หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 76 แผลของซื่อจื่อดีขึ้น ทุกคนล้วนตื้นตันใจ (4)
“หืม?” หันซังเกอไม่แน่ใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เจิ้นกั๋วกงหันเวยถอนหายใจ ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “เมื่อคืนเพื่อที่จะช่วยรักษาเจ้า คุณหนูเหยาได้ใช้พละกำลังเป็นจำนวนมาก จนทำให้นางเป็นลมหมดสติไป ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงกล่าวว่านางจำต้องพักผ่อนให้มาก สุขภาพร่างกายจึงจะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้”
“เพื่อช่วยรักษาข้า?” หันซังเกอหันไปมองหันซังเย่ว์ด้วยสายตาตกใจ
หันซังเย่วห์พยักหน้าเล็กน้อย ทว่าไม่ได้พูดสิ่งใด
หันซังเกอถอนหายใจ แล้วพูดขึ้น “หากเป็นเช่นนี้ บุญคุณในครั้งนี้คงจะทวีคูณแล้ว”
เจิ้นกั๋วกงตัดสินใจแทนบุตรชายคนโตของตน “ไม่ว่าอย่างไร การที่เจ้าอยู่ที่นี่ต่อไปนั้นก็ไร้ประโยชน์ พวกเราทุกคนกลับกันไปก่อนเถิด เวลานี้มารดาของเจ้ายังคงเป็นห่วงบาดแผลของเจ้า หากยังไม่กลับไปนั้น เกรงว่านางจะมาด้วยตนเองแล้ว คุณหนูเหยาอยู่ที่นี่…ให้คนที่เหมาะสมคอยดูแลปรนนิบัติรับใช้ ไว้รอให้นางฟื้นขึ้นมาค่อยว่ากันเถอะ” พูดจบ เจิ้นกั๋วกงหันไปมองซูอวี้ผิงและซูอวี้เสียง “ซูซื่อจื่อและคุณชายสามมีความคิดเห็นเช่นไร”
ซูอวี้เสียงรีบพูดขึ้น “ท่านกั๋วกงกล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก ข้าได้ให้คนกลับไปรายงานฮูหยินของข้าแล้ว นางจะส่งคนมาดูแลน้องสาวแน่นอน ท่านกั๋วกงอย่าได้กังวล อีกทั้งที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่สำหรับรักษาตัว หลายสิ่งหลายอย่างล้วนไม่สะดวกเท่าใด ทุกคนรีบกลับเข้าเมืองหลวงเถอะ”
หลังจากที่ปรึกษาหารือจนได้ข้อสรุปแล้วนั้น ทุกคนจึงไม่ได้รอช้า เมื่อพวกเขากินอาหารมังสวิรัติที่ทางวัดจัดเตรียมให้เสร็จแล้วนั้น ก็เปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมตัวกลับเข้าเมือง
เฟิงเซ่าอิ่งรู้สึกว่าการให้เหยาเยี่ยนอวี่อยู่ในวัดเช่นนี้เป็นการไม่สมควร การที่เหยาเยี่ยนอวี่เป็นลมหมดสติไปนั้นเนื่องจากรักษาสามีของนาง จวนเจิ้นกั๋วกงไม่อาจที่จะเหลือทิ้งแค่สาวใช้เอาไว้แล้วพวกตนก็เดินทางกลับ ด้วยเหตุนี้นางจึงไปหารือกับเจิ้นกั๋วกงว่าตนจะอยู่ที่นี่เพื่อคอยดูแลเหยาเยี่ยนอวี่ ถึงอย่างไรก็ควรที่จะรอให้คนของฮูหยินสามจวนติ้งโหวมาถึงเสียก่อน นางจึงจะกลับไปได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะมีคำตอบให้กับตระกูลเหยาไม่ใช่หรือ
ทางด้านเจิ้นกั๋วกงรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่สมควรยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงตกลง
เมื่อเฟิงเซ่าเชินได้ยินเช่นนี้ จึงกล่าวว่าตนไม่รีบร้อนกลับเข้าเมือง อยากที่จะอยู่เป็นเพื่อนพี่สาว เจิ้นกั๋วกงคิดเพียงว่าสองพี่น้องมีใจรักใคร่ การที่น้องชายไม่วางใจให้พี่สาวอยู่ในวัดเพียงลำพัง จึงอาสาอยู่เป็นเพื่อนนั้นถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เขาจึงพูดกำชับเพียงไม่กี่คำ แล้วไม่ได้พูดสิ่งใดอีก
ซูอวี้เสียงขมวดคิ้วเป็นปม หันไปมองซูอวี้ผิงแล้วกล่าวพูดขึ้น “พี่ใหญ่ ให้ข้าอยู่ที่นี่ต่อเถิด ท่านกลับไปบอกท่านแม่สักคำหนึ่ง บอกให้ฮูหยินของข้าส่งสาวใช้ที่รู้งานมาสองคน”
ซูอวี้ผิงพยักหน้า พร้อมทั้งคิดว่าแม้แต่เฟิงเซ่าเชินเองก็อยู่ที่นี่ หากคนตระกูลซูไม่อยู่ที่นี่แม้แต่คนเดียว เกรงว่าจะไม่สมควร เขาจึงตกลง
ทุกคนออกไปด้านนอกด้วยความรีบร้อน แม้ว่าวัดต้าเจวี๋ยจะเป็นวัดของราชนิกุล ทว่าอย่างไรก็เป็นสถานที่ที่นักบวชพักอาศัย ในสภาพอากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้ การที่ไม่มีพื้นอุ่นและไม่มีเตาผิงนั้น เหล่าราชนิกุลไม่อาจทนได้จริงๆ พวกเขารีบกลับไปที่จวนเสียยังดีกว่า
มีเพียงเว่ยจางเท่านั้นที่เดินตามอยู่ด้านหลังด้วยความเชื่องช้า ตอนที่ออกมาจากวัดเขาหันหลังกลับไปมองด้วยความไม่วางใจอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเฮ่อซีและเก๋อไห่เห็นเช่นนั้น จึงสบตากันแล้วหัวเราะ สายตาที่เย็นยะเยือกของเว่ยจางกวาดมองไป เก๋อไห่หดคอลงในทันที เขายิ้มแห้งๆ จากนั้นยื่นบังเหียนม้าไปให้ “แม่ทัพเว่ยเซ่า เชิญขึ้นม้าขอรับ”
เว่ยจางไม่พูดอะไร รับบังเหียนม้ามาแล้วกระโดดขึ้นหลังม้า
เฮ่อซีเดินขึ้นหน้าสองก้าวแล้วคว้าบังเหียนม้าของเว่ยจาง จากนั้นพูดเสนอ “ท่านแม่ทัพ ให้ข้ากลับไปที่เรือนแล้วให้ฮูหยินของข้ามาคอยดูแลดีหรือไม่”
เว่ยจางปรายตามองดูแขนของเฮ่อซีที่มีผ้าขาวพันเอาไว้ จากนั้นส่ายหน้า “เจ้าบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ กลับไปที่เรือนให้ฮูหยินของเจ้าคอยดูแลตัวเจ้าเถอะ”
“เพราะเป็นเช่นนี้ ข้าจึงจำต้องให้นางมา” เฮ่อซียิ้มบางๆ “ข้าเห็นว่ายารักษาบาดแผลของคุณหนูเหยาดียิ่งนัก จึงอยากจะขอกลับไปใช้เองสักนิดทว่าข้าก็ไม่กล้าเอ่ยปากขอ ทำได้เพียงให้ฮูหยินของข้ามา”
เว่ยจางกลอกตามองเฮ่อซี เขาดึงบังเหียนม้ามาและก่อนที่จะควบม้าออกไปนั้นเขาได้ทิ้งคำพูดไว้หนึ่งประโยค “เจ้าคิดดูเองเถอะว่าควรจะทำเช่นไร”
เฮ่อซียิ้มแล้วขยิบตาให้เก๋อไห่ เก๋อไห่คว้าจับมือของเฮ่อซีเอาไว้ “พี่ใหญ่ๆ หากพี่สะใภ้ได้ยารักษาบาดแผลมาแล้วแบ่งให้ข้าด้วย”
“เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บ จะเอายารักษาบาดแผลไปทำอะไร”
“ถึงแม้ว่าครั้งนี้ข้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ ทว่าไม่อาจรับรองได้ว่าครั้งต่อไปจะไม่ได้รับบาดเจ็บ สำหรับพวกเรามีหรือที่ยารักษาบาดแผลจะไม่จำเป็น ข้าจำต้องเตรียมพร้อมสักหน่อย”
“ไปขอเอาเอง” เฮ่อซียกยิ้มบางๆ
เก๋อไห่ขมวดคิ้วแล้วร้องตะโกนขึ้น “ข้าเองก็อยากทำเช่นนั้น ทว่าหากแม่ทัพเว่ยเซ่ารู้ว่าข้าลอบไปพบคุณหนูเหยา เกรงว่าเมื่อกลับไปคงจะใช้ดาบแทงข้าอย่างแน่นอน”
เฮ่อซีหัวเราะเสียงดัง กระโดดขึ้นหลังม้าแล้วขี่ตามเว่ยจางไป
เหยาเยี่ยนอวี่นอนหลับไปจนถึงเที่ยงวันแล้วสะดุ้งตื่น เมื่อนางลืมตาขึ้นก็ตกใจเพราะคนที่อยู่ข้างกาย
“คุณชายเฟิง?!” เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วเป็นปม “คุณชายมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ”
“คุณหนูเหยา ในที่สุดก็ฟื้นขึ้นมาเสียที!” เฟิงเซ่าเชินรีบลุกขึ้น จากนั้นสั่งสาวใช้ที่อยู่ด้านข้าง “เร็วเข้า พยุงตัวคุณหนูเหยาขึ้นมานั่งเสียก่อน นั่นผู้ใดกัน ชิวลู่? รีบไปรินน้ำอุ่นให้คุณหนูเหยาเร็วเข้า…”
เฝิงหมัวมัวถอนหายใจด้วยความจนปัญญา พร้อมกล่าวกับเฟิงเซ่าเชิน “คุณชายเฟิง พวกบ่าวจะคอยดูแลปรนนิบัติคุณหนูตื่นนอนเองเจ้าค่ะ เชิญคุณชายไปนั่งรอด้านนอกเถอะเจ้าค่ะ”
“ได้ เช่นนั้นก็ได้” เฟิงเซ่าเชินขานรับแล้วเดินออกไป ทว่าเมื่อเดินไปถึงตรงหน้าประตูก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้ากลับมา “คุณหนูเหยา หากท่านต้องการสิ่งใดก็บอกข้ามาได้เลย”
เหยาเยี่ยนอวี่พูดบ่นในใจ ข้าจะต้องการสิ่งใดแล้วมันข้องเกี่ยวอะไรกับท่าน คุณชายอย่างท่านคอยเอาอกเอาใจผู้อื่นเช่นนี้มันดีแล้วหรือ
หลังจากที่เฟิงเซ่าเชินออกไปแล้ว เหยาเยี่ยนอวี่ก็พูดกระซิบเอ่ยถามเฝิงหมัวมัว “เหตุใดเขาจึงอยู่ที่นี่”
เฝิงหมัวมัวเล่าเรื่องที่เจิ้นกั๋วกงพาท่านซื่อจื่อกลับเข้าเมือง จากนั้นให้ฮูหยินของท่านซื่อจื่ออยู่ที่วัดคอยดูแลจัดการเรื่องต่างๆ อีกทั้งเมื่อครู่ฮูหยินของคุณชายรองจวนติ้งโหวก็ได้มาเยี่ยมเยียนคุณหนูเพราะคำสั่งของลู่ฮูหยิน ทว่าเฟิงเซ่าอิ่งเกรงว่าจะเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของเหยาเยี่ยนอวี่ จึงพาซุนฮูหยินน้อยไปพูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นที่เรือนหลัก แต่ประโยคสุดท้ายเฝิงหมัวมัวกลับถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “คุณชายเฟิงท่านนี้ลอบเข้ามา พวกบ่าวเองก็กล่าวเตือนไปหลายครั้งหลายคราแล้ว ทว่าคุณชายเฟิงกลับไม่ยอมออกไป พวกบ่าวเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดีเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ลอบพูดในใจ นี่คงจะเป็นจย่าเป่าอวี้[1]ที่มีชีวิต
เมื่อคืนวานช่างเป็นการรักษาที่เหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก เหงื่อของนางไหลออกมาท่วมเรือนร่าง ร่างกายของนางเกือบจะขาดน้ำ อีกทั้งนอนหลับติดต่อกันเจ็ดแปดชั่วยาม ทำให้เวลานี้ทั่วทั้งร่างของนางส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยว นางฝืนกายพยายามเหยียดกายลุกขึ้น แต่นางรู้สึกว่าเสื้อผ้าของตนเหนียวไปหมด ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้จึงขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “ข้าไม่ได้เป็นอะไร ที่แห่งนี้คือวัดวาอาราม พวกเราไม่สมควรอยู่นาน หมัวมัวสั่งให้คนไปเตรียมรถม้าเถอะ พวกเรากลับเรือนกัน”
เฝิงหมัวมัวขานรับ พยุงตัวเหยาเยี่ยนอวี่ขึ้นเพื่อที่นางจะได้ลุกลงจากเตียง ชุดกระโปรงหรูผ้าต่วนสีงาช้างของเหยาเยี่ยนอวี่ในเวลานี้ยับยู่ยี่ ทำให้คนมองดูไม่สบายตายิ่งนัก โชคดีที่เมื่อวานตอนที่ออกมานั้นเฝิงหมัวมัวฉุกคิดขึ้นได้ จึงหยิบเสื้อผ้ามาหนึ่งชุด เวลานี้นางจึงสั่งให้สาวใช้ปิดประตูให้สนิท แล้วตนก็คอยรับใช้ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเหยาเยี่ยนอวี่
สาวใช้ที่เฟิงเซ่าอิ่งส่งมานั้นยกกะละมังและผ้าเข้ามา เพื่อคอยปรนนิบัติเหยาเยี่ยนอวี่ล้างหน้า เมื่อซุนฮูหยินน้อยและเฟิงเซ่าอิ่งที่พูดคุยกันอยู่ในเรือนหลักได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ทั้งสองจึงเข้ามาดูอาการของนาง
แน่นอนว่าการที่ซุนฮูหยินน้อยมาที่นี่เป็นเพราะคำสั่งของลู่ฮูหยิน เหตุเพราะเมื่อตอนเที่ยงวัน หลังจากที่เจิ้นกั๋วกงกลับไปถึงจวนก็ได้บอกเล่าเรื่องที่คุณหนูรองเหยาช่วยรักษาหันซังเกอให้กับองค์หญิงใหญ่หนิงหวาฟัง องค์หญิงใหญ่หนิงหวาจึงให้บุตรีของตนหันหมิงชั่นพาหมัวมัวของตนออกมาจากวังหลวงพร้อมกับของกำนัลมากมาย เพื่อไปกล่าวขอบคุณในน้ำใจนี้ที่จวนติ้งโหว
การกระทำขององค์หญิงใหญ่หนิงหวาเช่นนี้ หากลู่ฮูหยินยังคงไม่ถามไถ่อาการของเหยาเยี่ยนอวี่เกรงว่าคงไม่อาจทำได้
[1] จย่าเป่าอวี้ หนึ่งในตัวละครเรื่องความฝันในหอแดง ซึ่งเป็นสี่ยอดวรรณคดีของจีน