หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - ตอนที่ 88 เขาไม่กินข้ากิน
ฉินเหยาจัดการของบนโต๊ะให้พ้นทาง ก่อนจะดันห่อหนังสือหนักอึ้งไปไว้ตรงกลาง จากนั้นหันไปมองห้าพ่อลูกตรงหน้าแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “คัดหนังสือ!”
ห้าพ่อลูกที่หน้าตาถอดแบบกันมาหันไปมองฉินเหยาพร้อมกันด้วยความงุนงง คัดหนังสืออะไร?
ฉินเหยาแกะห่อออก ก่อนจะเปิดกระดาษไขที่ห่อไว้อีกชั้น เผยให้เห็นหนังสือเก้าเล่มวางอยู่ตรงหน้าพวกเขา
หลิวจี้สูดลมหายใจเข้าลึก รีบวิ่งไปปิดประตูห้องโถง ก่อนจะหันกลับมามองฉินเหยาด้วยความตกใจ “เจ้าขโมยหนังสือพวกนี้มาหรือ ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร!?”
นั่นมันคหบดีติงนะ! แม้แต่ท่านนายอำเภอยังต้องเรียกขานอย่างให้เกียรติว่าติงจวี่เหริน หากเรื่องนี้ถูกจับได้ ศีรษะของทุกคนในบ้านของพวกเขาจะยังอยู่ครบหรือไม่!?
ฉินเหยาเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา “เจ้าว่าใครขโมย? ข้ายืมมา พอคัดเสร็จก็ต้องคืน”
พอได้ยินเช่นนี้ หัวใจที่เต้นโครมครามของหลิวจี้ก็สงบลง เมื่อรู้ว่าตัวเองเข้าใจผิด เขาจึงหัวเราะเจื่อนๆ “ไม่ใช่ก็ดีแล้วๆ ข้าตกใจแทบตายเลย”
“ดูท่าทางเอาเรื่องของเจ้าสิ” ฉินเหยาหลุดหัวเราะก่อนจะห่อหนังสือกลับไปใหม่ “กินข้าวกลางวันกันก่อน พอกินเสร็จตอนบ่ายเราจะประชุมครอบครัว ทุกคนต้องมา ห้ามขาดเด็ดขาด”
พวกต้าหลางพี่น้องพยักหน้ารับ พวกเขามีลางสังหรณ์ เรื่องที่แม่เลี้ยงจะพูดต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ!
หลิวจี้เหลือบมองหนังสือเก้าเล่มที่ถูกห่อกลับไป หากเขามองไม่ผิด นั่นมันสี่ตำราและห้าคัมภีร์สำหรับสอบขุนนาง!
หรือว่า… หญิงอำมหิตผู้นี้คิดจะให้พวกเขาเรียนหนังสือเพื่อสอบเคอจวี่!?
แต่เมื่อความคิดนี้โผล่ขึ้นมา ใจเขาก็ปฏิเสธทันที ล้อเล่นหรืออย่างไร คนอย่างพวกเขามีปัญญาเข้าสอบเคอจวี่หรือไร?!
พอนึกถึงค่าแรงของฉินเหยา หลิวจี้ก็สั่งให้เด็กๆ ออกไป เอ้อร์หลางถูกใช้ให้นำถ้วยไปขอสุราหมักจากเรือนเก่า ส่วนต้าหลางถูกใช้ให้ไปตักน้ำบ่อเย็นๆ มา
วันร้อนๆ แบบนี้ หากได้กินน้ำสุราหมักหวานเย็นสักถ้วย จะช่วยคลายร้อนได้ดีสักเพียงใด
ฉินเหยาหยิบเก้าอี้มานั่งใต้ชายคาค่อยๆ ตักสุราหมักขึ้นดื่ม นางนั่งอยู่หน้าประตู ลมโชยเข้ามาปะทะใบหน้า ความร้อนจากร่างกายสลายหายไปจนหมด
อยู่บ้านตัวเองนี่สบายที่สุดจริงๆ!
หลิวจี้ยกเนื้อผัดมะเขือและน้ำแกงไข่ผักเขียวขึ้นโต๊ะ ขณะเดินผ่านประตูก็ลองถามหนยั่งเชิงดูว่า
“เมียจ๋า นายท่านติงให้ค่าแรงเจ้ามาทั้งหมดเท่าไหร่หรือ”
แม้แต่เปลือกตาฉินเหยาก็ไม่ขยับเลยสักนิด “ค่าแรงที่ได้มาใช้ไปหมดแล้ว”
หลิวจี้รู้สึกแน่นหน้าอกอีกครั้ง ใช้หมดอีกแล้ว! งานตัดไม้คราวก่อนก็เหมือนกัน นางไม่รู้จักเก็บเงินไว้บ้างเลยหรือไร!?
ฉินเหยาเห็นแววตาตัดพ้อของเขาแล้วก็ตวาดเสียงเย็น “เมื่อไหร่จะได้กินข้าว!?”
หัวใจดวงน้อยของหลิวจี้รัดแน่น รีบเก็บความขุ่นเคืองแล้วยิ้มเอ่ย “เดี๋ยวนี้แหละจ๊ะ ข้าจะไปตักข้าวเดี๋ยวนี้!”
พูดจบก็โบกมือให้พี่น้องทั้งสี่ช่วยจัดชามและตะเกียบ ก่อนจะตักข้าวสุกมาเต็มอ่างดินเผา ขนาดเป็นสามเท่าของปริมาณปกติที่พวกเขาพ่อลูกกินกันห้าคน
หลิวจี้คิดถึงความอยากอาหารของฉินเหยาแล้วก็รู้สึกโล่งอก โชคดีที่นางหาเงินเองได้ มิเช่นนั้นเขาคงเลี้ยงปากท้องของนางไม่ไหวแน่
ตอนที่นางไม่อยู่บ้าน เขารู้สึกว่าข้าวในโอ่งกินเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด
แต่พอนางกลับมา ข้าวในโอ่งกลับลดฮวบจนเห็นก้น
โชคดีที่นางซื้อข้าวมาเพิ่มอีกสามร้อยจิน กะคร่าวๆ แล้วก็น่าจะพอกินไปจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว
ระหว่างกินข้าว หลิวจี้แอบเหลือบมองฉินเหยาเป็นระยะพลางคำนวณข้าวของที่นางซื้อกลับมาในใจ
พู่กัน หมึกและกระดาษนั้นไม่ต้องพูดถึง หากไม่ใช้เงินตำลึงถึงห้าเฉียนย่อมซื้อไม่ได้
ผ้าปอก็ไม่ถูก ใช้ไปแล้วอีกห้าเฉียน
ข้าวสามร้อยจิน ข้าวขาวกับข้าวผสมปนกันไป ก็ประมาณหนึ่งตำลึงห้าเฉียน
รวมทั้งหมดสองตำลึงห้าเฉียน แต่ค่าแรงที่ได้จากตระกูลติงมีแค่สองตำลึง ใช้หมดแล้วจริงๆ!
ไม่ใช่แค่หมด แต่ใช้เกินอีกต่างหาก!
หลิวจี้รู้สึกอึดอัดในใจ สตรีผู้นี้ใช้เงินมือเติบกว่าเขาเสียอีก! คิดได้เช่นนี้ข้าวในชามที่เคยอร่อยกลับจืดชืดขึ้นมาทันที
แต่ฉินเหยาไม่สนว่าเขาจะกินอร่อยหรือไม่ อย่างไรเสีย นางก็กินอิ่ม!
หลังจากวางชามและตะเกียบลง ต้าหลางกับเอ้อร์หลางก็ลุกขึ้นเก็บจานไปล้างที่หน้าห้องครัวอย่างรู้หน้าที่
ซานหลางกับซื่อเหนียงเกาะติดกับฉินเหยา โดยเฉพาะซื่อเหนียงที่พูดเจื้อยแจ้วคอยเล่าเรื่องสนุกๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างที่นางไม่อยู่
หลิวจี้นำผ้า เนื้อและขนมสี่ชิ้นไปส่งที่เรือนเก่าสกุลหลิว
ตอนเอ้อร์หลางมาเอาสุราหมักก่อนหน้านี้ คนในบ้านก็รู้แล้วว่าฉินเหยากลับมาแล้วจึงคิดว่าอีกไม่นานน่าจะมีคนมาหา
นางเหอและนางชิวพากันแอบมองไปที่ประตูอยู่เป็นระยะ ไม่ต้องพูดก็รู้ใจว่ากำลังเฝ้ารอ
น้องสะใภ้สามใจกว้างที่สุด ครั้งนี้กลับจากตัวอำเภอมาพร้อมข้าวของมากมาย ไม่แน่ว่าอาจมีของสำหรับพวกนางด้วยก็ได้
และแน่นอนว่าน้องสะใภ้สามไม่เคยทำให้พวกนางผิดหวัง
เมื่อหลิวจี้นำเนื้อหนึ่งจินมา คนทั้งบ้านดีใจจนยิ้มแก้มปริ พากันสอบถามข่าวคราวของฉินเหยา เมื่อรู้ว่านางเพิ่งกลับถึงบ้านและต้องพักผ่อนจึงตกลงกันว่าจะรออีกสองสามวันก่อนค่อยไปเยี่ยม
นางเหอและนางชิวรับผ้ามา ก่อนจะถามถึงขนาดตัวของเด็กๆ ในบ้านหลิวจี้เพราะรูปร่างของเด็กๆ เปลี่ยนไปทุกปี ขนาดเสื้อผ้าของปีที่แล้วอาจจะไม่พอดีแล้ว
ขนมมีเพียงสี่ชิ้น จินเป่ากับจินฮวาได้คนละชิ้น เหลืออีกสองชิ้น พ่อแม่สามีเก็บไว้หนึ่งชิ้นและอีกชิ้นส่งให้หลิวเฝย
หลิวเฝยกล่าวอย่างเกรงใจ “ข้าโตแล้ว นี่เป็นของว่างสำหรับเด็กๆ ให้จินเป่ากับจินฮวากินเถอะ”
หลิวจี้รีบยื่นมือไปหยิบทันที “ท่านพ่อ ข้าชอบกิน! หากเขาไม่กินข้ากินเอง! ขนมถั่วเขียวนี้เนื้อร่วนนุ่มนิ่ม หอมหวานกำลังดี ฝีมือแม่ครัวบ้านนายท่านติง หาไม่ได้ในตลาดข้างนอกนะ!”
พอเห็นเขาตั้งท่าจะหยิบจริงๆ หลิวเฝยก็โมโหขึ้นมา “เจ้าไม่อายรึไง ยังจะมาแย่งขนมเด็กอีก!”
หลิวจี้หัวเราะร่า “ต่อหน้าท่านพ่อท่านแม่ พวกเราก็ยังเป็นเด็กกันทั้งนั้น”
แต่น่าเสียดายที่หลิวเหล่าฮั่นไม่ยอมเอาให้เขากลับให้หลิวไป่นำขนมไปแบ่งกันเองในหมู่พี่น้องสามคน ถือว่าได้ชิมของดีจากตระกูลผู้สูงศักดิ์กันพอหอมปากหอมคอ
ส่วนสองสะใภ้ เด็กๆ ย่อมคิดถึงมารดาของพวกเขาอยู่แล้วเลยแบ่งขนมให้พวกนางตั้งแต่แรก
“เพราะได้อาศัยเหยาเหนียงแท้ๆ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่อาจได้ลิ้มรสของดีแบบนี้” นางจางยิ้มชม
หลิวจี้รีบฉวยโอกาสยกย่องตนเองทันที “แน่นอน ก็ต้องดูว่าใครเป็นคนรับนางเข้าบ้านมา!”
หลิวเหล่าฮั่นมองเข้ามาในลานบ้านด้วยความตกใจ “เจ้ายังไม่กลับไปอีกเรอะ?”
เหยาเหนียงเพิ่งกลับบ้าน ไม่รู้หรือไรว่าต้องรีบกลับไปคอยดูแลนาง ยังจะมายืนเกะกะตาอยู่ที่นี่อีก!
นางจางบอกหลิวจี้ให้รอก่อน จากนั้นก็เดินเข้าไปในบ้านหยิบสุราหมักใส่ไหมาครึ่งหนึ่งแล้วยื่นให้หลิวจี้ให้เขาเอากลับไปให้ฉินเหยาดื่ม
เมื่อครู่ นางได้ยินเจ้าสามพูดว่า เหยาเหนียงชอบดื่มสุราหมักเป็นพิเศษ
ของแบบนี้ทำไม่ยาก แค่เปลืองข้าวเหนียวไปบ้าง ดื่มหน้าร้อนช่วยคลายร้อนได้ดีที่สุด เดิมนางตั้งใจหมักไว้เยอะหน่อยเพื่อเตรียมกลั่นเป็นสุรากลั่น แต่ยังไม่ทันได้ทำ พวกผู้ใหญ่และเด็กๆ ในบ้านก็พากันกินจนเกือบหมดแล้ว
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว นางเลยเอาออกมาแบ่งให้ทุกคนกินกันเป็นของว่าง
ก่อนจะกลับไป นางยังแวะไปเก็บผักในสวนมาเต็มตะกร้าให้หลิวจี้นำกลับไปด้วย
เมื่อฉินเหยาเห็นหลิวจี้กลับมาพร้อมของพะรุงพะรัง นางก็ถามด้วยความสงสัย “ให้เจ้าไปส่งของ เหตุใดถึงกวาดของกลับมาด้วยเยอะเพียงนี้เล่า”
หลิวจี้วางตะกร้าผักหนักอึ้งและไหดินเผาลง คำพูดเช่นนี้เขาไม่ชอบฟังหรอกนะ “อะไรเรียกว่ากวาดเอามา? นี่เป็นน้ำใจจากท่านพ่อท่านแม่ต่างหาก!”
พูดจบยังเสริมอีกว่า “เห็นข้าขนกลับมาแบบนี้ ท่านพ่อท่านแม่ดีใจแทบแย่เลยล่ะ!”