หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - ตอนที่ 90 ซื่อเหนียงไม่พอใจ
ตอนที่ 90 ซื่อเหนียงไม่พอใจ
ฉินเหยาพับสัญญาอย่างมีความสุขแล้วเก็บมันไว้
เมื่อพูดคุยเรื่องของหลิวจี้จบแล้ว ฉินเหยาก็หันไปพูดกับต้าหลางและเด็กชายอีกสองคนว่า “ตระกูลติงกำลังสร้างสำนักศึกษาของตระกูล คาดว่าสิ้นปีนี้จะแล้วเสร็จ หลังพ้นปีใหม่เมื่อสำนักศึกษาเปิดสอน ข้าจะหาทางให้พวกเจ้าได้เข้าเรียน”
“แต่ทางไปนั้นไกลนักให้ต้าหลางกับเอ้อร์หลางไปก่อน ส่วนซานหลางรออีกสองปี รอจนโตอีกหน่อยแล้วค่อยไป”
“ซื่อเหนียง เจ้าอย่าเพิ่งเสียใจไป รอให้ท่านพ่อของเจ้าศึกษาสำเร็จแล้ว พวกเราจะสามารถเรียนหนังสือกันเองที่บ้านได้”
ซื่อเหนียงถามอย่างสงสัยว่า “ท่านแม่ ข้าไปเรียนกับพี่ชายที่สำนักศึกษาของตระกูลไม่ได้หรือ”
ฉินเหยายังไม่ทันตอบ หลิวจี้ก็หัวเราะขึ้นมาก่อน เขาลูบมวยผมบนศีรษะลูกสาวแล้วกล่าวว่า “ซื่อเหนียงเด็กโง่ เจ้าเคยเห็นสตรีใดไปเรียนในสำนักศึกษาหรือไม่เล่า เด็กผู้หญิงต้องอ่อนโยนสงบเสงี่ยมหน่อย อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ฝึกงานปักเย็บและฝึกทำอาหารให้ดี วันหน้าพ่อจะหาคู่ครองที่เหมาะสมให้เจ้าเอง”
ซื่อเหนียงขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว นางไม่ชอบที่บิดาพูดเช่นนี้ แต่ยังเด็กเกินไปจึงไม่สามารถบรรยายได้ว่าไม่ชอบที่ตรงไหน
นางยังคงถามต่ออย่างดื้อรั้น “เหตุใดสตรีถึงไปเรียนหนังสือไม่ได้เล่า”
หลิวจี้ตอบว่า “เพราะอาจารย์ไม่รับสตรี”
“เหตุใดอาจารย์ถึงไม่รับสตรี” ซื่อเหนียงถามต่อ
หลิวจี้ชะงักไปครู่หนึ่ง คิดหาคำตอบอย่างจริงจังแล้วสรุปออกมาว่า “เพราะสตรีไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือเพื่อสอบเคอจวี่อย่างไรเล่า”
ซื่อเหนียงยังอยากถามต่อว่าทำไมสตรีถึงไม่จำเป็นต้องเรียนหนังสือ ทว่า หลิวจี้รู้ตัวแล้วว่าตนกำลังจะถูกลูกสาวลากไปติดหล่มเข้าจึงรีบยกมือขึ้นทำท่าให้นางเงียบ
ซื่อเหนียงขมวดคิ้วบางๆ เป็นเส้นโค้งคล้ายหนอนตัวเล็กๆ นางพองแก้มออกเพื่อแสดงถึงความไม่พอใจ
โชคดีที่ไม่นาน นางก็กลับมาร่าเริงอีกครั้งด้วยคำปลอบโยนของพี่ชายทั้งสาม
ฉินเหยานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจยาวแล้ววางหนังสือเก้าเล่มที่ยืมมาจากตระกูลติงลงตรงหน้าหลิวจี้
“หน้าที่สำคัญของเจ้าตอนนี้คือรีบคัดลอกหนังสือเก้าเล่มนี้ให้เสร็จโดยเร็ว ข้าจะได้คืนหนังสือให้คนเขาไป”
“จำไว้ อย่าทำให้เสียหาย หากเลอะเทอะเพียงเล็กน้อย ข้าจะหั่นเจ้าเป็นชิ้นๆ!” ฉินเหยาเตือนด้วยน้ำเสียงอันตราย
หลิวจี้ถามขึ้นว่า “แล้วงานไร่นาเล่า”
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้าทำเพียงอาหารสามมื้อให้เรียบร้อยและคัดลอกหนังสือเท่านั้น”
แต่นี่เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว นางจะปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์เป็นระยะ
ฉินเหยาเองก็ยุ่งไม่น้อย นางต้องรีบวางแผนให้หลิวจี้กลับเข้าเรียนได้โดยเร็ว
การศึกษามีกฎเกณฑ์ของมัน ไม่ใช่เพียงแค่วางหนังสือไว้ตรงหน้าแล้วอ่านสะเปะสะปะไปเรื่อย
พวกเขาเริ่มต้นช้ากว่าผู้อื่นแล้ว ไม่อาจเดินตามขั้นตอนเหมือนเด็กที่เรียนมาตั้งแต่แรกได้
ตามแผนของฉินเหยา ในเดือนสามของปีหน้า หลิวจี้ต้องเข้าสอบเซี่ยนซื่อ
การเข้าสอบเซี่ยนซื่อไม่มีมาตรฐานกำหนดที่แน่นอน แต่เนื้อหาการสอบทุกปีล้วนยึดหลักสี่ตำราห้าคัมภีร์
ดังนั้น การสอบเซี่ยนซื่อจึงเปรียบเสมือนการทดสอบพื้นฐานของสิ่งที่ศึกษา หากสอบผ่านก็จะได้รับตั๋วเข้าสู่การสอบเคอจวี่
ส่วนเรื่องหลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกที สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือคัดลอกตำราเรียนให้เสร็จเสียก่อน
สำนักศึกษามีตำราเรียนอยู่ก็จริง แต่ไม่ได้แจกให้ศิษย์ทุกคน หากต้องการนำกลับไปอ่านที่บ้าน ต้องซื้อเองหรือไปคัดลอกจากหอหนังสือ
หากต้องการเรียนให้เหนือกว่าผู้อื่น เวลานอกห้องเรียนคือสิ่งสำคัญ ดังนั้นการมีตำราเป็นของตนเองจึงขาดไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยสถานการณ์ของหลิวจี้ นางต้องให้การสอนเป็นพิเศษแก่เขา ไม่เช่นนั้นแล้ว เขาจะแข่งขันกับเหล่านักศึกษาที่ร่ำเรียนมาหลายปีได้อย่างไร?
เมื่อตัดสินใจแล้ว ฉินเหยาก็ลงมือทันที นางจัดสรรงานใหม่ให้ทุกคนในบ้านอีกครั้ง
ตั้งแต่นี้ไป เสื้อผ้าของใคร คนนั้นต้องซักเอง ซานหลางกับซื่อเหนียงยังเด็กเกินไป ให้หลิวจี้ซักแทน
หลิวจี้ที่กำลังตัดกระดาษเพื่อเตรียมคัดลอกหนังสือเอ่ยอย่างไม่ยอมว่า “ทำไมไม่ให้เมียจ๋าซักแทนล่ะ”
ฉินเหยาหมุนข้อมือ เสียงกระดูกลั่นกร๊อบแกร๊บ “ไม่มีทำไมทั้งนั้น! ไม่พอใจก็ตายไปเสีย!”
หลิวจี้โกรธแต่ไม่กล้าเอ่ยปาก ในใจร้องโหยหวนราวกับมีเขาตัวน้อยแหงนหน้าตะโกนลั่น ยังมีความยุติธรรมหลงเหลืออยู่หรือไม่!
ฉินเหยาเห็นเขาตัดกระดาษเบี้ยวก็เตะเขาไปหนึ่งที “ระวังหน่อย กระดาษมันไม่ต้องเสียเงินหรือไง”
หลิวจี้กัดริมฝีปาก น้ำตาคลอ มือที่เคลื่อนไหวช้าลงไปมาก แต่ก็ระมัดระวังขึ้นและไม่ตัดเบี้ยวอีกเลยสักแผ่น
ฉินเหยาถึงกับหมดคำพูด คนผู้นี้วันไหนไม่ถูกตีคงจะคันไปทั้งตัว ดูสิ ที่แท้ก็ทำได้ดีอยู่แล้วนี่!
“แค่กๆ” นางกระแอมเล็กน้อย ก่อนจะจัดแจงงานให้ทุกคนต่อ
ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบงานบ้านของตัวเองแล้ว เหลือเพียงโรงโม่น้ำกับให้อาหารไก่
ฉินเหยาจัดให้พี่น้องทั้งสี่คนทำงานเป็นคู่ โดยให้พี่ดูแลน้อง ทุกเย็นไปยกกล่องเงินจากโรงโม่ หากกังหันน้ำมีปัญหา นางจะเป็นผู้ซ่อมเอง
ส่วนล้างจานกับให้อาหารไก่ก็เป็นพี่ดูแลน้องเช่นกัน สองคนหนึ่งกลุ่ม ผลัดกันทำสัปดาห์ละคน หมุนเวียนกันไป
ส่วนนาง จะรับผิดชอบแปลงผักสองแปลงหน้าบ้าน แปลงผักใหม่หลังเรือนและงานในนา
ตอนนี้งานในนาก็เบาขึ้นมาก ข้าวกำลังเข้าสู่ระยะเติบโตคงที่ ขอเพียงรักษาระดับน้ำให้ดีก็พอ
อีกทั้งผืนนาของพวกเขาเดิมก็ติดแม่น้ำ การใช้น้ำสะดวกกว่าบ้านอื่นๆ ขอแค่แวะไปดูทุกวัน กำจัดวัชพืชและคอยระวังพวกแมลงศัตรูพืชก็เพียงพอ
ทุกอย่างถูกจัดสรรลงตัว ครอบครัวทั้งหกคนล้วนแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน
ทุกเช้า หลังฝึกฝนร่างกายเสร็จ ฉินเหยาจะไปดูนา เมื่อตรวจสอบเสร็จกลับมาถึงบ้าน หลิวจี้ก็ทำอาหารเช้าเสร็จพอดี
ทั้งหกคนร่วมรับประทานอาหารกันจนอิ่มหนำ จากนั้นต้าหลางก็พาซื่อเหนียงเก็บจานชามไปใส่ในอ่างไม้ใหญ่ รอให้มื้อเย็นผ่านไปก่อนค่อยล้างทีเดียว
หลิวจี้เก็บกวาดโต๊ะให้เรียบร้อยก่อนเริ่มคัดลอกหนังสือ
ลายมือของเขาก็ไม่น่าดูนัก ทว่าอย่างน้อยก็ดีกว่าฉินเหยาเล็กน้อย สามารถเขียนอักษรตัวเล็กได้
ตอนแรกฉินเหยาคิดจะช่วยคัดลอกไปพร้อมกัน จะได้เสร็จเร็วขึ้น
แต่น่าเสียดาย นางไม่อาจเขียนอักษรตัวเล็กได้ดีจึงต้องล้มเลิกความคิด
นางหันไปตัดกระดาษแทน พอตัดเสร็จก็ไปดูแลแปลงผัก เด็ดผักสำหรับมื้อเย็น ล้างให้เรียบร้อยแล้ววางไว้บนเตา เพื่อให้หลิวจี้นำลงหม้อได้ทันที
เนื่องจากพ่อครัวกำลังยุ่งกับการคัดลอกหนังสือ มื้อกลางวันจึงต้องง่ายๆ ใช้กับข้าวเหลือจากมื้อเช้าต้มข้าวต้มหรือทำบะหมี่กิน
ช่วงกลางวันพักหนึ่งชั่วโมง เติมพลังให้เต็มที่แล้วค่อยลุยงานต่อในช่วงบ่าย
ช่วงเวลานี้ ฉินเหยากับเด็กทั้งสี่ค่อนข้างว่าง นางจึงหยิบตำราภาพปูพื้นฐานขึ้นมาสอนบทเรียนพื้นฐานให้กับพวกเด็กๆ
ตั้งแต่รู้ว่าตนมีโอกาสเข้าเรียนที่สำนักศึกษา พี่น้องทั้งสี่ก็ดูจริงจังกับการเรียนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
วันประชุมครอบครัว พวกเขาได้ยินฉินเหยากล่าวถึงการสอบเคอจวี่จึงเพิ่งเข้าใจว่าการศึกษามีประโยชน์มากมายขนาดนี้ การรู้เหตุผลและคำนวณบัญชีเป็น เป็นเพียงข้อดีเล็กน้อยเท่านั้น
ที่แท้หากเรียนหนังสือก็สามารถเข้าสอบเข้ารับราชการได้ หากสอบผ่านเป็นซิ่วไฉ จะไม่ต้องเสียภาษี และได้รับการยกเว้นแรงงานบังคับ
หากสอบได้เป็นนายท่านจวี่เหรินก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ญาติพี่น้องก็จะได้รับอานิสงส์ไปด้วย ทั้งยังมีคนมอบเงินทองที่ดินให้ ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่ สามารถสวมแพรไหมและเครื่องประดับเงินได้
หากสามารถสอบเป็นจิ้นซื่อได้ก็จะได้เป็นขุนนาง ตั้งแต่นั้นไปจะไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาอีก แต่เป็นบัณฑิต
เป็นชนชั้นสูงสุดในลำดับบัณฑิต ชาวนา ช่าง และพ่อค้า
แม่เลี้ยงของพวกเขายังกล่าวอีกว่า ไม่ว่าจะสามารถเป็นชนชั้นสูงสุดได้หรือไม่ อย่างแรกต้องตั้งใจศึกษาให้ดีเสียก่อน เพราะนั่นเป็นโอกาสเดียวของสามัญชนในการเปลี่ยนโชคชะตา
เอ้อร์หลางเป็นคนที่รู้จักคำนวณเพื่อประโยชน์ของตนเองมากที่สุดในบรรดาพี่น้องสี่คน เมื่อพบว่าเรื่องนี้มีแต่ข้อดีโดยไม่มีข้อเสียแม้แต่น้อย แม้เขาจะไม่ชอบท่องหนังสือก็ยังบังคับตัวเองให้ท่องล่วงหน้า
ไม่นานฉินเหยาก็พบว่า เอ้อร์หลางมีแววเป็นเจ้าแห่งการแย่งชิงสูงมาก มากเสียจนทำให้บิดาของเขาเริ่มกังวลว่าตนเองอาจถูกลูกชายแซงหน้าเข้าให้!