หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - บทที่ 104 หลันเสวียน
บทที่ 104 หลันเสวียน
บทที่ 104 หลันเสวียน
ภายในห้องนอนอันมืดมิดเพราะดวงไฟไม่ได้ถูกเปิด ดวงตาของพวกเขาสอดประสานกัน โจวอี้สามารถมองเห็นความเย็นชาและความคับข้องใจที่ซ่อนอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย
“ผมเสียใจ…”
“นั่นคือคำอธิบายของคุณงั้นเหรอ?”
“เธอให้กำเนิดลูกสาวของผม ลูกสาวผมชื่อเหมียวเหมี่ยว ปีนี้อายุสี่ขวบครึ่ง น่ารักมาก ๆ”
“ลูกของใคร?”
“ของผม!”
“แล้ว?”
“ผมต้องรับผิดชอบ”
โจวอี้มองดูใบหน้าของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนเป็นซีดขาว หัวใจอันหนักอึ้งเต็มไปด้วยคำขอโทษและความรู้สึกผิด
ชายหนุ่มเกลี้ยกล่อมดอกไม้งามที่อยู่ตรงหน้านี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน หากไม่ใช่ด้วยเหตุผลพิเศษ ทั้งสองคนอาจจะสร้างครอบครัวไปแล้วก็ได้
“คุณต้องรับผิดชอบ…เพราะเรื่องลูกใช่ไหม?” ผู้หญิงในชุดกระโปรงแดงกัดฟันกรอด ดวงตาของเธอที่ดูเหมือนจะมีไฟลุกโชนจับจ้องไปที่โจวอี้
“ใช่” ชายหนุ่มตอบกลับอย่างกล้าหาญ
อารมณ์ของหญิงสาวชุดแดงยังคงคุกรุ่น
ทันใดนั้น เธอก็ดึงตัวโจวอี้ขึ้นมา และใบมีดที่บางราวกับปีกของจั๊กจั่นก็บินผ่านนิ้วของเธอ ส่งผลให้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที เสื้อผ้าของโจวอี้ก็หลุดเป็นชิ้น ๆ จนกลายเป็นเศษผ้าปลิวว่อน
หญิงสาวตรงหน้านี้งดงามจนคนมองแทบหยุดหายใจ ผมยาวสลวยเรียบตรงขับเน้นผิวพรรณขาวเนียน เธอปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเธอออกก่อนจะผลักโจวอี้ลงไปที่เตียงอย่างป่าเถื่อน
หลังจากนั้น บทสนทนาในห้องก็หยุดลง หลงเหลือเพียงเสียงครวญครางและเสียงหอบหายใจเท่านั้น
ร่างกายของโจวอี้สั่นสะท้าน เขาทั้งเจ็บปวด สุขสม เปี่ยมไปด้วยอารมณ์รุ่มร้อน อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความรู้สึกผิด
“จะไม่กลับไปจริง ๆ งั้นเหรอ?” หลังจากที่ผ่านไปไม่รู้ต่อกี่รอบ เสียงอันแผ่วเบาของหญิงสาวก็ถามขึ้น
“อืม…” โจวอี้ตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง เธอลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ
เสียงของฝักบัวดังขึ้นกดดันให้ความหดหู่ใจผุดพรายขึ้นในใจของชายหนุ่ม
โจวอี้จุดบุหรี่โดยหวังว่าควันเหล่านี้จะบรรเทาความวิตกกังวลในใจของเขาลงไปบ้าง
หลังจากนั้นไม่นาน หญิงสาวในชุดกระโปรงสีแดงก็เดินออกมาจากห้องน้ำ เธอแต่งกายในสภาพเรียบร้อย ผมสีดำยาวอันเปียกชื้นปรกอยู่บนเสื้อคลุม ใบหน้าสะสวยยังคงแดงเรื่อ ก่อนที่เธอจะเดินออกไปด้านนอกโดยไม่แม้แต่จะหันมองโจวอี้
“หลันเสวียน…” โจวอี้ส่งเสียงเรียกขึ้น
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีแดงจึงหยุดเดิน… ทว่าไม่ได้หันกลับมามอง
ชายหนุ่มต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่อาจพูดออกไปได้ และเมื่อมองดูแผ่นหลังของหลันเสวียน หัวใจของเขาก็ยิ่งเจ็บปวด
หลันเสวียนยืนหันหลังให้ชายหนุ่ม หยาดน้ำใสไหลอาบแก้มนวล ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่เนิ่นนาน หญิงสาวเพียงแค่หันหลังให้โจวอี้และค่อย ๆ เผยรอยยิ้มออกมาอย่างฝืดเคือง
รอยยิ้มของเธอราวกับดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา…
น้ำตาของเธอหลั่งริน รอยยิ้มค่อย ๆ บิดเบี้ยว
เธอก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา ก่อนจะหายออกไปจากห้องนอนในพริบตา
ภายในห้องนอนที่ว่างเปล่า โจวอี้สูบบุหรี่ทีละมวน กลิ่นฉุนของควันแผ่ซ่านไปทั่วทุกมุมห้อง แต่ก็ยังไม่สามารถสงบจิตใจที่หดหู่ของเขาได้
หลันเสวียน!
หมู่บ้านเฟิ่งหวง หนึ่งในหมู่บ้านกลางหุบเขาเมิ่งหลาน หลันเสวียนเป็นเทพธิดาแห่งเมิ่งหลานที่ได้รับความเคารพจากชาวภูเขาหลายหมื่นคน
ทั้งสองคนพบกันตอนโจวอี้อายุได้สิบสองปี พวกเขาพบกันทุกสองสามเดือนและทะเลาะกันทุกครั้งที่เจอหน้า
ในช่วงสี่ปีแรก โจวอี้เป็นผู้ชนะเสมอมา
จากนั้นตั้งแต่อายุสิบหกปีเป็นต้นไป ความสำเร็จด้านศิลปะการต่อสู้ของหลันเสวียนก็ได้พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดจนกระทั่งเหนือกว่าโจวอี้ ตั้งแต่นั้นมา โจวอี้ก็ไม่เคยชนะอีกเลย และเขายังถูกทุบตีจนพ่ายแพ้เสมอ
ต่อมาโจวอี้ก็ได้พบกับถังหว่าน และใช้เวลาหลายเดือนด้วยกันในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนจนพวกเขาตกหลุมรักกันและกัน
หลังบอกข่าวกับหลันเสวียน ตอนนั้นทั้งสองก็ไม่ได้เจอกันอีกนานกว่าครึ่งปี
ถังหว่านผ่านเข้ามาในชีวิตของโจวอี้
โจวอี้ตกหลุมรักเธอ
และเมื่อเขาพบหลันเสวียนอีกครั้ง โจวอี้ก็ยังคงเล่าสารทุกข์สุขดิบให้อีกฝ่ายทราบ และทั้งสองก็กลับมาเป็นไม้เบื่อไม้เมากันอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ในช่วงสี่ถึงห้าปีมานี้ หลันเสวียนยอมโอนอ่อนขึ้นมากเมื่อเธอเอาชนะโจวอี้ได้แล้ว
แล้วคืนนี้?
หลันเสวียนประสบความสำเร็จในศิลปะการต่อสู้และก้าวไปสู่ระดับปรมาจารย์
เขาไม่สามารถต่อสู้กลับหรือขัดขืนอีกฝ่ายได้เลย
“เฮ้อ…”
โจวอี้ถอนหายใจในความมืด ก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำแล้วกลับมานอนลงบนเตียง
และคืนนั้นชายหนุ่มนอนไม่หลับไปทั้งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น
โจวอี้ไม่ได้นอนมาทั้งคืนจนไม่มีแรง แต่เขาก็ยังทำอาหารเช้าแสนอร่อยและเกลี้ยกล่อมลูกสาวให้ยอมทานได้เสร็จ ก่อนจะขอให้ถังหว่านส่งเธอไปโรงเรียน
8:30 น.
โจวอี้กำลังจะไปทำงานที่โรงพยาบาล แต่ถังหว่านกลับมาพบเขาโดยไม่คาดคิด
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ…”
“เก็บของเถอะ ฉันจะไปส่งคุณเอง” ถังหว่านกล่าว
โจวอี้เงียบไปครู่หนึ่ง เขาเดินตามถังหว่านออกจากโรงพยาบาลและขึ้นรถเมอร์เซเดสเบนซ์ของเธอไป
ชายหนุ่มมาอยู่ที่จินหลิงได้สักระยะหนึ่งแล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาขึ้นรถคันนี้
ชายหนุ่มนั่งอยู่ข้างถังหว่านพลางเหลือบมองสีหน้าเย็นชาของเธอ และอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องของหลันเสวียนเมื่อคืนนี้
“คุณบาดเจ็บ เป็นอะไรหรือเปล่า” ถังหว่านหันหน้ามาถาม
“ผม…” โจวอี้แน่ใจว่าใบหน้าของตนไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ชายหนุ่มไม่ได้ซ่อนรอยฟกช้ำที่คอและแขนซึ่งได้มาจากกิจกรรมเมื่อคืนนี้ เขาไม่รู้จะอธิบายกับถังหว่านอย่างไร
“เมื่อคืนนี้หลังจากที่ฉันกลับไป คุณออกไปต่อสู้มาเหรอ?” ถังหว่านถามพลางขมวดคิ้ว
“ไม่ใช่!” โจวอี้ส่ายหัวทันที
“แล้วบาดแผลของคุณ…”
“เมื่อคืนนี้ ปรมาจารย์ด้านศิลปะการต่อสู้คนหนึ่งมาหาผมและขอให้ช่วยฝึกพิเศษกับเธอ ผมแค่ได้รับบาดเจ็บระหว่างการฝึก ไม่ต้องห่วง… มันเป็นแค่แผลเล็กน้อย สองสามวันก็หายแล้ว” โจวอี้ตอบอย่างถ่อมตัว
ถังหว่านได้ยินและรู้สึกว่าโจวอี้ไม่ได้โกหก ในที่สุดเธอก็ยอมพยักหน้า
“หลังจากนี้ คุณต่อสู้ให้น้อยลงหน่อยเถอะ…”
“เข้าใจแล้ว!” โจวอี้ตอบด้วยรอยยิ้ม
ชายหนุ่มใช้เวลาทั้งวันในห้องให้คำปรึกษา คนไข้ที่มาปรึกษาในวันนี้มีน้อยมาก ส่วนแพทย์คนอื่น ๆ นั้นยุ่งอยู่กับงาน โจวอี้พอจะนั่งอู้งานสบาย ๆ ได้บ้าง และพอเลิกงานก็กลับมามีแรงอีกครั้ง
แผนกผู้ป่วยใน
หลังจากสอบถามเจ้าหน้าที่แล้ว โจวอี้ก็ได้พบกับจางเหยาหยา เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ได้รับการรักษาจากเขาเมื่อวานนี้
ใบหน้าของเด็กน้อยนั้นยังคงซีดเซียวอยู่เล็กน้อย เธอนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงโรงพยาบาล ดวงตากลมโตคู่นั้นปราศจากความสดใส ในขณะที่ข้างเตียงนั้นมีหญิงชราผมขาวกำลังถือกล่องอาหารกลางวัน แต่ไม่มีควันสีขาวลอยจากข้าวต้มที่เคยร้อน
โจวอี้วางตะกร้าผลไม้ไว้ข้าง ๆ ก่อนจะพบกับดวงตาที่งงงวยของหญิงชรา เขาจึงทักทายขึ้นว่า “สวัสดีครับคุณยาย ผมเป็นหมอที่โรงพยาบาลนี้ แซ่โจว วันนี้มาเยี่ยมเหยาเหยาครับ”
“สวัสดีคุณหมอโจว ขอบคุณที่มาหาเหยาเหยา เด็กคนนี้… โธ่” ใบหน้าเหี่ยวย่นของหญิงชรามีความเศร้าปรากฏอยู่บ้าง
หญิงชราเล่าเหตุการณ์ให้ชายหนุ่มฟัง ลูกชายและลูกสะใภ้ของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ในขณะที่หลานสาวของเธอได้รับบาดเจ็บและเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลนี้ ความเจ็บปวดนั้นทำให้เธอต้องทนทุกข์ตลอดเวลา
โจวอี้มองกลับไปที่จางเหยาเหยา และพบว่าการมาถึงของเขาไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเธอ แม้แต่สายตาของเธอก็ไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำ
“เหยาเหยา ยังจำฉันได้ไหม” โจวอี้นั่งลงข้างเตียงพลางลูบหน้าจางเหยาเหยาเบา ๆ
ในที่สุดจางเหยาเหยาก็หันมามองโจวอี้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ชายหนุ่มหันไปถามหญิงชราว่า “คุณย่า เธอกินข้าวแล้วรึยัง”
“ไม่ ตั้งแต่ตื่นมา เธอยังไม่ได้กินอะไรเลย ยายอุ่นข้าวต้มให้เธอหลายครั้งแล้ว แต่เธอไม่กินเลย” หญิงชราส่ายหัวอย่างเศร้าสร้อย
โจวอี้ถอนหายใจออกมา
ชายหนุ่มรู้ว่าเด็กคนนี้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และยังต้องเห็นแม่ของเธอเสียชีวิตต่อหน้าต่อตา ซึ่งคงจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อหัวใจของเธอ บางทีอาจมีความเจ็บปวดที่ไม่อาจลบเลือนได้ และอาจจะติดตรึงอยู่ในหัวใจของเด็กน้อยคนนี้ตลอดไป