หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 70 เท้าของซื่อจื่อหัก แม่นางเหยารักษาบาดแผล (3)
เหตุเพราะหันซังเกอได้รับบาดเจ็บ องค์ชายหลายองค์จึงไม่ได้กลับวังหลวง ทว่ากลับเดินทางตามพวกเขาไป นอกจากองค์ชายเจ็ดวัยเก้าชันษาที่ไม่ได้ออกนอกวังหลวงแล้ว องค์ชายที่เหลือล้วนมากันหมด ทำให้วัดต้าเจวี๋ยชุลมุนวุ่นวาย
แน่นอนว่าท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ท่านรีบเดินมาข้างหน้าดูบาดแผลของหันซังเกอ หลังจากที่เห็นบาดแผลอย่างชัดเจน พระอาจารย์ชราที่มีหนวดเคราสีดอกเลาประสานมือทั้งสิบนิ้วพนมขึ้น จากนั้นถอนหายใจ “อมิตาพุทธ! บาปกรรม บาปกรรม!”
หันซังเย่ว์มองไปที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงที่หรี่ตาลงแล้วพึมพำสวดมนต์ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกกังวลขึ้นมา เขาคว้าจีวรของท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียง “ท่านพระอาจารย์ขอรับ ตัวของพี่ชายข้าร้อนมาก ท่านพระอาจารย์ได้โปรดคิดหาวิธีด้วยเถอะ!”
ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงพยักหน้า ถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นตรงข้อเท้าของหันซื่อจื่อได้รับบาดเจ็บสาหัส ท่านทั้งหลายก็เป็นผู้มีวรยุทธ์ พวกท่านน่าจะรู้ดีว่า ‘กระดูกหักสามารถต่อได้ ทว่าเส้นเอ็นขาดยากที่จะรักษา’!”
“ท่านพระอาจารย์ ท่านเป็นผู้มีวิชาเก่งกล้า ได้โปรดเมตตา หาวิธีรักษาพี่ใหญ่ของข้าด้วย!” หันซังเย่ว์เจียนจะสิ้นสติ เป็นเพราะช่วยชีวิตตน ทำให้พี่ชายถูกหมีสีนิลที่สมควรตายนั่นกัดข้อเท้า พี่ใหญ่ของข้าเป็นผู้ที่ทระนงในศักดิ์ศรีเช่นนั้น จะรับได้อย่างไรที่ตนต้องกลายเป็นผู้พิการ! เวลานี้ข้ายินดีให้ตัวเองเป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บแทน!
หลังจากที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ท่านก็เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “อาตมาไม่มีวิธีรักษาที่อัศจรรย์แต่อย่างใด ทว่ามีคนผู้หนึ่งที่อาจจะมีวิธีการรักษา”
“ผู้ใด!” หันซังเย่ว์รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที ไม่ว่าจะเป็นใคร ขอเพียงสามารถต่อเส้นเอ็นของพี่ใหญ่ แม้จะให้เขาเป็นทาสรับใช้ก็ยินดี
เห็นได้ชัดว่าท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงกำลังอึดอัดใจ แล้วนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยมองไปทางซูอวี้ผิง
ซูอวี้ผิงถูกท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงมองด้วยสายตาแปลกพิลึก จึงรีบเอ่ยขึ้น “ท่านพระอาจารย์ ท่าน…เหตุไฉนจึงมองมาที่ข้า หากข้ามีวิธีรักษา แล้วจะรอถึงเวลานี้หรือ”
ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงส่ายหน้ายกยิ้มบางๆ แล้วพูดขึ้น “ผู้ที่ข้าจะแนะนำให้คือญาติในจวนของท่าน”
“ท่านพระอาจารย์รีบกล่าวมาเถอะว่าเป็นผู้ใด” อวิ๋นคุนมีอุปนิสัยที่ใจร้อน สิ่งที่เขาไม่อาจทนได้ที่สุดก็คือกิริยาท่าทางที่เชื่องช้า
“เป็นแม่นางที่มาจากตระกูลเหยา”
“แม่นางเหยา?” อวิ๋นคุนหันไปมองซูอวี้เสียงในทันที “ฮูหยินของเจ้าคือบุตรีของเหยาหย่วนจือข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองใช่ไหม?”
“คำพูดนี้กล่าวได้ไม่ผิด ทว่าแม่นางเหยา…ไม่น่าจะใช่ฮูหยินของข้ากระมัง” ซูอวี้เสียงนิ่งงัน
“คือคุณหนูรองเหยา?” ซูอวี้ผิงสงสัยยิ่งนัก คล้ายว่าได้ยินเรื่องที่น่าแปลกพิลึก
“เวลานี้คุณหนูเหยาอยู่ที่ใด” ทว่าหันซังเย่ว์กลับไม่คิดอะไรมากมาย สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ขอเพียงสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของพี่ใหญ่ ก็เป็นผู้มีพระคุณของเขา เป็นผู้มีพระคุณของตระกูลหัน
เวลานี้ผู้ที่เยือกเย็นที่สุดคือเฟิงเซ่าเชิน คุณชายเฟิงพยักหน้าเห็นด้วยแล้วกล่าวคำชม “คุณหนูเหยามีความสามารถในการรักษาที่เยี่ยมยอดจริงๆ”
“เช่นนั้นข้าจะไปเชิญนางเดี๋ยวนี้!” หันซังเย่ว์ดึงซูอวี้เสียงแล้วเดินออกไป “เจ้าไปกับข้า!”
“เฮ้ เฮ้…” ซูอวี้เสียงถูกหันซังเย่ว์ลากออกมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“พี่ใหญ่ซู ช่วยดูแลพี่ชายของข้าให้ที ข้าจะกลับมาโดยเร็ว” หลังจากหันซังเย่ว์ออกไปก็ตะโกนขึ้น
“อมิตาพุทธ!” ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงหันหน้าไปที่ประตูแล้วสวด จากนั้นกล่าวว่า “อาตมาขอตัวออกไปบอกให้คนต้มสมุนไพรบรรเทาพิษไข้มาให้”
“รบกวนท่านพระอาจารย์ด้วย” ซูอวี้ผิงดึงสติกลับมาเล็กน้อย เขามองไปที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงแล้วพยักหน้า ส่งเขาออกไป
“นี่ น้องสาวของน้องสะใภ้สามของเจ้า…มีที่มาที่ไปอย่างไร” อวิ๋นคุนเอ่ยถามซูอวี้ผิงด้วยใบหน้าฉงนสงสัย
ซูอวี้ผิงส่ายหน้าตอบไม่ได้ “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร!”
“คุณหนูเหยามีความสามารถด้านการรักษาที่เยี่ยมยอด แม้แต่ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงยังชื่นชมนาง” เฟิงเซ่าเชินไม่ได้รู้สึกสงสัยในความสามารถด้านการรักษาของเหยาเยี่ยนอวี่แม้แต่น้อย
ซูอวี้ผิงจับมือของเฟิ่งเซ่าเชินเอาไว้ แล้วถามขึ้น “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร”
“ข้า…” เฟิ่งเซ่าเชินนึกถึงสิ่งที่มารดาของตนหลิงซีจวิ้นจู่กำชับขึ้นมาในทันใด ท่านแม่ไม่ให้ตนเอ่ยถึงเรื่องที่คุณหนูเหยาช่วยชีวิตฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้โดยเด็ดขาด คำพูดที่อยู่ในปากของเขาจึงต้องกลืนลงไป เขาทำปากแข็ง จากนั้นสะบัดมือแล้วกล่าวขึ้น “ข้ารู้ก็แล้วกัน”
“นี่ เจ้ารู้ได้อย่างไร” ซูอวี้ผิงยังคงไล่ถามเฟิ่งเซ่าเชิน
“ข้า…” เฟิ่งเซ่าเชินครุ่นคิด จู่ๆ ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายขึ้นมา “เมื่อหลายวันก่อนคุณหนูสามของจวนเยี่ยนอ๋องออกไปเที่ยวเล่น จนทำให้ดวงหน้าของนางได้รับบาดเจ็บ หลังจากที่นางใช้ยารักษาบาดแผลที่คุณหนูเหยาให้มา ก็ได้ผลดียิ่งนัก! ไม่ทิ้งรอยแผลเป็นบนใบหน้าของนางแม้แต่น้อย!”
“หืม? แล้วสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับบาดแผลของหันซื่อจื่ออย่างไร” ซูอวี้ผิงไม่เข้าใจในสิ่งที่เฟิ่งเซ่าเชินพูดแม้เพียงน้อย เขาแต่งงานมีครอบครัวนานแล้ว จึงไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ในเมืองอวิ๋น
เฟิ่งเซ่าเชินถูกต้อนถามจนรำคาญใจ สะบัดมือแล้วพูดขึ้น “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ความสามารถในการรักษาของคุณหนูเหยายอดเยี่ยมยิ่งนัก! ประเดี๋ยวนางมาถึงเจ้าก็จะรู้เอง”
“พวกเจ้าสองคน พอได้แล้ว” อวิ๋นคุนที่หงุดหงิดและรำคาญใจ ทว่าไม่มีที่ระบาย จึงได้เพียงพร่ำบ่นบุรุษสองคนที่เอาแต่พูดไม่หยุด
ซูอวี้ผิงลูบจมูกไปมาอย่างอดกลั้น
เฟิ่งเซ่าเชินยิ้มอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็เดินออกไปหาน้ำชามาดื่ม
กล่าวได้ว่าวันนี้เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่ได้อยู่อย่างว่างๆ นางนั่งรถม้าไปบ้านนาน้อยวัวจวูแต่เช้าตรู่ เนื่องด้วยอากาศในวันนี้แจ่มใสยิ่งนัก นางไม่เพียงใคร่อยากชื่นชมหิมะตลอดทางไปและทางกลับ สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือการตรวจดูความเรียบร้อยทั้งด้านในและด้านนอกของบ้านนาน้อยวัวจวู
เฝิงโหย่วฉุนเป็นบ่าวรับใช้ที่มากความสามารถและพึ่งพาได้ บ้านนาน้อยวัวจวูมีเขาคอยดูแลเช่นนี้ ทำให้ซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างได้ไม่เลว แม้ว่ายังซ่อมแซมไม่เสร็จ ทว่าก็ฟื้นฟูไปกว่าเจ็ดแปดส่วนแล้ว เหลือรายละเอียดยิบย่อยที่ต้องใช้เวลาในการเก็บกวาดเท่านั้น
เป้าหมายสำคัญของเหยาเยี่ยนอวี่คือการตรวจดูที่ดินรกร้างในบ้านนาน้อยวัวจวู นางมีความคิดว่ารอให้อากาศอบอุ่นขึ้นเสียหน่อย แล้วจะเริ่มเตรียมดินเพื่อทำการเพาะปลูก โดยจะมีการเพาะปลูกสมุนไพรที่ใช้อยู่บ่อยครั้ง หรือไม่นางก็อาจจะสร้างเรือนกระจกทำเป็นเรือนเพาะชำขึ้นมาสักหลัง เพื่อที่จะปลูกสมุนไพรได้ตลอดทั้งสี่ฤดูกาล
กล่าวโดยรวม เวลานี้คุณหนูเหยามีความสนใจในเรื่องสมุนไพร มีสมุนไพรบางชนิด นางสามารถเก็บได้ตามผืนป่าทั่วไป ทว่าก็มีสมุนไพรหลายชนิดก็ยังหาไม่เจอ นี่จึงเป็นเรื่องที่ทำให้นางรู้สึกเคร่งเครียดยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้นางเลยคิดจะเพาะปลูกด้วยตนเอง เพราะถึงอย่างไรนางก็มีที่ดินอยู่แล้ว
และแน่นอน ที่ดินเพียงสี่สิบกว่าไร่ การปลูกสมุนไพรเพียงพื้นที่เท่านี้ ก็คงไม่อาจทำให้มั่งมีขึ้นมาได้ สิ่งที่สำคัญก็คือความชอบ เพราะถึงอย่างไรคุณหนูเหยาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกินและเสื้อผ้า นางเองก็มีความสนใจเพียงเท่านี้
นางยุ่งวุ่นวายมาทั้งวัน ตอนที่นางกลับไปถึงบ้านนามู่เย่ว์ท้องฟ้าก็มืดเสียแล้ว เหยาเยี่ยนอวี่ถอดรองเท้าหนังกวางออก จากนั้นก็สวมรองเท้าปักลายที่อบอุ่น นางทิ้งตัวลงพิงบนตั่งไม้ด้วยความเกียจคร้าน แล้วดื่มน้ำแกงร้อนๆ ที่มีควันลอยฟุ้งขึ้นมา ภายในใจของนางกำลังครุ่นคิดเรื่องเรือนเพาะชำ ทันใดนั้นเองชุ่ยผิงก็เดินเข้ามาด้วยความกระวนกระวาย “คุณหนู! คุณชายสามมาเจ้าค่ะ…และ…และยังมี…”
เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้ว พร้อมกล่าวเชิงตำหนิ “เหตุใดจึงตื่นตระหนกเช่นนี้” จากนั้นม่านก็ถูกเลิกขึ้น ซูอวี้เสียงและบุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งพุ่งตัวเข้ามา
“?!” เหยาเยี่ยนอวี่ตกใจและเหยียดตัวตรง นางขมวดคิ้วพลางมองผู้ที่มาเยือน
“น้องรอง” ซูอวี้เสียงถูกหันซังเย่ว์ลากตัวและวิ่งเข้ามาด้านใน ตอนที่วิ่งเข้ามานั้น เขาเกือบจะสะดุดประตูจนล้มหน้าคว่ำเสียแล้ว เมื่อเห็นเหยาเยี่ยนอวี่มองตนด้วยสีหน้าตกใจ เขาพลันกลืนน้ำลายหนึ่งอึก จากนั้นพูดขึ้น “บุรุษผู้นี้คือคุณชายรองแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง คือเรื่องมันเป็นเช่นนี้…”
“คุณหนูเหยา” หันซังเย่ว์ไม่รอให้ซูอวี้เสียงกล่าวจบ เขาก็เดินหน้าไปสองก้าวพร้อมประสานมือทั้งสองเพื่อคารวะอย่างจริงจัง “คุณหนูเหยา ได้โปรดช่วยพี่ชายของข้าด้วย”