หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 78 ย้ายเข้าบ้านนาน้อยวัวจวู ปฏิเสธงานสมรส (2)
เฝิงหมัวมัวรีบพูดปลอบโยนทันที “คุณหนู เหตุใดจึงต้องโกรธเคืองด้วยเจ้าคะ คุณชายเพียงแค่เกรงว่าคุณหนูจะเป็นอะไรไปก็เท่านั้น”
“พี่เขยกำลังคิดสิ่งใด ภายในใจของข้ารู้ดี หมัวมัวอย่าได้ปลอบโยนข้าเลย ทำตามที่ข้าสั่งเถอะ” พูดจบ เหยาเยี่ยนอวี่ก็เหยียดกายลุกขึ้นแล้วเดินไปยังเรือนอาบน้ำ พร้อมออกคำสั่ง “สั่งให้คนเตรียมน้ำร้อนมาให้มากหน่อย ข้าอึดอัดจะตายอยู่แล้ว”
ชุ่ยผิงพาสาวใช้สองคนเดินเข้ามา พวกนางต่างก็ถือถาดขนาดใหญ่เอาไว้ในมือ บนถาดนั้นมีกลีบดอกไม้แห้งหลากชนิด ชุ่ยผิงขานตอบ “จัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูชื่นชอบกลีบดอกไม้ชนิดใดเจ้าคะ”
“กุหลาบ” เหยาเยี่ยนอวี่ถอดผ้าฝ้ายบนเรือนร่างออก เหลือเพียงผ้าไหมบางๆ เพียงหนึ่งชั้น จากนั้นเดินไปตรงหน้าอ่างอาบน้ำ นางยื่นมือไปทดสอบความอุ่นของน้ำ
สาวใช้นามปั้นซย่าโรยกลีบดอกกุหลาบลงไปในน้ำ ชุ่ยผิงเดินเข้ามาคอยปรนนิบัติเหยาเยี่ยนอวี่ถอดเสื้อผ้า จากนั้นนางก็ค่อยๆ ก้าวลงไปในอ่างอาบน้ำ ใช้น้ำอุ่นแช่เรือนร่างที่อ่อนล้า เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจด้วยความสบาย จากนั้นหลับตาลง
ชุ่ยผิงนวดกดจุดบนศีรษะให้กับนางเพื่อคลายความเหนื่อยล้า ทางด้านสาวใช้อีกคนนามไม่ตงก็ได้ใช้ขันไม้ตักน้ำอุ่นราดลงบนหัวไหล่ของเหยาเยี่ยนอวี่ เหยาเยี่ยนอวี่แช่น้ำด้วยความอิ่มเอมกว่าหนึ่งก้านธูปจึงจะลุกขึ้นมา จากนั้นชุ่ยเวยก็ได้นำน้ำมันกุหลาบมาชโลมทั่วเรือนร่างของนาง และสุดท้ายก็ชโลมลงบนดวงหน้าของนางถึงสามรอบ พร้อมทั้งกล่าวพูดด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย “อากาศทางเหนือช่างแห้งยิ่งนักเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่พูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำเครื่องประทินผิวโสมกุหลาบอีกสักหน่อย”
“เครื่องประทินผิวที่พวกบ่าวปรุงขึ้นมาเองนั้น ไม่ตงนำออกไปแล้วเจ้าค่ะ และพวกบ่าวรับใช้ก็นำไปแบ่งกันจนหมด ทำให้บ่าวอยากจะตีนางแรงๆ สักครั้งเสียจริง ทว่าเครื่องประทินผิวที่คุณหนูใหญ่ให้คนส่งมานั้น บ่าวทาแล้วรู้สึกว่าใช้ดีเช่นกันเจ้าค่ะ เพียงแต่กลิ่นของเครื่องประทินผิวเหล่านั้นหอมจนฉุน เกรงว่าคุณหนูจะไม่ชอบ”
เหยาเยี่ยนอวี่แช่น้ำและอาบน้ำจนรู้สึกสบายตัว ทำให้อารมณ์ของนางดีขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อได้ฟังชุ่ยเวยพูดบ่น นางจึงยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “ประเดี๋ยวกลับไปค่อยปรุงเพิ่ม ของแค่นี้ไม่มีค่าเท่าใด อีกทั้งพวกนางยังคอยปรนนิบัติรับใช้ข้าทุกคืนวัน ข้าไม่มีสิ่งอื่นใด มีเพียงเครื่องประทินผิวโสมกุหลาบเท่านั้นที่จะให้พวกนางได้”
เฝิงหมัวมัวหยิบชุดผ้าไหมเข้ามา เมื่อได้ยินคำพูดของเหยาเยี่ยนอวี่จึงพูดขึ้น “คุณหนูตามใจพวกนาง ทำให้พวกนางยิ่งเหิมเกริม กล้าที่จะเอาเครื่องประทินผิวของคุณหนูออกไปแบ่งกันใช้ หมัวมัวคิดว่าคุณหนูควรจะลงโทษให้หนักสักครั้งนะเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจนตาหยี จากนั้นมองดูไม่ตงที่กำลังก่อไฟ พร้อมพูดขึ้น “อื้ม คราวหน้าข้าจะไม่ปล่อยให้พวกนางทำตามอำเภอใจแล้ว เครื่องประทินผิวโสมกุหลาบไม่ใช่ของที่มีราคา ทว่าในเรือนของข้ามียาสมุนไพรมากมาย หากสาวใช้คนใดตะกละตะกลามกินเข้าไป เกรงว่าจะถึงแก่ชีวิตได้”
เฝิงหมัวมัวยิ้มด้วยความพอใจ “ไม่ต้องถึงแก่ชีวิตหรอกเจ้าค่ะ เพียงแค่ทำให้พวกนางกินแล้วท้องไส้ปั่นป่วน ทำสิ่งใดก็ได้รับสิ่งนั้น ให้พวกนางหลาบจําเสียบ้างก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”
ขณะที่พวกนางหัวเราะและเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่นั้น ปั้นซย่าก็เดินเข้ามาเอ่ยถาม “อาหารมื้อค่ำของคุณหนูทำเสร็จแล้วเจ้าค่ะ หมัวมัวได้โปรดชี้แนะ ให้ยกอาหารขึ้นมาเลยหรือรอสักประเดี๋ยวเจ้าคะ”
เฝิงหมัวมัวเอ่ยถามเหยาเยี่ยนอวี่ “คุณหนูจะกินมื้อค่ำก่อนเวลาเสียหน่อยแล้วพักผ่อนดีไหมเจ้าคะ”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า เฝิงหมัวมัวสั่งให้สาวใช้ยกโต๊ะเข้ามาวางไว้บนตั่งไม้ จากนั้นเหยาเยี่ยนอวี่ก็กินมื้อค่ำเล็กน้อยแล้วเข้านอน นางเหนื่อยล้าไปทั่วทั้งตัว กระทั่งเวลานี้เพิ่งจะได้นอนอยู่บนเตียงของตนอย่างสุขสบาย นางกระชับผ้านวมของตนเอง ใจของนางค่อยๆ สงบลง จากนั้นเพียงไม่นานนางก็เข้าสู่ความฝัน
เหยาเยี่ยนอวี่เข้านอนแต่หัวค่ำ ทว่าอีกด้านหนึ่งกลับมีคนยากที่จะหลับใหล
เมื่อซูอวี้เสียงกลับไปถึงจวนก็ไปนั่งที่เรือนของลู่ฮูหยินก่อนครู่หนึ่ง ซูอวี้ผิงได้เล่าเรื่องทุกอย่างให้ลู่ฮูหยินฟังหนึ่งรอบ เวลานี้นางก็ได้คลายความตกตะลึงจากเรื่องที่คุณหนูรองเหยามีความสามารถทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศ เมื่อเห็นซูอวี้เสียงจึงไม่ได้กล่าวถามสิ่งใดให้มากความ เพียงแต่บอกให้เขารีบไปพักผ่อนเสียเพราะก็เหนื่อยล้ามาหลายวันแล้ว จากนั้นซูอวี้เสียงจึงกล่าวลาผู้เป็นมารดา แล้วกลับไปที่เรือนของตนเพื่อไปหาภรรยา
หลายวันมานี้ ซูอวี้เสียงมิได้กินดีอยู่ดี อีกทั้งร่างกายที่เต็มไปด้วยดินโคลนทำให้เขาไม่สบายตัว เมื่อตอนที่เขากลับเรือนไปชำระล้างกายและเปลี่ยนเสื้อผ้า เวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงมื้อค่ำ
เหยาเฟิ่งเกอสั่งให้บ่าวรับใช้นำอาหารไปอุ่นบนเตาถ่าน จากนั้นสองสามีภรรยาก็นั่งหันหน้าเข้าหากัน เมื่อถึงมื้อค่ำ เหยาเฟิ่งเกอจึงได้เอ่ยถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทว่าซูอวี้เสียงกลับไม่ได้รีบตอบ แต่กลับย้อนถามนาง “เยี่ยนอวี่เป็นผู้รักษาอาการป่วยของเจ้าให้หายดีใช่หรือไม่ ช่างน่าเศร้าที่พวกเราเป็นสามีภรรยากัน แต่เจ้ากลับปิดบังข้าเช่นนี้ เมื่อตอนที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงกล่าวว่าน้องรองสามารถรักษาบาดแผลของหันซื่อจื่อได้นั้น ข้าถึงกับกระอักกระอ่วนใจอยู่ตรงนั้น”
เหยาเฟิ่งเกอคาดการณ์แต่แรกแล้วว่าซูอวี้เสียงจะกล่าวคำพูดเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงไม่ได้โกรธเคือง เพียงแต่พูดเสียงเศร้า แล้วย้อนถาม “ท่านพี่กำลังกล่าวโทษน้อง?”
“เจ้ารู้หรือไม่ ยามที่ไม่กระจ่างชัดเรื่องในครอบครัวของตนเอง ต้องให้ผู้อื่นเป็นคนมาบอกนั้น ความรู้สึกเป็นเช่นไร พวกเรายังเป็นสามีภรรยากันหรือไม่! อีกทั้ง เหตุใดเจ้าต้องปิดบังข้าเรื่องที่น้องรองมีความสามารถด้านการแพทย์ หรือเห็นว่าข้าจะทำร้ายนางเช่นนั้นหรือ”
“เช่นนั้น หากน้องบอกความจริงกับท่านพี่ ท่านพี่คิดจะทำเช่นไรเจ้าคะ” เหยาเฟิ่งเกอย้อนถามกลับไป
ซูอวี้เสียงนิ่งค้าง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้ววางตะเกียบลง สีหน้าของเขาที่มองมาหาเหยาเฟิ่งเกอเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจ “เจ้าคิดว่าข้าจะทำเช่นไรเล่า”
เหยาเฟิ่งเกอเม้มกัดริมฝีปากเล็กน้อย ดวงตาของนางแดงระเรื่อจากนั้นน้ำเสียงของนางก็เปลี่ยนไป ทว่านางยังคงย้อนถาม “ท่านพี่อยากจะรับน้องรองมาเป็นอนุภรรยาไม่ใช่หรือเจ้าคะ วันรุ่งข้าจะเขียนจดหมายส่งไปให้กับท่านพ่อ หากท่านพ่อยินยอม ประเดี๋ยวผ่านตรุษจีนไปแล้วข้าจะเก็บกวาดเรือนเสียใหม่ พร้อมทั้งกราบทูลองค์หญิงต้าจั่งและฮูหยิน เพื่อให้ท่านรับนางเข้ามาอย่างถูกทํานองคลองธรรม ทำเช่นนี้ท่านพี่พอใจแล้วหรือยังเจ้าคะ”
ในตอนแรก เหยาเฟิ่งเกอเสแสร้งแสดงละครอยู่บ้างเล็กน้อย ทว่าเมื่อพูดถึงตอนท้ายนางกลับรู้สึกเศร้าใจ น้ำตาของนางไหลรินลงมาดั่งหยดไข่มุก
“เฮ้อ!” เมื่อซูอวี้เสียงเห็นนางร่ำไห้ก็รู้สึกสงสารจับใจ เขารีบเหยียดกายลุกขึ้นแล้วไปนั่งลงข้างกายนาง พร้อมพูดปลอบประโลม “เจ้าคิดมากอีกแล้ว? ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าการที่พวกเจ้าปิดบังข้าไว้ในกะลาเช่นนี้น่ากระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก เจ้าเองก็รู้ เรื่องนี้พี่ใหญ่ก็อยู่ด้วย พี่ใหญ่ยังหัวเราะเย้ยหยันข้าที่ไม่เก่งทั้งบุ๋นไม่ได้ทั้งบู๊ แม้แต่เรื่องในเรือนของตนเองก็ยังไม่รู้ เจ้าคิดว่าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปทั่วเมืองเช่นนี้แล้ว ผู้อื่นจะมองข้าเช่นไร”
“เรื่องของน้องรอง เป็นเรื่องที่น่ากระอักกระอ่วนใจแต่แรกแล้ว เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะข้าล้มป่วยทว่าไม่ได้สิ้นใจ หากในตอนนั้นข้าสิ้นใจไป เวลานี้คงไม่เกิดเรื่องมากมายขึ้นเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ!” เหยาเฟิ่งเกอไม่ได้สนใจการปลอบประโลมและความไม่สบอารมณ์ของซูอวี้เสียง นางได้แต่ร่ำไห้ นับตั้งแต่นางล้มป่วยสุขภาพร่างกายของนางก็ไม่ฟื้นฟูกลับมาดังเดิม นางตั้งครรภ์ทั้งๆ ที่ร่างกายยังซูบผอมอ่อนแรง เวลานี้ร่างกายก็ยิ่งไร้เรี่ยวแรงแม้แต่ลมพัดก็แทบจะปลิว ตอนนี้นางร่ำไห้ได้เพียงแค่สองสะอื้น ลมหายใจเข้าและออกยังไม่อาจเสมอกัน ทำให้ผู้ที่มองดูอยู่นั้นไม่อาจทนได้
“พอได้แล้วๆ ! ข้าเองก็ไม่ได้ว่ากล่าวสิ่งใด ดูเจ้าเล่าร้องไห้เช่นนี้ไปได้ ประเดี๋ยวก็ได้อาเจียนหรอก สุขภาพร่างกายของตนเอง ตนเองไม่รู้ตัวอีกหรือ ทั้งที่คอยระมัดระวังอยู่ทุกวี่วันยังล้มป่วยได้ เวลานี้กลับร่ำไห้กับเรื่องที่ไม่สำคัญ”
ซูอวี้เสียงไม่ได้ใจร้ายถึงขั้นนั้น พวกเขามีความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยามานานหลายปี ยิ่งไปกว่านั้นนางยังตั้งท้องบุตรของตน ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล่าวปลอบโยนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง พร้อมกับยอมรับความผิดทั้งหมด
ซูอวี้เสียงกล่าวยอมรับผิดทั้งหมด พร้อมทั้งพูดเสียงออดอ้อน จึงทำให้เหยาเฟิ่งเกอค่อยๆ หยุดร้องไห้
ในที่สุดซูอวี้เสียงก็โล่งใจ เขารับผ้าชุบน้ำจากหู่พั่วแล้วมาเช็ดดวงหน้าของเหยาเฟิ่งเกอ พร้อมกล่าวพูดเสียงทุ้มต่ำ “เจ้ายิ่งอยู่ก็ยิ่งคิดเล็กคิดน้อย? ข้าเพียงแค่กล่าวคำพูดไม่กี่ประโยคเท่านั้น เจ้าก็ร้องไห้ถึงขั้นนี้ หากผู้อื่นรู้เข้า คงคิดว่าข้าทำอะไรเจ้าแน่”