หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - ตอนที่ 87 จะให้ข้าตบเจ้าให้ได้สินะ
ขณะที่ฉินเหยากำลังกลุ้มใจว่าจะขนของที่ซื้อกลับบ้านอย่างไร นางก็พบชาวบ้านจากหมู่บ้านเซี่ยเหอที่กำลังขับเกวียนวัวมาซื้อของเช่นกัน
ฉินเหยาจ่ายให้เขาสิบเหวิน อีกฝ่ายตกลงจะพานางไปส่งที่หมู่บ้านตระกูลหลิว
มีเกวียนก็สะดวกจริงๆ ของของทั้งสองบ้านถูกวางไว้ด้านหลังยังมีที่ว่างพอ ฉินเหยาจึงนั่งไปจนถึงหน้าบ้านได้สบายๆ
จากบ้านไปหนึ่งเดือน จะว่ายาวก็ไม่ยาว จะว่าสั้นก็ไม่สั้น คนในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เมื่อเห็นฉินเหยา ทุกคนก็ทักทายนางอย่างอบอุ่น
ต้นข้าวในนาเติบโตสูงขึ้นเป็นสีเขียวขจี ลมภูเขาพัดผ่านทำให้เกิดคลื่นสีเขียวระลอกใหญ่ ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งสบายใจ
พอเห็นเรือนเล็กบนเนินฝั่งตรงข้ามแม่น้ำแต่ไกล หัวใจของฉินเหยาก็ล่องลอยไปถึงที่นั่นก่อนร่างกายเสียอีก
ที่โรงโม่น้ำใต้เนินเขา ต้าหลางกับพี่น้องทั้งสี่คนนั่งอยู่บนแท่นหิน ถือกิ่งไม้ในมือ ฝึกคัดตัวอักษรบนถาดไม้ที่เต็มไปด้วยทรายและคอยจับตาพวกที่คิดแอบใช้โรงโม่โดยไม่จ่ายเงิน
ในช่วงเดือนที่ฉินเหยาไม่อยู่ หลิวจี้จับพวกที่แอบใช้โรงโม่โดยไม่จ่ายเงินได้และพาพี่น้องไปสั่งสอนพวกนั้นเสียหนึ่งรอบ
ตอนนี้พวกที่คิดจะฉวยโอกาสในหมู่บ้านลดลงมาก แต่ก็ยังต้องคอยระวัง
หลิวจี้ เหวินเดียวก็เป็นเงิน!
รอบๆ โรงโม่มีต้นหญ้าน้ำสูงระดับครึ่งตัวคน ทำให้ต้าหลางและพี่น้องอีกสามคนนั่งอยู่โดยไม่เห็นว่าฉินเหยากลับมาแล้ว
กลับเป็นหลิวจี้ที่กำลังเข้าส้วมหลังบ้านบนเนินเขา เพราะพื้นที่สูงทัศนวิสัยจึงกว้างทำให้เขาเป็นคนแรกที่เห็นเกวียนวัวที่กำลังมุ่งหน้ามาทางบ้านของตน
พอเพ่งมองให้ดี แม่เจ้าประคุณ! ฉินเหยากลับมาแล้ว!
แถมนั่งเกวียนวัวกลับมา ของที่อยู่บนรถต้องเป็นของที่นางซื้อมาทั้งหมดแน่ๆ
นางเป็นคนชอบกินขนาดนั้น วันนี้ต้องได้กินเนื้อกับผักแบบเต็มอิ่มแน่นอน!
หลิวจี้ตื่นเต้นเกินไปจนเกือบลื่นล้มตอนเดินออกจากส้วม เขารีบคว้าขอบประตูไว้จึงทรงตัวได้ทัน
เขาปัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย สะบัดเส้นผมด้านหน้าที่ปรกอยู่ เผยรอยยิ้มที่คิดว่าตัวเองดูสง่างามที่สุดแล้วรีบวิ่งลงมาจากเนิน
เขาโบกมือไปพลางตะโกนสุดเสียงว่า “เมียจ๋า! เมียจ๋า!”
เสียงสะท้อนดังไปทั่วริมแม่น้ำ ทำเอาฉินเหยาบนเกวียนถึงกับขมวดคิ้วแน่น เจ้านี่มันตัวน่าอับอายจริงๆ!
สารถีที่ขับเกวียนหันมามองนางด้วยสายตาล้อเลียน “ฉินเหนียงจื่อ พวกเจ้าสองสามีภรรยาช่างรักกันจริงๆ ดูสิ สามีเจ้าดีใจขนาดนั้น”
ฉินเหยาได้แต่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความสุภาพ
เสียงตะโกนของหลิวจี้ทำให้พี่น้องทั้งสี่ในโรงโม่น้ำสะดุ้ง ก่อนจะลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นเกวียนวัวบนสะพานและคนที่อยู่บนนั้น พวกเขาต่างพากันร้องลั่นวิ่งออกมาต้อนรับ
ซานหลางและซื่อเหนียงตะโกน “ท่านแม่!”
ต้าหลางและเอ้อร์หลางตะโกน “ท่านน้า!”
ฉินเหยารับคำทีละคน โบกมือให้เด็กๆ ถอยไปก่อนแล้วกระโดดลงจากรถ พวกเขาแม่ลูกห้าคนล้อมเกวียนและช่วยกันนำมันไปถึงหน้าบ้าน
หลิวจี้ยิ้มเอาใจฉินเหยาก่อน แต่กลับได้รับเพียงการกลอกตาอย่างดูถูกของนาง ทว่าเขาไม่ถือสา ยังคงช่วยสารถีขนของลงจากรถและยกเข้าไปเก็บในบ้าน
มารยาทก็ไม่เลวทีเดียว ยังรู้จักกล่าวขอบคุณและเชิญอีกฝ่ายเข้ามาดื่มน้ำในบ้านด้วย
แต่สารถีต้องรีบกลับหมู่บ้านเซี่ยเหอ ฉินเหยาจึงไม่ได้รั้งตัวไว้
“ของจัดเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
หลิวจี้ตอบ “ข้าวเก็บเข้าห้องเก็บของเรียบร้อยแล้ว เนื้อแขวนไว้แล้ว ตอนเที่ยงข้าจะผัดกับผักทำเป็นกับข้าวให้กินกันเต็มที่ ส่วนที่เหลือข้าจะเอาไปเจียวเป็นน้ำมันหมู จะได้เก็บไว้ได้นานหน่อย”
อากาศร้อนก็มีข้อเสียเช่นกันคือเนื้อกับผักเก็บได้ไม่นาน
แต่ฉินเหยาก็ไม่ได้ซื้อมาเยอะ “ซี่โครงสองจินเอามาทำมื้อเย็นเลยเถอะ ของสดเอามาเคี่ยวเป็นน้ำแกงจะอร่อยที่สุด”
หลิวจี้พยักหน้าตอบรับ
ช่วงที่ฉินเหยาไม่อยู่ ห้าพ่อลูกทำแค่มื้อเช้ากับเย็น กลางวันก็หาอะไรง่ายๆ กินไปก่อน แต่วันนี้ฉินเหยากลับมาแล้วจึงแบ่งเนื้อไว้ครึ่งจิน สำหรับทำกับข้าวตอนเที่ยง
หลิวจี้ก่อไฟตามปกติ หุงข้าวไว้ก่อน ตอนนี้เวลาประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง ยังไม่เที่ยงจึงล้างผักหั่นเนื้อเตรียมไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยทำ
หากไม่กลัวว่าฉินเหยาจะไม่พอใจ เขาคงอดใจไม่ไหวไปแล้ว
พอเตรียมกับข้าวเสร็จ เขาก็รีบวิ่งไปที่ห้องโถงทันที ลูบผ้าปออย่างตื่นเต้น “ซื้อผ้ามาเยอะขนาดนี้ จะทำชุดหน้าร้อนหรือ”
ฉินเหยาเดินเข้าไปเก็บอาวุธ วางห่อหนังสือที่หนักอึ้งลงแล้วพยักหน้า “พอกินข้าวเที่ยงเสร็จ เจ้าช่วยเอาผ้าไปเรือนเก่าทีแล้วแบ่งเนื้อไปอีกหนึ่งจิน ขอให้พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองช่วยตัดเย็บชุดให้เราคนละตัว”
“เช่นนั้นต้องเหลือผ้าอีกเยอะเลยสินะ”
หลิวจี้แม้จะเย็บเสื้อผ้าไม่เป็น แต่ก็ไม่ได้โง่จนไม่เข้าใจ พวกเขามีผู้ใหญ่สองคนกับเด็กสี่คน ผ้าหนึ่งพับไม่น่าจะใช้หมด
ฉินเหยาเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “หากเจ้าตัดเย็บเสื้อผ้าเองเป็น ค่าใช้จ่ายพวกนี้ก็คงไม่ต้องเสีย”
หลิวจี้ยิ้มเจื่อน “เมียจ๋า เจ้าพูดเล่นอีกแล้ว มีที่ไหนที่บุรุษจะมาจับเข็มปักผ้าเย็บเสื้อผ้ากัน เล่าลือออกไปคงอับอายกันพอดี”
แต่พอคิดว่าจะต้องให้ทั้งเนื้อและผ้า เขาก็รู้สึกเสียดายเลยพึมพำขึ้นว่า “เช่นนั้นเนื้อไม่ต้องให้แล้วดีไหม พี่น้องกันแท้ๆ พวกเขาก็คงไม่กล้ารับหรอก”
ฉินเหยาวางห่อผ้าหนักอึ้งลง มองเห็นต้าหลางและพี่น้องทั้งสี่คนล้อมรอบห่อขนมด้วยตาเป็นประกายจึงช่วยเปิดกระดาษห่อให้
“โห ยังมีขนมอีก นี่ในตลาดไม่มีขายใช่หรือไม่” หลิวจี้มองฉินเหยาด้วยสายตาสงสัย
ขนมแต่ละชนิดมีแปดชิ้น ฉินเหยาเลือกออกมาอย่างละหกชิ้น เหลืออีกสองชิ้นพอดีสำหรับจินเป่าจินฮวาและพ่อแม่สามีคนละชิ้น จากนั้นก็กำชับให้หลิวจี้เอาไปให้เรือนเก่าทีหลัง
“นี่เป็นของที่นายท่านติงให้มาเพิ่ม” ฉินเหยาอธิบาย
หลิวจี้ร้องอ้อแล้วรับหน้าที่แบ่งขนมเอง เขาหยิบขนมถั่วเขียวเข้าปากไปชิ้นหนึ่ง เนื้อสัมผัสร่วนๆ หวานกำลังดี กินแล้วสดชื่นมาก
พอเห็นฉินเหยาแยกขนมสี่ชิ้นไว้ต่างหาก เขาก็เอื้อมมือจะไปดึงมันเข้าหาตัว
“จินเป่าจินฮวาเคยกินขนมแทบทุกชนิดแล้ว พี่ใหญ่กับพี่รองรักลูกๆ มาก แต่ลูกเราสิไม่เคยได้กินขนมดีๆ แบบนี้เลย เก็บไว้กินเองเถอะ…”
ยังไม่ทันพูดจบ ฉินเหยาก็คว้าขนมสี่ชิ้นนั้นไปวางรวมกับผ้าปอ “ต้าหลางบอกข้าว่า เจ้าพาพี่ใหญ่ พี่รองและน้องเล็กไปต่อยตีคนมาใช่หรือไม่”
เวลาใช้คนก็ขยันดี แต่พอมีของดีๆ กลับไม่แบ่งให้เลย ไม่กลัวคนเขาโกรธหรือไร
“ต้าหลาง เจ้านี่ปากไวเกินไปแล้ว!” หลิวจี้เคาะหัวลูกชายคนโตที่กำลังกินขนมจนเขาเกือบกัดลิ้นตัวเอง
“ท่านน้า~” ต้าหลางมองแม่เลี้ยงด้วยสายตาน้อยใจ
ฉินเหยายกมือขึ้นแล้ว ป้าบ! ตบกะโหลกหลิวจี้ไปหนึ่งที “เพิ่งถึงบ้านก็หาเรื่องให้ข้าต้องตบเจ้าเลยใช่ไหม!”
หลิวจี้เจ็บจนเห็นดาวระยิบระยับ แต่ยังคงฝืนกล้ำกลืนไม่ให้เสียหน้าต่อหน้าลูกๆ สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยว่า “เมียจ๋า ข้าก็แค่คิดถึงครอบครัวของเราก่อนนี่นา…”
“เจ้าคิดอะไรข้ารู้ดีอยู่แล้ว” ฉินเหยาส่งสายตาคมกริบไปให้ “มีสักหน่อยเถอะนะ ทัศนคติที่กว้างกว่านี้น่ะ”
หลิวจี้แทะขนมไปพลาง ทัศนคติที่กว้างขึ้น? กินได้หรือไร?
ปากหวานแต่ใจขมขื่น มือกุมหน้าอกมองของที่กำลังจะถูกส่งออกไป ไม่แน่ใจเลยว่าปวดหัวหรือปวดใจมากกว่ากัน เอาเป็นว่าปวดไปหมดทุกส่วนก็แล้วกัน
“เมียจ๋า เจ้าซื้อกระดาษมาตั้งเยอะนี่จะเอาไปทำอะไรหรือ”
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง พอกินขนมหมดแล้วเขาก็เริ่มถามด้วยความสงสัยอีก
ความรู้สึกประหลาดที่เคยเกิดขึ้นตอนเจอฉินเหยาในตลาดช่วงเทศกาลบ๊ะจ่างกลับมาอีกครั้ง ทำให้เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล…