนหนึ่งครั้ง ครั้งหนึ่งป้อนครึ่งถ้วย ต้องนำข้าวโพดมาบดเป็นผงแล้วต้มเป็นน้ำแกง เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” *ซานหูรู้สึกขอบคุณสวรรค์ มีเพียงสวรรค์ที่รู้ดีว่า หากเหยาเฟิ่งเกอสิ้นใจ ชะตากรรมของตนคือต้องไปสวดมนต์ให้กับนายหญิงของตนที่วัดประจำตระกูลอย่างแน่นอน