หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 85 มารดาและบุตรีลอบพูดคุย แม่สามีขุ่นเคืองใจ (4)
เวลานี้ก็เข้าสู่เหมันต์ฤดูแล้ว ตอนกลางคืน อากาศแถวบ้านนาเหน็บหนาวยิ่งนัก ดังนั้นจึงไม่อาจออกไปเดินย่อยอาหาร เหยาเยี่ยนอวี่เลยนำซานจาแห้งที่หั่นเป็นแผ่น และเปลือกส้มไปต้มเป็นชาผลไม้ โดยใช้หม้อดินเผาต้ม ชารสหวานอมเปรี้ยว ทั้งสองนั่งเอนกายบนตั่งผิงไฟและเสวนากันไปด้วย ถือว่าเป็นการย่อยอาหาร
เหยาเยี่ยนอวี่ชื่นชมในลักษณะนิสัยของหันหมิงชั่นมาตลอด ในความคิดของเหยาเยี่ยนอวี่ แม้ว่าหันหมิงชั่นจะมีแผลเป็นบนดวงหน้า ทำให้เสียโฉมหน้าอันงดงามไป ทว่านางยังสามารถสง่างามและใจกว้างได้ถึงขนาดนี้ ทั้งหันหมิงชั่นไม่เคยดูถูกเหยียดหยามตนเอง และไม่เคยหยิ่งผยองหรือเจ้าอารมณ์เพราะฐานันดรศักดิ์ที่ตนมี แล้วยังเป็นมิตรสหายที่เหมือนเป็นพี่สาวของซูอวี้เหิงผู้ซึ่งงดงามดั่งบุปผาหยก นางมักจะเป็นห่วงเป็นใยและคิดเผื่อซูอวี้เหิงอยู่ตลอดเวลาโดยปราศจากร่องรอยของความอิจฉาริษยา นี่ถือเป็นคุณงามความดีที่สตรียากที่จะมี
ส่วนหันหมิงชั่นเองก็โปรดปรานในความอ่อนโยนของเหยาเยี่ยนอวี่ ทว่านางกลับไม่ได้มีความอ่อนแอขลาดเขลา บิดาของนางเป็นเพียงขุนนางขั้นสองของเมืองหลวงต้าอวิ๋น และนางที่เป็นเพียงบุตรีอนุภรรยาของขุนนางขั้นที่สอง เมื่อนางมาอยู่ในสังคมของสตรีชั้นสูง นางก็ย่อมมีสถานะที่ต้อยต่ำกว่าอยู่แล้ว ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่กลับไม่เห็นว่ามีสิ่งใดที่อึดอัดคับข้องใจเลย นางไม่เคยดูหมิ่นในฐานะของตนเอง และสามารถวางตัวได้อย่างเหมาะสม ต่อให้ต้องเผชิญกับนัยน์ตาที่เย็นชาของอวิ๋นเหยา นางก็ไม่ถือโทษ อีกทั้งยังคงรอยยิ้มอันเป็นธรรมชาติ นางไม่ได้ถือทิฐิจนเกินไป และก็ไม่ได้หยิ่งทระนงเกินไปจนเสียมารยาท นี่ถือว่าเป็นคุณสมบัติที่ยากจะพบเจอในกลุ่มสตรีสูงศักดิ์
ดวงตาของทั้งสองแลกเปลี่ยนกัน จึงมีคำพูดที่อยากจะพูดคุยกันอย่างไม่รู้จบ
ในตอนกลางวันพวกนางพูดคุยถึงการบาดเจ็บของหันซังเกอ สถานการณ์อันน่าตกใจและอันตรายที่เกิดขึ้นตรงเขตล่าสัตว์ป่าภูเขาซี และหลังจากที่กินมื้อค่ำเสร็จ หันหมิงชั่นก็ได้เอ่ยถึงแผลเป็นบนใบหน้าของตน
“นี่เป็นแผลที่ข้าได้รับบาดเจ็บตอนอายุได้แปดขวบ เมื่อครั้งที่ข้ากับพี่สาวเข้าวังหลวงไปถวายพระพรไทเฮา วันนั้นอากาศดียิ่งนัก ไทเฮาจึงพาพวกเราไปเดินชมกล้วยไม้ที่สวนอวี้ฮวา องค์หญิงใหญ่พาข้ากับพี่สาวไปเล่นว่าว และยังมีองค์หญิงรองและองค์หญิงสามเสด็จไปด้วยกัน พวกเราเล่นกันอย่างสนุกสนาน และยิ่งวิ่งก็ยิ่งไกลห่างออกไป จากนั้นก็ไม่รู้ว่าเหตุใด ตอนที่วิ่งไปถึงข้างบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ของสวนอวี้ฮวา จู่ๆ องค์หญิงสามก็ตกลงไปในบ่อน้ำ”
นี่มันก็ผ่านไปเก้าปีแล้ว หลายๆ เรื่องหันหมิงชั่นก็ลืมเลือนไปมาก ทว่าเรื่องนั้นนางกลับจำได้อย่างแม่นยำ
“ตอนนั้นข้ากับองค์หญิงสามกำลังปล่อยว่าวรูปผีเสื้อ ทันทีที่นางตกลงไป ข้าจึงยื่นมือไปจับนางไว้ ข้าเลยตกลงไปในบ่อน้ำด้วย เหตุเพราะตอนนั้นองค์หญิงใหญ่พาพี่สาวข้าไปอยู่ที่ภูเขาจำลองอีกที่ พวกนางจึงไม่เห็นพวกเรา ทว่าองค์หญิงรองอยู่กับพวกเราในตอนนั้น…ข้ามัวแต่ตกตะลึงในขณะที่ตกลงไปในบ่อน้ำ ข้าว่ายน้ำไม่เป็นด้วย ตอนที่ข้าตกลงไปคางของข้าไปกระแทกกับโขดหินข้างบ่อน้ำ เลือดของข้าจึงกระจายปะปนไปในบ่อน้ำ ตรงหน้าของข้าจึงเห็นแต่สีแดงสดเต็มไปหมด”
เหยาเยี่ยนอวี่เห็นหันหมิงชั่นทำสีหน้าที่พยายามอดกลั้นความเจ็บปวด จึงปลอบโยนขึ้น “นั่นเป็นเพียงอุบัติเหตุ ยังดีที่เจ้าไม่เป็นไร”
“เป็นเช่นนั้น! พอมาคิดดูแล้วข้าก็ถือว่าโชคดียิ่งนัก น้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่น้ำขัง ตอนนั้นพออากาศเริ่มอบอุ่นขึ้น และน้ำในบ่อก็เริ่มละลายในฤดูใบไม้ผลิ เหล่าขันทีที่คอยดูแลสวนอวี้ฮวากำลังเปิดประตูน้ำของบ่อเพื่อเปลี่ยนถ่ายน้ำพอดี ดังนั้นองค์หญิงสามจึงถูกน้ำซัดออกไปไกล ตอนที่ถูกนำตัวขึ้นมา พระองค์ก็ทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ทว่าที่ข้ารอดชีวิตมาได้เป็นเพราะรอยแผลนี้มีเลือดไหลจนทำให้น้ำกลายเป็นสีเลือด เหล่าทหารรักษาการณ์จึงสังเกตเห็น พวกเขาช่วยข้าขึ้นมาก่อนหนึ่งก้าว ทำให้ช่วยชีวิตข้าไว้ได้เพียงผู้เดียว ตอนนั้นรอยบาดบนใบหน้าของข้าลึกยิ่งนัก ได้ยินคนพูดกันว่า แผลของข้าแทบจะเห็นกระดูกส่วนคาง อีกทั้งเป็นเพราะแช่ไว้ในน้ำเป็นเวลานานจึงทำให้แผลสกปรกติดเชื้อ ดังนั้นจึงทิ้งรอยแผลเป็นนี้ไว้”
เรื่องที่องค์หญิงตกน้ำในสวนอวี้ฮวานี้ ต้องมีเงื่อนงำอย่างแน่นอน ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่รู้ดีว่าทุกคนต่างก็บอกว่าเป็นอุบัติเหตุ นางจึงไม่ได้ถามสิ่งใดให้มากความ นางเพียงแค่ปลอบโยน “ใครๆ ก็บอกว่าหลังจากที่ผ่านเหตุการณ์อันตรายมาแล้วยังไม่สิ้นใจ ก็ถือว่าเป็นความโชคดียิ่งนัก พี่สาวทำใจให้สบายเถอะ”
หันหมิงชั่นยิ้มขมขื่นแล้วพยักหน้า จากนั้นก็พูดขึ้น “ใครๆ ก็พูดเช่นนี้ ทว่าในใจของข้ารู้สึกเคร่งเครียดยิ่งนัก และมีเพียงข้าเท่านั้นที่รู้”
เหยาเยี่ยนอวี่เป็นผู้ที่พูดจาสละสลวยไม่เป็น พอเห็นหันหมิงชั่นเสียใจ อารมณ์ของนางก็หม่นหมองไปด้วย ทันทีทันใด นางจึงสรรหาคำพูดเชิงปลอบโยนไม่ได้ จึงทำได้เพียงกล่าวพูด “ข้ามียาทาขี้ผึ้งที่สามารถลดรอยแผลเป็นได้ ทว่าแผลเป็นของพี่สาวล่วงผ่านมาเป็นเวลาสิบปีแล้ว เกรงว่าคงมิอาจทำให้รอยแผลเป็นหายไปได้ในเวลาสั้นๆ หากพี่สาวยินดี ก็สามารถเอาไปทดลองใช้ได้”
หันหมิงชั่นจึงรีบเอ่ยถามขึ้น “เป็นยาทาขี้ผึ้งตัวเดียวกับยั่งเอ๋อร์หรือไม่ ข้ากำลังคิดจะขอกับเจ้าพอดี”
“เป็นเช่นนั้น ทว่ายาทาขี้ผึ้งตัวนี้เหมาะสมกับแผลเป็นที่เพิ่งมีขึ้นใหม่ ส่วนแผลเป็นบนดวงหน้าของพี่สาว…เกรงว่าคงยากที่จะหายขาด คงจะจางลงเท่านั้น ถึงอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วย่อมต้องทิ้งรอยไว้บ้าง”
หันหมิงชั่นได้ยินดังกล่าว ความรู้สึกผิดหวังจึงยากที่จะปิดบังไว้อีกต่อไป
เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่สามารถทำได้ ถ้าอยู่ในยุคปัจจุบัน แผลเป็นนี้ของหันหมิงชั่นก็คงต้องพึ่งพาวิธีการผ่าตัดหลายครั้งหลายหนจึงจะสามารถดีขึ้นได้ เวลานี้เซลล์ก็ตายไปแล้ว หรืออาจจะกึ่งตายไปแล้วก็ได้ ต่อให้มียาทาที่อัศจรรย์มากแค่ใดก็คงไม่มีประโยชน์อะไรต่อเซลล์ผิวหนังที่เกือบจะตายไปแล้ว
“น้องสาวยังพอมีวิธีอื่นหรือไม่” หันหมิงชั่นอยากจะรีบรักษาแผลเป็นบนใบหน้าของตนเองให้เร็วอย่างทนรอไม่ได้ นางเป็นสตรีที่งดงาม ใครไม่อยากมีดวงหน้าที่สมบูรณ์อย่างไร้ที่ติเล่า
เหยาเยี่ยนอวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงลึกลับ “ยังมีอีกหนึ่งวิธี แค่เกรงว่าพี่สาวจะไม่ยินยอม”
“เจ้าว่ามา” นัยน์ตาของหันหมิงชั่นจึงเปี่ยมด้วยความหวังขึ้นมาทันที
“ก็คือตัดชิ้นเนื้อที่ตายไปแล้วของรอยแผลเป็นออก เพื่อเปิดผิวให้เกิดบาดแผลสด จากนั้นค่อยใช้ผงยาปลูกผิวในชั้นกล้ามเนื้อของข้าเพื่อรักษาแผลอีกสักครึ่งเดือน เมื่อแผลดีขึ้นแล้ว เวลานั้นข้าจะใช้ยาทาลดรอยแผลเป็นที่ข้าปรุงเองให้พี่สาว และจะสามารถเป็นเหมือนแผลของคุณหนูอวิ๋นยั่ง คือปราศจากแผลเป็นทั้งหมด”
“ตัดเนื้ออีกอย่างนั้นหรือ!” หันหมิงชั่นลูบใบหน้าตนเองอย่างไม่รู้ตัว แค่คิดถึงเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าบาดแผลนั้นต้องให้ความรู้สึกเจ็บแน่นอน
เหยาเยี่ยนอวี่รู้ว่านางหวาดกลัว ทว่ากลับพยักหน้า
“แล้วจะเจ็บมากไหม” หันหมิงชั่นถามเสร็จจึงส่ายหน้าอย่างไม่ทันคิด “อย่า…อย่าเพิ่งรีบร้อนดีกว่า ให้ข้าคิดดูก่อนเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ทำได้เพียงเกลี้ยกล่อม “พี่สาวไม่ต้องกังวลใจไป บาดแผลนี้มีมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ก็ผ่านไปแปดเก้าปีแล้ว แผลเป็นก็เห็นไม่ค่อยชัดแล้ว”
“อืม” หันหมิงชั่นพยักหน้า ในใจกลับรู้สึกไม่สงบ
วันที่สองหันหมิงชั่นกินมื้อเที่ยงเสร็จก็กลับจวน ก่อนจะกลับเหยาเยี่ยนอวี่ได้ให้ยาทาขี้ผึ้งสองกระปุกกับนาง และบอกนางว่าต้องใช้ทุกวันอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง หันหมิงชั่นจึงจับมือของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ นางไม่อยากจากไปเลย นางบอกกับเหยาเยี่ยนอวี่ว่ารอให้ข้าหลวงใหญ่เหยาเข้าเมืองมารายงานเรื่องงานที่ได้รับมอบหมาย ก็จะเชิญเหยาเยี่ยนอวี่ให้ไปพักอาศัยที่จวนเจิ้นกั๋งกงสักสองวัน
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มอ่อนแล้วตอบตกลง จากนั้นก็ส่งนางออกจากบ้านนาน้อยวัวจวู มองดูรถม้าคันหรูหราซึ่งใช้ม้าสี่ตัวในการขับเคลื่อน มีทั้งพ่อบ้านและทหารรักษาการณ์ประกบหน้าและประกบหลัง เคลื่อนออกจากบ้านนาไป หลังจากกลับเรือนมา เฝิงหมัวมัวจึงกลับเข้ามาแล้วพูดขึ้น “คุณหนูเจ้าคะ ของกำนัลสองหีบที่คุณหนูหันส่งมา บ่าวได้เปิดตรวจดูแล้ว นี่เป็นรายการชื่อของกำนัล คุณหนูได้โปรดตรวจสอบเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่กลับไม่ได้สนใจอะไร “ของพวกนั้นเป็นของล้ำค่างั้นหรือ”
เฝิงหมัวมัวจึงรีบตอบกลับ “ล้ำค่าอย่างถ่องแท้เจ้าค่ะ ของกำนัลสองหีบนี้มิใช่เงินทอง และไม่ใช่ผ้าต่วน กลับเป็นอัญมณีเจ้าค่ะ อีกอย่าง ส่วนมากคืออัญมณีที่ไม่ได้ผ่านการแปรรูปเป็นกำไลมือหรือเครื่องประดับใดๆ บ่าวเองก็ได้เปิดดูหีบที่บรรจุไข่มุกไว้ ไอ้หยา! ไข่มุกนั้นแต่ละเม็ดล้วนมีขนาดใหญ่เท่าเม็ดลำไย สิ่งที่หาดูได้ยากมากที่สุดก็คงเป็นไข่มุกที่มีจำนวนเป็นร้อยๆ เม็ด แต่ละเม็ดก็ใหญ่เท่ากัน อีกทั้งสีของไข่มุกนั้นล้ำเลิศยิ่งนัก ปีใหม่ปีนี้คุณหนูยังไม่เคยไปสั่งทำเครื่องประดับดีๆ เลย เวลานี้ก็คงจะใช้ไข่มุกนี้ไปร้อยเป็นสร้อยได้สวมใส่ และเอาไปทำเป็นต่างหูและปิ่นไข่มุก สามารถไปสั่งทำเป็นเครื่องประดับหนึ่งชุดเจ้าค่ะ”
“อ้อ?” เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกตะลึงเล็กน้อย หันหมิงชั่นกลับไม่ได้เอ่ยถึงของกำนัลที่เอามาขอบคุณเลย และเหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่ได้ถามอะไร ทีแรกนางก็แค่คิดว่าในหีบก็คงจะบรรจุเครื่องประดับเพียงไม่กี่อย่าง ก็แค่ยกหีบมาเพื่อเป็นหน้าเป็นตาเสริมบารมีให้กับตระกูลนางเท่านั้น กลับนึกไม่ถึงว่าจะใจกว้างมากมายเช่นนี้ ทันใดนั้นนางจึงเหยียดกายลุกขึ้นแล้วเอ่ย “พาข้าไปดูหน่อย”