หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - ตอนที่ 103 ช่างเถอะ หมดคำจะพูด
แม่ลูกทั้งห้ากลับมาถึงบ้านด้วยขาที่เต็มไปด้วยโคลน พวกเขาพากันเดินเท้าเปล่าเข้ามาทำเอาหลิวจี้ถึงกับตาค้าง
“พวกเจ้าไปอาบน้ำในโคลนมารึ” เขาถามด้วยความตกใจ
ฟ้าแจ่มใสแล้ว โคลนที่เกาะอยู่บนขาเล็กๆ ก็แห้งแข็งสนิทแล้วส่งกลิ่นคาวโชยออกมา แต่พวกเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกลับพากันตื่นเต้นยกอ่างไม้ออกมากลางลานบ้าน บ้างก็ตักน้ำ บ้างก็ยกตะกร้าแล้วเทลงไปในอ่าง
ปลาตัวอ้วนพีถูกเทลงอ่างทีละตัว ขอบอ่างไม่ลึกมาก พวกมันดีดตัวจะกระโจนออก ซานหลางกับซื่อเหนียงรีบพุ่งเข้าไปกดปลาไว้ไม่ให้มันหนี ทำเอาน้ำกระเด็นเต็มใบหน้า แต่ทั้งสองกลับหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน
หลิวจี้เห็นปลาเต็มอ่างแล้วอดยิ้มไม่ได้ “พวกเจ้าจับปลามาจากไหนน่ะ”
บ้านพวกเขาไม่อยากยุ่งยากเลยไม่ได้ซื้อลูกปลาไปเลี้ยงในนา
ฉินเหยาตักน้ำล้างโคลนที่ติดอยู่บนเท้าพร้อมกับช่วยล้างรองเท้าฟางที่เปรอะเปื้อนของเด็กทั้งสี่ด้วย
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางเล่าให้พ่อฟังด้วยความตื่นเต้นว่าปลาของบ้านไหนถูกน้ำพัดลงมา พวกเขาเสียดายที่ไม่ได้พกตะกร้าไปมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นคงเก็บปลาได้มากกว่านี้แน่
น้ำหนึ่งโอ่งในบ้านไม่พอให้แม่ลูกห้าคนล้างตัว ฉินเหยาจึงกวักมือเรียก “ไป! ไปตักน้ำจากบ่อกัน!”
เด็กทั้งสี่ร้องเฮแล้วรีบโยนตะกร้าทิ้ง วิ่งเท้าเปล่าลงจากเนินราวกับหมูป่าหลุดออกจากกรง
บนพื้นยังมีร่องน้ำฝนที่ถูกชะออกมา เด็กๆ เหยียบย่ำเสียงดัง พากันเล่นกันอย่างบ้าคลั่ง
หลิวจี้มองฉินเหยาอย่างจนใจ “เจ้าไม่คิดจะห้ามหน่อยรึ ปล่อยให้พวกเขาเล่นเช่นนี้ หากตากลมจนเป็นไข้ขึ้นมาจะทำอย่างไร”
ฉินเหยาหยิบถังน้ำขนาดใหญ่พิเศษสองใบขึ้นมาแล้วเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ที่โผล่ออกมาจากเมฆ พลางหัวเราะเบาๆ
“แดดแรงขนาดนี้ หากไม่รีบเล่น เดี๋ยวน้ำก็ระเหยหมดแล้ว”
หากน้ำแห้งก็เล่นไม่ได้แล้ว แน่นอนว่าต้องใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่า
พูดจบ นางยังถามหลิวจี้ว่าจะมาร่วมด้วยหรือไม่ แต่เขารีบโบกมือปฏิเสธทันที เพราะคัดหนังสือเยอะไปหน่อยเลยต้องรักษาภาพลักษณ์คนมีการศึกษา “ไม่ใช่การกระทำของปัญญาชน!”
ฉินเหยาแค่นเสียงใส่เขา จากนั้นก็เดินลุยน้ำเท้าเปล่าอย่างรื่นเริง ก่อนจะตะโกนไล่เด็กๆ ข้างหน้า
“ปีศาจจะมาจับเด็กแล้วนะ!”
เด็กทั้งสี่ ‘ตกใจ’ รีบหันกลับไปดู พอเห็นฉินเหยาวิ่งเข้ามาหา พวกเขาก็ส่งเสียงกรี๊ดแล้ววิ่งหนีไปทางหมู่บ้านทันที
พื้นเต็มไปด้วยโคลน ยิ่งวิ่งเสื้อผ้ายิ่งเลอะเทอะจนแทบจะใส่ไม่ได้อีก
ตอนเที่ยงวัน หลิวจี้แบกกะละมังใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าเปื้อนโคลนเดินมาที่ริมน้ำลับตาคนด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ เขาโกรธจนอยากกัดฉินเหยาเจ้าตัวต้นเรื่องนั่นให้ตายเสีย!
ก่อนหน้านี้พูดเสียสวยหรูว่าเสื้อผ้าของใคร คนนั้นก็ต้องซักเองแล้วผลลัพธ์เล่า
พอตักน้ำกลับมา ฉินเหยาก็เอาเสื้อผ้าของพวกเขาห้าคนคนม้วนเป็นก้อนแล้วโยนใส่อกเขา
แล้วเขาปฏิเสธได้หรือ เขากล้าหรือ
“เฮ้อ~ สตรีกับเด็กนี่เลี้ยงดูยากเสียจริง…”
ปากบ่นไม่หยุด แต่มือกลับซักเสื้อผ้าอย่างคล่องแคล่ว
หลังจากฝนตกหนัก น้ำในแม่น้ำก็เชี่ยวกรากและใสสะอาด เขาเงยหน้าขึ้นมองเห็นภูเขาเขียวขจีทอดตัวยาวไกล ท้องฟ้าสดใส งดงามราวกับภาพวาด…
ช่างเถอะ หมดคำจะพูดแล้ว หลิวจี้ไม่คิดจะทำให้ตัวเองลำบากใจไปมากกว่านี้ เพียงก้มหน้าซักผ้าต่อไป
ทางฝั่งบ้าน ประตูรั้วถูกคนแปลกหน้าคนหนึ่งเคาะ
ฉินเหยาออกมาดูก็รู้สึกว่าหน้าคุ้นๆ “ท่านคือ?”
ชายผู้นั้นจูงลามาด้วยหนึ่งตัว อายุราวสามสิบเศษ ไว้เคราแพะ สวมชุดสีน้ำเงินคราม แค่มองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ชาวนา
เขายิ้มให้ฉินเหยาแล้วแนะนำตัวเอง “ฉินเหนียงจื่อ ข้าเอง วันก่อนที่หมู่บ้านเซี่ยเหอ ข้ามาถามเจ้าเรื่องโรงโม่น้ำ จำได้หรือไม่ ข้าคือเถ้าแก่อู่ เจ้าของร้านขายข้าวสารในตัวเมือง เจ้านึกออกหรือยัง”
ฉินเหยานึกออกทันที “ที่แท้เป็นท่านนี่เอง ท่านอยากจะสร้างโรงโม่น้ำแล้วใช่หรือไม่”
“เชิญเข้ามาข้างใน ท่านเดินทางมาเหนื่อยแน่ๆ ฝนเพิ่งหยุดเมื่อเช้า คงเดินทางลำบากน่าดูเลยกระมัง”
ฉินเหยาเชื้อเชิญให้เขาเข้ามาในบ้าน แต่เมื่อเถ้าแก่อู่เห็นว่าในเรือนไม่มีบุรุษอยู่ด้วยจึงเลือกนั่งรออยู่ที่ลานแทน ไม่ได้เข้าไปในห้องโถง
เถ้าแก่อู่รับน้ำเปล่าที่ฉินเหยาส่งให้มาดื่มอึกใหญ่ ก่อนจะถามทันที “ก่อนหน้านี้ข้าบอกว่าอยากสร้างโรงโม่น้ำ ไม่ใช้กังหันน้ำอันใหญ่ เอาแบบเดียวกับที่บ้านเจ้ามีอยู่ริมแม่น้ำก็พอ สร้างสักสามตัว ขนาดเล็ก ไม่กินพื้นที่มาก”
“ตอนนั้นข้าถามว่าเจ้าคิดค่าดำเนินการอย่างไร เจ้าบอกว่ากังหันน้ำเล็กสองตำลึง ยังใช่ราคานี้อยู่หรือไม่”
ฉินเหยาพยักหน้า “กังหันน้ำสองตำลึง ท่านเตรียมโม่หินไว้เองก็พอ แต่ข้าจะคิดค่าติดตั้งเพิ่มอีกหนึ่งร้อยเหวิน คงไม่มากเกินไปใช่ไหม”
“ไม่รวมโม่หินรึ”
เถ้าแก่อู่คาดไม่ถึง เขาคิดว่าราคานี้รวมโม่หินแล้ว
ฉินเหยาลากเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งตรงข้ามเขาพลางกล่าวอย่างจนใจ
“ราคาค่าไม้ ท่านก็น่าจะรู้ดี แค่ค่าวัสดุอย่างเดียวก็เกินหนึ่งตำลึงไปแล้ว ไหนจะค่าขนส่งอีก ระหว่างทางก็เป็นเงินจำนวนหนึ่ง พวกข้าทำการค้าอย่างไรก็ต้องมีกำไรบ้าง หากรวมโม่หินไปอีก ข้าก็ทำงานให้เปล่าน่ะสิ”
เถ้าแก่อู่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “โม่หินแบบใดก็ได้หรือ ข้ายังต้องไปหาแผ่นโม่เองอีก ยุ่งยากเกินไปแล้ว เจ้าคิดราคาเหมาให้ข้าที ข้าจะมาเสียเที่ยวไม่ได้ วันนี้ต้องตกลงกันให้จบ!”
ฉินเหยาส่งสัญญาณให้เขาใจเย็นก่อนแล้วเริ่มคำนวณราคาที่เหมาะสมในใจ
ในเมื่อมีคนแรกมาถึงบ้านแสดงว่าอีกไม่นานก็ต้องมีคนที่สองที่สามตามมา
สำหรับคนที่ต้องการความสะดวกก็คิดราคาแบบเหมารวมกังหันน้ำและโม่หิน แต่หากใครอยากประหยัดก็ให้เลือกซื้อกังหันน้ำอย่างเดียวแล้วเตรียมโม่หินเอาเอง
แต่ฉินเหยาคิดว่า แทนที่จะให้เงินค่าโม่หินไปอยู่ในมือคนอื่น เหตุใดไม่ให้มันตกอยู่กับคนในหมู่บ้านของตัวเองดีกว่าเล่า
ราคาตลาดข้างนอกเป็นอย่างไร คนที่นี่ย่อมรู้อยู่แล้ว เขตอำเภอไคหยางรวมค่าขนส่งให้ แต่หากอยู่นอกเขตนี้ ผู้ซื้อต้องจ่ายค่าขนส่งเอง
“เอาเช่นนี้แล้วกัน กังหันน้ำพร้อมโม่หิน ในเขตอำเภอรวมค่าติดตั้งและขนส่ง หนึ่งชุดคิดสามตำลึง”
ฉินเหยาทำท่าลำบากใจราวกับว่าตนไม่ได้กำไรเลย “ข้างนอกโม่หินใหญ่ๆ หนึ่งแผ่นก็ปาไปห้าหกเฉียนเข้าไปแล้ว จริงๆ ข้าไม่ได้กำไรอะไรมาก ท่านดูเอาว่าพอรับไหวหรือไม่ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าข้าจะไปสำรวจพื้นที่ของท่านดูอีกที”
“หากไม่เข้าเงื่อนไข เรื่องนี้ก็ช่างเถิด”
เถ้าแก่อู่คำนวณในใจอย่างรวดเร็ว กังหันน้ำสามชุดรวมกันเป็นเก้าตำลึง แต่ประสิทธิภาพก็เทียบเท่ากับโรงโม่น้ำของหมู่บ้านเซี่ยเหอที่ใช้เงินถึงสิบห้าตำลึง สรุปแล้วประหยัดไปได้ไม่น้อย
แน่นอนว่าของแพงย่อมมีเหตุผล กังหันน้ำของหมู่บ้านเซี่ยเหอนั้นใช้วัสดุดีกว่าหน่อย แถมกำลังของกังหันแนวนอนยังมากกว่ากังหันแนวตั้งอีกด้วยและไม่ได้รับผลกระทบจากความแรงของกระแสน้ำ ทำให้สามารถใช้ได้ตลอดทั้งปี
ยกเว้นแต่ว่าจะเกิดภัยแล้งใหญ่ที่หลายสิบปีถึงจะเจอสักครั้ง น้ำในแม่น้ำเหือดแห้งจึงจะส่งผลกระทบต่อการใช้งาน
“ตกลง งั้นพรุ่งนี้ข้าจะรอเจ้าที่บ้าน” เถ้าแก่อู่ตอบตกลง ในใจเขาไม่ได้คิดจะใช้โรงโม่น้ำแค่ในบ้านตัวเอง แต่คิดจะทำโรงโม่น้ำเป็นการค้า
ดังนั้น ต้องรีบลงมือและสร้างให้มีขนาดใหญ่พอสมควร เพื่อแย่งชิงโอกาสก่อนใคร
ฉินเหยาเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเสนอแนะ “หากท่านต้องการเปิดโรงโม่เพื่อทำกำไร ข้าว่ากังหันน้ำสามตัวอาจจะยังไม่พอ เพิ่มเครื่องบดน้ำเข้าไปด้วย จะดึงดูดคนได้มากกว่า”
เถ้าแก่อู่หัวเราะออกมาอย่างขบขัน “ฉินเหนียงจื่อ ยังไม่รู้เลยว่าจะทำได้หรือไม่ เจ้าก็รีบเสนอให้ข้าเพิ่มเครื่องบดแล้ว อย่ากังวลไปเลย หากโรงโม่น้ำสร้างได้ละก็ ไม่ใช่แค่เครื่องบดตัวเดียว ต่อให้สี่ห้าเครื่องก็ยังทำได้!”
ฉินเหยาโบกมือเบาๆ ช่างเถอะ อย่ามัวแต่วาดฝันให้กันเองเลย
เถ้าแก่อู่ทิ้งที่อยู่บ้านไว้แล้วไปดูโรงโม่น้ำของฉินเหยา พร้อมกับเอ่ยไม่หยุดปากว่า “ดีจริงๆ ดีจริงๆ”
จากนั้นจึงจากไปด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยม