หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - ตอนที่ 86 ได้รับเงินเดือน
ยังไม่ทันที่นายท่านติงจะได้ตำหนิ ฉินเหยาก็กล่าวขึ้นอย่างใจเย็นว่า
“ช่วงนี้อากาศดี คุณหนูอ่านหนังสือในจวนจนตาลายไปหมด ข้าจึงพานางเข้าไปในภูเขาเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์และผ่อนคลายจิตใจ”
พ่อลูกสามคนหันไปมองลมฝนที่พัดกระหน่ำอยู่ด้านนอกพร้อมกันแล้วคิดในใจ เจ้ากล้าเรียกนี่ว่าอากาศดีหรือ
แต่ถึงอย่างไร นางก็หาข้ออ้างที่เหมาะสมให้กับพฤติกรรม ‘นอกกรอบ’ ของติงเซียงและยังช่วยให้นายท่านติงหาทางลงได้อย่างสมศักดิ์ศรี
บนโต๊ะมีอาหารแปดอย่าง ทั้งเนื้อและผัก รวมถึงขนมอีกจานหนึ่ง กลิ่นหอมโชยมายั่วน้ำลายเป็นระลอก แต่ทุกคนกลับยังไม่มีท่าทีจะเริ่มกิน ฉินเหยาคิดในใจ พวกเจ้าก็ทรมานกันเกินไปแล้ว
ดังนั้น เพื่อให้ทุกคนเริ่มกินข้าวเร็วขึ้น ฉินเหยาจึงกล่าวขึ้นอีกสองสามประโยค
โดยสรุปก็คือ สมัยนี้เหล่าขุนนางชั้นสูงและคุณหนูตระกูลใหญ่ล้วนต้องเรียนขี่ม้าและยิงธนูเป็นพื้นฐาน คุณหนูติงเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง
ในอนาคต นายท่านติงยังต้องเข้าสอบจิ้นซื่อ หากผ่านก็จะเลื่อนฐานะกลายเป็นตระกูลขุนนางโดยแท้จริง หากคุณหนูเรียนรู้ทักษะที่เหมาะสมกับสังคมชั้นสูงก็จะเป็นประโยชน์ต่อครอบครัว
พ่อลูกสามคนมองฉินเหยาที่พูดอย่างจริงจังจนจบแล้วเริ่มจะเชื่อขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว
แต่หญิงบ้านนอกอย่างนาง รู้เรื่องชีวิตของคุณหนูตระกูลใหญ่ได้อย่างไรกัน
ฉินเหยายิ้มให้ทั้งสามคน นี่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ “หากไม่กินตอนนี้ อาหารจะเย็นหมดแล้ว”
สีหน้าจริงจังของนายท่านติงผ่อนคลายลงมาก เมื่อรู้ว่าคุณหนูตระกูลใหญ่ก็เรียนขี่ม้าและยิงธนูเช่นกัน ทันใดนั้นเขากลับรู้สึกว่าการที่บุตรสาวเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ก็ดูไม่เลวเลย
เขาหยิบตะเกียบขึ้นมา พยักหน้าให้ฉินเหยา จากนั้นเริ่มกินอาหาร
ฉินเหยามองดูนายท่านติงตักอาหารเข้าปากก่อน นางจึงค่อยหยิบตะเกียบขึ้นมาเริ่มกินบ้าง
ความเร็วในการกินของนางครั้งนี้ดูสุภาพกว่าปกติมากและคุมตัวเองได้ดีขึ้น กินเพียงสามชามกับน้ำแกงหนึ่งถ้วย
ติงเซียงถามด้วยความเป็นห่วง “ฉินเหยา เจ้าอิ่มไหม”
ฉินเหยายิ้มอย่างสุภาพ “อิ่มแล้วเจ้าค่ะ อร่อยมาก ขอบคุณนายท่านติงที่ต้อนรับอย่างดี”
ความจริง นางเพิ่งกินอิ่มแค่หกส่วนเท่านั้น คิดเสียว่าวันนี้ลดน้ำหนักก็แล้วกัน
แต่อาหารของนายท่านติงนั้นสมฐานะจริงๆ ปลาตัวโต เนื้อสัตว์มากมาย กินได้ไม่อั้น น่าอิจฉายิ่งนัก
แน่นอน นางเองก็เชื่อว่าในอนาคต อาหารที่ตนได้กินจะต้องไม่แย่ไปกว่านี้แน่
เมื่อกินเสร็จ ติงเซียงและติงซื่อก็ขอตัวออกไป เหลือเพียงฉินเหยากับนายท่านติงอยู่ในห้องอาหาร
บ่าวรับใช้เก็บจานชามไป ฉินเหยาตามนายท่านติงไปนั่งที่เก้าอี้ไท่ซือ พ่อบ้านอวี๋เดินเข้ามาพร้อมยื่นถุงผ้าเล็กๆ ให้ฉินเหยา
ฉินเหยารับไว้ด้วยความคาดหวัง ชั่งน้ำหนักดู สองตำลึง! ได้รับค่าแรงแล้ว!
“ขอบคุณนายท่าน” ฉินเหยาลุกขึ้น ยกมือคารวะอย่างสุภาพ
นายท่านติงพยักหน้า “หนึ่งเดือนมานี้ ฉินเหนียงจื่อเองก็ลำบากแล้ว”
เขายังกล่าวว่าหากฉินเหยาอยากพักผ่อน สามารถอยู่ที่จวนต่อได้อีกสองสามวันและจะให้จางปาขับรถม้าไปส่งกลับบ้าน
ฉินเหยากล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้ง แต่ปฏิเสธข้อเสนอนั้น นางไม่อาจถือเอาคำเชิญตามมารยาทของเขามาคิดจริงจังได้
ทั้งสองพูดคุยกันอีกครู่ใหญ่ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับติงเซียงในช่วงเดือนที่ผ่านมา สุดท้าย นายท่านติงก็ถามขึ้นอีกครั้งว่า
“คุณหนูตระกูลใหญ่ฝึกขี่ม้าและยิงธนูจริงหรือ ไม่ได้เน้นแต่ดนตรี หมาก ตำรา และวาดภาพเป็นหลักหรือ”
ฉินเหยาจะไปรู้ได้อย่างไร นางแค่คาดเดาจากนิยายจักรพรรดินีที่เคยอ่านมาเล่มนั้นเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังคงรักษาสีหน้าเรียบเฉยเอาไว้พลางพยักหน้ากล่าวว่า “แน่นอนว่าดนตรี หมาก ตำราและภาพวาดยังต้องฝึกฝน แต่การชงชา จัดดอกไม้และขี่ม้ายิงธนูเองก็สำคัญเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องชำนาญ แต่ก็ควรรู้ไว้บ้าง อย่างไรเสีย หากคนอื่นทำเป็นกันหมด มีเพียงบุตรสาวท่านที่ทำไม่เป็น นางคงเข้ากลุ่มกับใครไม่ได้ นายท่านว่าจริงหรือไม่”
“จริงสิ ข้าได้ยินจากพ่อบ้านอวี๋ว่าอีกไม่นานนี้ นายท่านจะต้องเดินทางไปยังเมืองหลวงเพื่อร่วมการสอบฮุ่ยซื่อในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เมื่อถึงตอนนั้น ท่านก็จะรู้เองว่าสิ่งที่ข้าพูดเป็นจริงหรือไม่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นายท่านติงก็คิดว่าฉินเหยาคงไม่กล้าหลอกตนจึงพยักหน้าและเชื่อมากขึ้นอีกหลายส่วน เขาจึงถามต่อว่านางสนใจจะอยู่ต่ออีกเดือนเพื่อฝึกติงเซียงขี่ม้ายิงธนูต่อหรือไม่
ฉินเหยากล่าวว่า “นายท่านวางใจ ในช่วงไม่กี่วันนี้ข้าได้สอนทักษะการขี่ม้าและยิงธนูทั้งหมดให้คุณหนูแล้ว ที่เหลือเพียงต้องฝึกฝนให้สม่ำเสมอเท่านั้น”
“คุณหนูเฉลียวฉลาด เข้าใจทุกอย่างได้รวดเร็ว หากตั้งใจฝึกฝน ความเชี่ยวชาญเป็นเพียงเรื่องของเวลา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นายท่านติงก็คิดถึงปฏิกิริยาของตนเมื่อครู่แล้วรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
คืนนั้น พ่อบ้านอวี๋ยังเล่าให้ฟังอีกว่าฉินเหยาสอนอย่างตั้งใจและดูเป็นระดับผู้เชี่ยวชาญโดยแท้ เมื่อคิดไปคิดมา เขายิ่งมั่นใจว่าคนเช่นนี้ ในอนาคตคงไม่เป็นเพียงชาวนาเดินดินธรรมดาแน่
ยามดึก นายท่านติงสะดุ้งตื่นขึ้นแล้วตัดสินใจสั่งให้พ่อบ้านอวี๋ไปหยิบเงินอีกหนึ่งตำลึงจากคลังสมบัติ พร้อมสั่งให้คนใช้ไปแจ้งแม่ครัวให้ทำขนมที่ฉินเหยาชอบเพิ่มอีกสองชุดเพื่อมอบให้นางตอนที่ออกเดินทางในวันพรุ่งนี้
คำพูดของนายท่านเพียงประโยคเดียว แต่คนรับใช้ต้องวิ่งวุ่นกันทั้งคืน
การหาเงินหนึ่งตำลึงมาให้นั้นยังไม่ลำบากนัก แต่ที่เหนื่อยที่สุดคือแม่ครัว เพราะแป้งสำหรับทำขนมหมด นางจึงต้องลุกขึ้นมากลางดึกเพื่อโม่แป้งใหม่
เช้าตรู่วันถัดมา เมื่อฉินเหยาจัดของเตรียมตัวออกเดินทาง นางก็เห็นพ่อบ้านอวี๋ยื่นห่อขนมสองห่อพร้อมเงินรางวัลหนึ่งตำลึงให้นาง นางจึงรู้สึกซาบซึ้งเล็กน้อย
ติงเซียงห่อหนังสือที่ให้ยืมไว้อย่างดี ด้านในยังรองด้วยกระดาษไขอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ฝนตกลงมาทำให้หนังสืออันล้ำค่าเหล่านี้เปียก
หนังสือเหล่านี้ล้วนมีบันทึกการเรียนของนายท่านติง บันทึกของนายท่านจวี่เหรินเช่นนี้ บัณฑิตคนไหนบ้างจะไม่ต้องการ?
เพราะรู้ถึงคุณค่าของหนังสือเหล่านี้ ฉินเหยาจึงตรวจสอบอย่างรอบคอบ ก่อนจะแบกหนังสือหนักอึ้งเก้าเล่มพร้อมคันธนูและดาบหนักไว้บนหลัง
ในมือนางถือขนมดอกท้อและขนมถั่วเขียวที่ยังร้อนอยู่ ขณะที่ติงเซียงมองตามด้วยสายตาอาลัย นางก็ก้าวออกจากประตูจวนตระกูลติง โบกมือลาและเดินจากไป
เวลายังเช้าอยู่ ฉินเหยาจึงไปตลาดก่อน แวะร้านขายเนื้อ ซื้อเนื้อห้าจินและซี่โครงสองชิ้น
จากนั้นไปยังร้านเบ็ดเตล็ดเพียงร้านเดียวที่ขายพู่กัน หมึก กระดาษ และจานฝนหมึก ซื้อกระดาษขาวปึกหนา
กระดาษยังไม่ได้ตัดแยก มัดเป็นก้อนเล็กๆ ด้านนอกห่อด้วยผ้าเคลือบน้ำมันซึ่งต้องจ่ายเพิ่มอีกห้าเหวิน
แต่ไม่ซื้อไม่ได้ ฝนช่วงนี้มาตามอำเภอใจ อย่างน้อยผ้าเคลือบน้ำมันนี้สามารถใช้ซ้ำได้ ครั้งหน้ามาซื้อกระดาษค่อยนำติดตัวมาเอง
เพื่อคัดหนังสือให้เร็วขึ้น นางจึงซื้อพู่กันและหมึกอีกชุด รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดนี้เสียไปครึ่งตำลึง
เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าการศึกษานั้นแพง ค่าเล่าเรียนเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ที่หนักจริงๆ คือพวกกระดาษ พู่กัน และหมึกที่ต้องใช้ซ้ำๆ ยังไม่นับถึงค่าใช้จ่ายในวงสังคม
ขนมนั้นตระกูลติงให้มาแล้ว ฉินเหยาจึงไม่ซื้อขนมอื่นเพิ่ม
พอมองเสื้อผ้าที่สวมอยู่ ผ้าฝ้ายที่มีความหนานี้ไม่เหมาะกับหน้าร้อนอีกต่อไป ตอนนี้ทำได้แค่ทำใส่ไปก่อน พอแดดออกจัดก็ร้อนแทบทนไม่ไหว
เสื้อผ้าไหมบางเบาแบบที่ติงเซียงสวมอยู่ ฉินเหยาไม่กล้าคิดถึง แต่ผ้าปอนางยังพอซื้อไหว
นางคำนวณจำนวนเสื้อผ้าที่แต่ละคนในบ้านต้องใช้แล้วซื้อผ้าปอหนึ่งพับกับเส้นด้ายฝ้ายหนึ่งม้วน เสียเงินไปอีกครึ่งตำลึง
จากเงินสามตำลึง ตอนนี้เหลืออยู่เพียงสองตำลึง
ข้าวจะโตเต็มที่ช่วงกลางเดือนเจ็ด ตอนนี้เป็นเดือนหก ยังต้องใช้เสบียงอีกเดือนครึ่ง นางจึงซื้อข้าวสามร้อยจิน แบ่งเป็นข้าวขาวและข้าวผสมอย่างละครึ่ง เงินหนึ่งตำลึงห้าเฉียนก็หมดไปแล้ว
ฉินเหยาคิดคำนวณดูแล้ว ตอนนี้ทรัพย์สินทั้งหมดของนางเหลือเพียงแปดตำลึงห้าเฉียน
หากเป็นบ้านอื่น ข้าวสามร้อยจินคงกินได้เกือบสามเดือน แต่น่าเสียดายที่ฉินเหยากินเทียบเท่าคนห้าคน ประหยัดไม่ได้จริงๆ
แต่เมื่อถึงเวลาที่ข้าวปีนี้เก็บเกี่ยวเสร็จ เสบียงของคนทั้งบ้านคงดีขึ้นมาก ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก็จะสามารถประหยัดได้