หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - บทที่ 104 สร้างโรงงาน
ตอนที่ 104 สร้างโรงงาน
พอหลิวจี้ซักผ้าเสร็จแล้วกลับมาถึงบ้านได้ยินว่ามีคนมาสั่งจองกังหันน้ำกับโม่หิน เขาก็ดูตื่นเต้นยิ่งกว่าฉินเหยาเสียอีก
“กังหันน้ำชุดเล็กหนึ่งชุดสามตำลึง เจ้ากับช่างไม้หลิวแบ่งกันก็คงได้กำไรกันคนละครึ่งสินะ”
“ครึ่งหนึ่งก็คือหนึ่งตำลึงห้าเฉียน ถ้าหารสองอีกทีก็จะได้คนละเจ็ดเฉียนห้าสิบเหวิน เช่นนั้นหากทำทั้งหมดสามชุดก็…สองตำลึงสองเฉียนกว่า!”
หลิวจี้ตื่นเต้นจนสะบัดเสื้อผ้าที่เพิ่งซักเสร็จไปพาดไว้บนราวไม้ไผ่ “เมียจ๋า บ้านเรากำลังจะรวยแล้ว!”
“ไม่เช่นนั้นให้ข้าอยู่บ้านช่วยเจ้าทำงานดีกว่าไหม อย่างไรพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ของเจ้าก็คือของข้า ของข้าก็คือของเจ้า เจ้าจ่ายให้ข้าสักสองสามตำลึงต่อเดือนก็พอ ข้าไม่เรียกร้องมาก…โอ๊ย!”
จู่ๆ หลังศีรษะของหลิวจี้ก็หนักอึ้ง เขาส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บ เมื่อหันกลับไปดูก็เห็นฉินเหยาถือไม้ทุบผ้าไว้ในมือ
“ตากผ้าของเจ้าไป เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่พ่อศรีเรือนอย่างเจ้าต้องมาคิด!”
หลิวจี้ลูบหลังศีรษะที่ปวดตุบๆ คงจะบวมขึ้นมาแล้ว เขาถามอย่างงุนงง “เมียจ๋า อะไรคือพ่อศรีเรือนหรือ”
นางมักจะพูดคำแปลกๆ ออกมาเสมอ คนแถบเหนือเขาพูดกันเช่นนี้หมดเลยหรือ
ฉินเหยาตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ก็เป็นเช่นเจ้าตอนนี้อย่างไรเล่า คิดเอาเองแล้วกัน”
พูดจบนางก็โยนไม้ทุบผ้าทิ้งแล้วก้าวเท้ายาวๆ ออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปยังบ้านของช่างไม้หลิว
ฉินเหยาบอกเรื่องของเถ้าแก่อู่ให้ฟัง ช่างไม้หลิวก็ดูตื่นเต้นไม่น้อย แต่ก็คิดไปถึงอนาคตที่อาจมีลูกค้าเพิ่มขึ้น “เราต้องกำหนดราคาชัดเจน จะได้ไม่ต้องตั้งราคาตามสถานการณ์ทุกครั้ง”
ฉินเหยาเองก็คิดเช่นเดียวกัน นางหยิบพู่กันของช่างไม้หลิวขึ้นมา จุ่มหมึกแล้วเขียนลงบนแผ่นไม้ที่ไม่ได้ใช้
กังหันน้ำชุดเล็กราคาสามตำลึง กังหันน้ำชุดกลางราคาห้าตำลึงแปดเฉียน กังหันน้ำชุดใหญ่ราคาเริ่มต้นที่สิบห้าตำลึง รายละเอียดเพิ่มเติม คำนวณตามความเหมาะสม
หากเตรียมหินโม่มาเอง ลดราคาลงที่แผ่นละแปดเฉียน
หมายเหตุ: ภายในอำเภอไคหยาง รวมค่าขนส่งและติดตั้ง
“ท่านคิดว่าราคานี้เป็นอย่างไร”
ฉินเหยาส่งแผ่นไม้ให้ช่างไม้หลิว เขานับนิ้วคำนวณอยู่หลายรอบก่อนจะพยักหน้า “ดีเลย!”
แต่หากทำไปเรื่อยๆ แล้วพวกเขาสองคนจะแบ่งกำไรกันอย่างไรดี?
ระหว่างทางที่เดินมา ฉินเหยาคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว หากจะร่วมมือกัน แต่แบ่งเงินกันไม่ลงตัวก็คงทำไปได้ไม่นาน
ฉินเหยาพูดขึ้น “จากนี้ไป ให้ถือว่าพวกเราร่วมกันเปิดโรงงานผลิตโรงโม่น้ำเลยแล้วกัน ตอนนี้แบ่งออกเป็นสามฝ่ายก่อนชั่วคราว”
“หนึ่งคือฝ่ายกังหันน้ำ สองคือฝ่ายโม่หินและสามคือฝ่ายดูแลลูกค้า ติดตั้ง และบริการหลังการขาย”
“ท่านรับผิดชอบฝ่ายแรก ข้ารับผิดชอบสองฝ่ายหลัง ตอนนี้พวกเราทั้งสองออกเงินกันคนละสามตำลึงเข้าบัญชีกลาง ใช้สำหรับซื้อวัสดุ หลังจากได้เงินจากลูกค้าก็นำไปเติมในบัญชีกลาง ทุกสิ้นเดือนวันที่สามสิบจะคำนวณบัญชี สรุปรายรับรายจ่าย หักค่าใช้จ่ายแล้ว พวกเรากำไรแบ่งกันคนละครึ่ง”
ช่างไม้หลิวฟังแล้วก็อุทานออกมาว่ายอดเยี่ยมจริงๆ!
“แต่ข้าไม่ถนัดเรื่องคำนวณเลย งานบัญชีให้ฉินเหนียงจื่อจัดการดีกว่า” ช่างไม้หลิวหัวเราะแห้งๆ
ปกติให้คำนวณเงินเล็กๆ น้อยๆ ยังพอไหว แต่หากทำตามที่ฉินเหยาพูด มันจะซับซ้อนเกินไปสำหรับเขา
ฉินเหยาพยักหน้า “ตราบใดที่ท่านไว้ใจข้า ข้าก็ไม่มีปัญหา”
ช่างไม้หลิวรีบตอบ “แน่นอนว่าข้าเชื่อใจเจ้าอยู่แล้ว! หากไม่ใช่เพราะฉินเหนียงจื่อ ร้านผลิตของพวกเราคงเกิดขึ้นไม่ได้ ข้าแค่ช่างไม้ตัวเล็กๆ จะไปคิดถึงเรื่องเอากังหันน้ำมาทำเป็นการค้าขายได้อย่างไรกัน!”
ฉินเหยากล่าวอย่างจริงจัง “หากไม่มีช่างไม้ฝีมือดีอย่างท่าน ข้าก็คงทำอะไรเหล่านี้ไม่ได้เหมือนกัน พวกเราถือว่าเกื้อกูลกัน”
“เช่นนั้น ข้าจะร่างสัญญาขึ้นหนึ่งฉบับแล้วให้หัวหน้าตระกูล ผู้ใหญ่บ้านและหลิวต้าฝู พวกเขาสามคนมาเป็นพยาน จะได้มีหลักฐานอ้างอิงในอนาคต”
“ได้ๆๆ ตกลง” ช่างไม้หลิวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกทึ่ง “ฉินเหนียงจื่อ หากเจ้าเกิดเป็นบุรุษ คงไม่ธรรมดาแน่”
“ทำไม พอข้าเป็นสตรีจึงด้อยกว่าหรือ” ฉินเหยาหยอกกลับ
ช่างไม้หลิวรีบโบกมือ “ไม่ๆ ข้าหมายถึงตอนนี้เจ้าก็เก่งมากอยู่แล้ว!”
ฉินเหยาหัวเราะเบาๆ รู้สึกพอใจ นางหยิบกระดาษและพู่กันมาแล้วร่าง ‘สัญญาหุ้นส่วน’ ฉบับคร่าวๆ ก่อนจะอ่านให้ช่างไม้หลิวฟัง เมื่ออีกฝ่ายเห็นด้วย นางจึงเขียนฉบับจริงสองชุด จากนั้นให้ลูกชายของช่างไม้หลิวไปเชิญพยาน ส่วนตัวนางก็อยู่กินมื้อเย็นที่บ้านช่างไม้หลิว
ผู้ใหญ่บ้านตกใจไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าฉินเหยากับช่างไม้หลิวที่ทำเพียงกังหันน้ำกับโม่หิน แต่กลับจัดการทุกอย่างเป็นทางการถึงเพียงนี้ หากไม่รู้มาก่อนคงคิดว่าทั้งสองทำการค้าใหญ่โตอยู่
ฉินเหยากล่าวอย่างจริงจัง “ผู้ใหญ่บ้าน กังหันน้ำกับโม่หินเป็นเรื่องเล็กก็จริง แต่หากไปได้ดี สำหรับหมู่บ้านตระกูลหลิวของพวกเราแล้ว มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว”
“โอ้?” ผู้ใหญ่บ้านถามอย่างสนใจ “หมายความว่าอย่างไร”
ฉินเหยาอธิบาย “หมู่บ้านของพวกเรามีภูเขาหิน ในป่าก็มีไม้ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้คือวัตถุดิบหลักในการสร้างโรงโม่น้ำ หากมีคนมาสั่งของกับพวกข้า ข้ากับช่างไม้หลิวก็ต้องซื้อวัตถุดิบเหล่านี้ใช่หรือไม่”
“พอเป็นเช่นนี้ ไม้ที่ชาวบ้านขายไม่ออกหรือเคยขายได้ราคาถูกก็จะสามารถทำกำไรได้”
“ส่วนภูเขาหิน แม้ว่าทุกคนจะสามารถใช้ได้ไม่เสียเงิน แต่หากนำมาสร้างโม่หินขาย พวกข้าจะจ่ายค่าหินให้หมู่บ้านแผ่นละยี่สิบเหวิน สิบแผ่นก็สองร้อยเหวิน ร้อยแผ่นก็ตั้งสองตำลึง!”
“หากได้เงินก้อนนี้ หมู่บ้านของพวกเราก็สามารถซ่อมแซมถนนได้ ใช่หรือไม่”
“พอถนนดีขึ้น การสัญจรสะดวกขึ้น เด็กๆ ในหมู่บ้านจะออกไปข้างนอกก็ง่ายขึ้น ใช่หรือไม่”
“และยังมีอีกมาก หากมีคำสั่งซื้อมากขึ้น ข้ากับช่างไม้หลิวทำกันแค่สองคนไม่ไหวแน่ เช่นนั้นก็ต้องจ้างแรงงานจากในหมู่บ้านมาช่วย เช่นนี้ชาวบ้านก็มีรายได้เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องออกไปหางานไกลๆ ใช่หรือไม่”
ยิ่งฟัง ผู้ใหญ่บ้านกับหัวหน้าตระกูลก็ยิ่งตกตะลึง สิ่งที่ฉินเหยาพูดมานั้น พวกเขาไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลย!
หากทุกอย่างเป็นเช่นที่นางพูดจริงๆ แล้วล่ะก็… ผู้ใหญ่บ้านกับหัวหน้าตระกูลสบตากันอย่างตื่นเต้น หนวดเคราบนใบหน้าสั่นระริกด้วยความดีใจ
หลิวต้าฝูที่มักออกไปทำธุระนอกหมู่บ้านสามารถจินตนาการถึงภาพที่ฉินเหยาพูดได้อย่างชัดเจน
เขาเป็นหนึ่งในชาวบ้านตระกูลหลิว หากถนนในหมู่บ้านได้รับการซ่อมแซมดีขึ้น การเดินทางเข้าเมืองเพื่อขายธัญพืชย่อมสะดวกกว่าที่เป็นอยู่แน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาจึงเอ่ยขึ้นทันที:
“ฉินเหนียงจื่อ หากวันหน้าเจ้าต้องใช้เกวียนวัวหรืออะไรทำนองนี้ก็บอกข้าได้เลยนะ”
ฉินเหยาพยักหน้าขอบคุณเขา จากนั้นกล่าวต่อ “หากต้องการพัฒนาเศรษฐกิจของพื้นที่ให้ดีขึ้น จำเป็นต้องสร้างอุตสาหกรรมหลักที่ยั่งยืน มีเพียงเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถควบคุมเศรษฐกิจให้มั่นคง ขยายตัวให้เติบโต กำจัดความยากจนและทำให้ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น…”
หยุดๆ!
ฉินเหยาสะดุ้งตื่นจากความคิดของตนเอง นี่มันไม่ใช่เวทีสอบเข้ารับราชการนะ หากพูดไปมากกว่านี้ นางอาจจะอธิบายไม่ถูกแล้ว
ถึงกระนั้น คำพูดเพียงครึ่งเดียวของนางก็เพียงพอให้ผู้ใหญ่บ้าน หัวหน้าตระกูล และหลิวต้าฝูต้องขบคิดกันไปอีกหลายคืน
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่ามันยอดเยี่ยม พวกเขาไม่เคยเจอใครที่สามารถสรุปหลักการเหล่านี้ออกมาได้อย่างชาญฉลาดขนาดนี้
เมื่อฉินเหยากลับถึงบ้านก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว ห้าคนพ่อลูกต่างหลับสนิทกันหมด
นางนั่งลงข้างหน้าต่าง หยิบสัญญาหุ้นส่วนออกจากอกเสื้อกางอ่านอยู่สามรอบ ก่อนจะพับเก็บใส่ลิ้นชักอย่างระมัดระวัง
นางถึงขั้นเปิดโรงงานผลิตในยุคโบราณเสียแล้ว ช่างรู้สึกแปลกใหม่จริงๆ
อืม… ต้องตั้งชื่อโรงงานหน่อยดีไหม เช่นนั้นเรียกว่า ‘โรงโม่น้ำหมู่บ้านตระกูลหลิว’ แล้วกัน
แม้ว่าจะฟังดูธรรมดาไปหน่อย แต่ก็บ่งบอกถึงสถานที่ได้ดี แถมยังช่วยโฆษณาหมู่บ้านตระกูลหลิวไปในตัว
พรุ่งนี้นางจะบอกให้ช่างไม้หลิวแกะสลักคำว่าโรงโม่น้ำหมู่บ้านตระกูลหลิวลงบนกังหันน้ำ
ส่วนบนโม่หิน นางก็จะสลักคำนี้ไว้เช่นกัน ใช้มันเป็นเครื่องหมายการค้าของหมู่บ้านตระกูลหลิว!