หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 93 นัดหมายพบกันอีกครั้ง ความสงสัยเกิดขึ้นทันควัน (2)
“พี่หญิงรอง” นานทีปีหนที่อวิ๋นเหยาจะยิ้ม สีหน้าของนางยังคงหยิ่งทะนงเหมือนเช่นเคย
เหยาเยี่ยนอวี่ทำได้เพียงเดินเข้ามาน้อมทำความเคารพอวิ๋นเหยา ช่วยไม่ได้ คนอื่นมีฐานันดรศักดิ์เป็นถึงจวิ้นจู่ เมื่อสถานะนี้ยังอยู่ นางไม่อาจไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบและมารยาทของแคว้นได้ อวิ๋นเหยาคอยจนกว่าเหยาเยี่ยนอวี่ย่อตัวลงต่ำ จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย “ไม่ต้องพิธีรีตองอะไร ลุกขึ้นเถอะ”
ดวงหน้าของหันหมิงชั่นที่เคล้าด้วยรอยยิ้มจางหายไปเล็กน้อย และนางก็ยื่นมือไปจับมือของเหยาเยี่ยนอวี่แล้วบีบเบาๆ เพื่อแสดงท่าทีที่ปลอบโยนนาง แล้วค่อยหันไปกล่าวกับอวิ๋นเหยาด้วยวาจาตามมารยาท “จวิ้นจู่ เชิญเข้าไปด้านในเถอะ”
อวิ๋นเหยาไม่ได้สนใจท่าทีที่นิ่งเฉยของหันหมิงชั่นเลยแม้แต่เพียงน้อย จากนั้นใช้ฐานะที่ตนเป็นจวิ้นจู่พยักหน้าอย่างทระนงพลางเดินเข้าไปในเรือนก่อน
หันหมิงชั่นดึงมือของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้แล้วส่งสายตาที่รู้สึกผิดให้นาง เหยาเยี่ยนอวี่จึงยิ้มอ่อนๆ แสดงให้เห็นว่าตนไม่ได้สนใจอะไร จากนั้นก็จูงมือหันหมิงชั่นเดินตามอวิ๋นเหยาเข้าเรือนไป
หันซังเย่ว์เห็นสถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทว่าสีหน้ากลับไม่ได้แปรเปลี่ยน แค่เดินอยู่ข้างกายอวิ๋นคุน แล้วยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “นึกไม่ถึงว่าจวิ้นจู่จะมาเยือนด้วย บรรยากาศย่อมครึกครื้นกว่าเดิมแน่นอน”
“นางได้ยินว่าข้าจะมาจวนของเสด็จป้า จึงดื้อรั้นจะตามมาให้ได้ แม้แต่อาหารเช้ายังไม่ยอมกินให้อิ่ม” อวิ๋นคุนมีน้องสาวสายตรงเพียงคนเดียว จึงต้องยอมนางเป็นเรื่องธรรมดา
“เหยาเอ๋อร์มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับท่านป้า นี่จึงเป็นเรื่องที่ไม่ผิดแปลกอะไร” หันซังเย่ว์ยิ้มพลางพูดถึง
อวิ๋นเหยาเจอองค์หญิงใหญ่หนิงหวาจึงน้อมทำความเคารพในยามเช้า จากนั้นก็ถูกองค์หญิงหนิงหวาดึงไปนั่งข้างกาย เหยาเยี่ยนอวี่ก็ได้เดินหน้าไปน้อมลงกราบแบบพิธีการ
“ชั่นเอ๋อร์ รีบไปพยุงคุณหนูเหยาขึ้นเถอะ” องค์หญิงใหญ่หนิงหวาเผยยิ้มผ่านนัยน์ตา จากนั้นก็ก้มหน้าลงสังเกตมองเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยท่าทางที่โอบอ้อมอารี
เหยาเยี่ยนอวี่ตั้งใจเลือกกระโปรงหรูสีข้าวหอมตัวหรูมาโดยเฉพาะ เนื้อผ้าคือผ้าต่วนพิมพ์ลายต้นจือหลานที่ไล่สีจากเข้มเป็นอ่อน ชายกระโปรงเย็บด้วยผ้าสีเหลืองน้ำผึ้ง และปักลายกลีบดอกพญาเสือโคร่งที่ทับซ้อนเป็นชั้นๆ อย่างประณีต ตรงเอวผูกด้วยเชือกกุหลาบสีม่วง ข้างล่างมีป้ายหยกเหอเถียนขาวบริสุทธิ์แขวนอยู่หนึ่งอัน
เส้นผมดำสลวยของนางมวยขึ้นเป็นทรงมวยคล้อยที่เหล่าสตรีชื่นชอบที่สุด ที่ติดผมเหนือศีรษะเป็นดอกเหมยปลอมที่ทำจากผ้าตาข่าย และปิ่นหยกเขียวปักอยู่ ใบหูทั้งสองข้างห้อยระย้าด้วยต่างหูหยกเขียว ข้อมือก็สวมใส่กำไลหยกเขียวไว้หนึ่งคู่ นอกจากนั้นก็ไม่มีเครื่องประดับอะไรที่ล้ำค่าอีก การแต่งกายเยี่ยงนี้ทำให้นางดูเรียบหรูและสง่าผ่าเผย ดูเป็นสตรีที่สงบเสงี่ยม เรียบร้อย และบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งนัก
เหยาเยี่ยนอวี่ค้อมตัวขอบพระทัยอีกครั้ง จากนั้นก็ถูกหันหมิงชั่นดึงตัวไปนั่งลงข้างๆ
ตระกูลหันมีบุตรีอนุภรรยาอยู่สองคน ก็คือหันหมิงหลังและหันหมิงเจวี๋ย ซึ่งทั้งสองก็ได้พบเจอกับเหยาเยี่ยนอวี่มาสองครั้ง อีกทั้งเพราะว่าพวกนางต่างก็คือบุตรีอนุภรรยา จึงได้รู้สึกสนิทสนมกันเป็นพิเศษ เหตุเพราะครั้งที่แล้วพวกนางได้เจอะเจอกันเป็นการส่วนตัว ทำให้พวกนางคุ้นเคยกันมากขึ้น
จากนั้นทุกคนจึงลอบพูดคุยกันไปไม่กี่ประโยค ข้างนอกจึงมีคนเข้ามารายงาน “ฮูหยินน้อยสามและคุณหนูสามแห่งจวนติ้งโหวมาแล้วเพคะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินดังกล่าวจึงหยุดชะงักไปทันที ทว่านางก็เข้าใจขึ้นมาทันทีเช่นกัน องค์หญิงใหญ่เชิญตนมาเยือนในวันนี้ แน่นอนว่าต้องไม่มองข้ามเหยาเฟิ่งเกออยู่แล้ว อย่างไรก็ตามนางก็คือพี่สาวบุตรีภรรยาเอกของตน ตอนนี้บิดามารดาไม่อยู่ที่นี่ แน่นอนว่าพี่สาวคนโตต้องเป็นใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาสั่งให้คนส่งเทียบเชิญให้เหยาเฟิ่งเกอ ก็แค่ให้เกียรตินางเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าเหยาเฟิ่งเกอที่กำลังตั้งครรภ์จะฝ่าอากาศที่แสนเหน็บหนาวนี้ออกมาจากจวน ดังนั้นจึงรีบกล่าวขึ้น “รีบเชิญพวกนางเข้ามาเถอะ”
เหยาเฟิ่งเกอและซูอวี้เหิงเดินเคียงข้างกันเข้าประตูมา และได้เดินเข้ามาน้อมทำความเคารพให้องค์หญิงใหญ่หนิงหวาเป็นอันดับแรก
องค์หญิงใหญ่หนิงหวารับสั่งให้เฟิงเซ่าอิ่งไปประคองเหยาเฟิ่งเกอ จากนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเป็นสตรีตั้งครรภ์ ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า รีบมานั่งเถอะ ใครก็ได้ ยกน้ำชาร้อนๆ มาให้ฮูหยินน้อยสามที”
เหยาเฟิ่งเกอรีบย่อตัวขอบพระทัยทันที จากนั้นก็ถูกสาวใช้คนสนิทของเฟิงเซ่าอิ่งนามว่าชุนอวี่พยุงไปนั่งลงตรงที่นั่งข้างๆ แท้จริงแล้วนางก็ไม่อยากออกจากจวน อายุครรภ์ที่เพิ่งจะสามเดือนเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด และอากาศก็ยังเหน็บหนาวมากเพียงนี้
ทว่าหากครั้งนี้นางไม่มา ถ้านางอยากเจอหน้าเหยาเยี่ยนอวี่ เกรงว่าคงต้องรอถึงเวลาที่บิดาของนางเข้าเมืองเพื่อมารายงานเรื่องงานทางราชการ เหยาเฟิ่งเกอคิดทบทวนอย่างรอบคอบ สุดท้ายก็รู้สึกไม่ค่อยวางใจ จึงได้มาเยือนที่นี่พร้อมกับซูอวี้เหิง เพื่อที่จะมาเจอหน้าน้องสาวของตน คำบางคำจำต้องมาพูดต่อหน้าถึงจะดี
เหยาเยี่ยนอวี่เหยียดกายลุกขึ้น แล้วคอยให้เหยาเฟิ่งเกอนั่งลงก่อน นางถึงจะเดินเข้าไปย่อตัวน้อมคำนับ พร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงต่ำ “พี่สาว”
เหยาเฟิ่งเกอยื่นมือออกไปจับนางไว้ มุมปากของนางกำลังยกยิ้ม ทว่าขอบตากลับแลดูแดงระเรื่อ นางเอ่ยคำพูดด้วยความรักใคร่และเอ็นดู “เหตุใดเจ้าถึงได้ซูบผอมเยี่ยงนี้” คิดๆ ดูแล้ว เมื่อนางอยากจะเจอน้องสาวตนเอง ก็คงต้องให้องค์หญิงใหญ่เป็นคนเชิญชวน ในใจของเหยาเฟิ่งเกอจึงรู้สึกทุกข์ใจขึ้นมาทันที
ภายในใจของเหยาเยี่ยนอวี่ก็รู้สึกผิดอยู่เช่นกัน เหยาเฟิ่งเกอบอกว่าตนเองซูบผอม เหยาเยี่ยนอวี่กลับรู้สึกว่านางซูบผอมยิ่งกว่า จริงๆ แล้วนางตั้งครรภ์มาสามเดือนกว่าแล้ว ทว่าบริเวณเอวของนางไม่ได้ดูอวบอ้วนขึ้นมา ถึงแม้สีหน้าของนางจะดูดี ทว่ากลับซูบผอมยิ่งนัก ดวงตาคู่งดงามนั้นยิ่งอยู่ก็ยิ่งโต เหตุนี้จึงทำให้เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกว่าตนเองเอาแต่ใช้ชีวิตที่สุขสบาย จนไม่ได้ไปสนใจเหยาเฟิ่งเกอว่าต้องเผชิญกับสถานการณ์อะไรบ้าง นางได้ทำเกินไปหรือไม่
“พี่สาวสบายดีหรือไม่” เหยาเยี่ยนอวี่นั่งลงข้างกายเหยาเฟิ่งเกอ แล้วถามด้วยเสียงแผ่วเบา
เหยาเฟิ่งเกอจับมือของน้องสาวบุตรีอนุภรรยาไว้ แล้วยิ้มบางๆ “ข้าสบายดี กินอาหารที่เจ้าบอกว่าเป็นยาบำรุงร่างกายอยู่ทุกวี่ทุกวัน ตอนนี้ก็ไม่ได้อาเจียนอะไรมากมายแล้ว จึงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการพวกนั้น”
ซูอวี้เหิงพยายามเสนอหน้าให้ตนเองมีตัวตนอยู่ จากนั้นก็ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พี่เหยาวางใจเถอะ ข้าไปเยี่ยมเยียนพี่สะใภ้สามแทนเจ้าทุกวัน ตอนนางกินอาหารและยาสมุนไพรก็มีคนคอยปรนนิบัติรับใช้โดยเฉพาะ ไม่มีทางเกิดปัญหาใดๆ แน่นอน”
เฟิงเซ่าอิ่งเห็นว่าคนที่ควรมาเยือนในวันนี้ก็มากันจนครบแล้ว และคนที่ไม่สมควรมาก็มาด้วย จึงเหยียดกายลุกขึ้นไปทูลถามองค์หญิงใหญ่หนิงหวา “เสด็จแม่ ทางฝั่งสวนดอกเหมยก็ได้เตรียมการเสร็จแล้วเพคะ เช่นนั้นพวกเราไปกันเถิด ไปชื่นชมดอกเหมยบานและสามารถใช้เวลานั้นในการพูดคุยเล่นกันไปด้วย ดีหรือไม่เพคะ”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาอมยิ้มพลางพยักหน้า “ดี เช่นนั้นพวกเราไปกันประเดี๋ยวนี้เถอะ”
ทุกคนต่างก็เหยียดกายลุกขึ้น เหยาเยี่ยนอวี่ยกมือขึ้นไปพยุงเหยาเฟิ่งเกอ เหยาเฟิ่งเกอก็ได้ปล่อยให้นางพยุงขึ้น จากนั้นพวกนางสองพี่น้องจึงเดินเคียงไหล่กัน แล้วเดินอยู่ข้างหลังผู้อื่นมากมาย
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาเดินอยู่หน้าสุด พอออกจากประตูกลับไม่ลืมที่จะหันกลับไปมองด้านหลัง “ฮูหยินน้อยสามกำลังตั้งครรภ์ควรต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่เช่นนั้นก็สั่งให้คนยกเกี้ยวไม้ไผ่มาดีหรือไม่”
เหยาเฟิ่งเกอรีบอมยิ้มพลางขานรับ “ขอบพระทัยองค์หญิงใหญ่ที่ทรงเป็นห่วงเพคะ หม่อมฉันกับน้องสาวเดินไปพร้อมกันก็ดีอยู่แล้วเพคะ”
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาปรายตามองเฟิงเซ่าอิ่งเพียงพริบตา จากนั้นเฟิงเซ่าอิ่งยิ้มพลางพูดขึ้นทันที “นั่งเกี้ยวจะดีกว่า พวกเรายังต้องเดินไปในระยะที่ไม่ใกล้นัก ฮูหยินน้อยสามกำลังตั้งครรภ์ จึงไม่ควรทำให้ตนเองต้องลำบาก”
เกี้ยวไม้ไผ่ถูกจัดเตรียมมาสองคัน หนึ่งคันได้จัดเตรียมไว้ให้องค์หญิงใหญ่หนิงหวา และอีกคันก็มีไว้ให้เหยาเฟิ่งเกอนั่ง เฟิงเซ่าอิ่งถามไถ่อวิ๋นเหยาว่าจะนั่งเกี้ยวหรือไม่ อวิ๋นเหยาส่ายหัว แล้วกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย “ไม่จำเป็น”
เหยาเฟิ่งเกอจึงขึ้นนั่งไปบนเกี้ยวไม้ไผ่ จากนั้นก็มีผัวจื่อร่างกำยำทั้งสี่คนยกขึ้นแล้วเดินตามหลังเกี้ยวขององค์หญิงใหญ่หนิงหวา
หันหมิงชั่นและอวิ๋นเหยาเดินอยู่ข้างหน้า เหยาเยี่ยนอวี่ ซูอวี้เหิงและบุตรีอนุภรรยาตระกูลหันทั้งสองนางก็เดินตามอยู่ด้านหลัง แล้วยังมีบรรดาผัวจื่อและสาวใช้ พวกนางทั้งหมดก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างอ่อนช้อย เวลานี้ทุกคนยังคงไม่อาจแต่งกายเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด เนื่องด้วยช่วงเวลานี้ยังคงเป็นช่วงเวลาที่ไว้อาลัยของแคว้น จึงได้สวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีเหลืองขนห่าน สีเขียวอ่อน สีชมพูอ่อน สีครามอ่อน และสีม่วงอ่อนของดอกบัวตัดสลับกันและคละเคล้ากันไป สีเสื้อผ้าอันงดงามที่คละกันนั้นกลับทำให้วันท่ามกลางอากาศเหน็บหนาวเช่นนี้กลับดูสดใสขึ้นเล็กน้อย
สวนพฤกษาในจวนองค์หญิงใหญ่นั้นช่างแตกต่างจากคนทั่วไป เพียงแค่ในสวนดอกเหมยก็ได้ปลูกต้นเหมยดอกขาวกลีบเลี้ยงเขียวเป็นจำนวนห้าสิบต้นแล้ว เพียงเช่นนี้ก็ไม่อาจมีใครมาเทียบเทียมได้แล้ว
องค์หญิงใหญ่หนิงหวาทรงโปรดปรานดอกเหมยแต่เล็ก ฮ่องเต้ก็ทรงรักใคร่และเอ็นดูในพระขนิษฐาสายตรงคนนี้เป็นพิเศษ ดังนั้นเมื่อมีต้นเหมยพันธุ์ดีก็จะส่งมอบมาที่จวนองค์หญิงใหญ่ก่อน เหตุเพราะไทเฮาทรงสวรรคตไปเมื่อปีที่แล้ว จึงยังไม่ครบวาระแห่งการไว้อาลัย ปีนี้องค์หญิงใหญ่ทรงมีพระชนมายุห้าสิบพรรษา ทว่าก็ไม่ได้จัดงานเฉลิมพระชนมายุ ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้จึงทรงรับสั่งให้คนมาส่งต้นเหมยดอกขาวกลีบเลี้ยงเขียวเป็นจำนวนห้าสิบต้นให้กับพระขนิษฐา ซึ่งถือเป็นของขวัญเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพนั่นเอง