หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - บทที่ 105 มั่นคงดั่งสุนัขเฒ่า
ตอนที่ 105 มั่นคงดั่งสุนัขเฒ่า
เช้าวันใหม่ฝนตกปรอยๆ ฉินเหยาสวมเสื้อกันฝนใบจากและหมวกฟาง หยิบเอาเครื่องมือไม่กี่ชิ้นกับกระดาษพู่กันหนึ่งชุดติดตัวออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่โดยยังไม่ได้กินข้าว
ระหว่างทางผ่านนาของตัวเอง นางกวาดตามองต้นข้าวในนา เห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติก็เร่งฝีเท้าเดินไปยังเมืองจินสือ
ราวๆ แปดโมงครึ่ง ฉินเหยาก็มาถึงบ้านของเถ้าแก่อู่ในตัวเมือง
ก่อนถึงบ้านเขา นางแวะซื้อแป้งทอดธัญพืชสองชิ้นใหญ่จากตลาดมากินรองท้อง จากนั้นเมื่อมาถึงบ้านเถ้าแก่อู่ ทั้งสองก็ตรงไปยังสถานที่ที่จะสร้างโรงโม่น้ำทันที
ทั้งอำเภอไคหยาง กว่าครึ่งของหมู่บ้านและตำบลตั้งอยู่ริมแม่น้ำ แม่น้ำสายนี้มาจากแหล่งน้ำเดียวกัน แต่ด้วยภูมิประเทศที่แตกต่างกันทำให้เกิดรูปแบบกระแสน้ำที่หลากหลาย
ทางน้ำช่วงที่ไหลผ่านเมืองจินสือจะกว้างและลึกกว่าตรงหมู่บ้านเซี่ยเหอหน่อย แต่กระแสน้ำค่อนข้างสงบกว่า
ใกล้ๆ บนภูเขายังมีลำธารและน้ำตกเล็กๆ ทำให้มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์
เถ้าแก่อู่เลือกทำเลบริเวณแม่น้ำที่ไหลผ่านถนนหลวงซึ่งมุ่งหน้าไปยังตัวอำเภอ ที่นี่มีสะพานหินหนึ่งแห่ง แม่น้ำอยู่ต่ำกว่าสะพานราวสองเมตร เขาวางแผนจะสร้างโรงโม่ตรงแนวหาดริมแม่น้ำใต้สะพาน ซึ่งค่อนข้างราบเรียบ
ฉินเหยาดูแล้ว คิดว่าทำเลนี้ไม่ค่อยเหมาะ แม้ว่าจะเดินทางสะดวก แต่หากน้ำหลากขึ้นมา กังหันน้ำคงถูกน้ำท่วมแน่
ยิ่งไปกว่านั้น พื้นดินตรงริมหาดแม่น้ำยังอ่อนตัวมาก หากสร้างโรงโม่ตรงนั้นอาจเกิดการทรุดตัวได้
ปัจจัยทางภูมิประเทศเหล่านี้ เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ฉินเหยาไม่กังวลว่าคนอื่นจะลอกเลียนแบบทักษะกังหันน้ำของนางไปได้ง่ายๆ
ยุคนี้เป็นเพียงยุคศักดินาโบราณที่เกษตรกรรมยังล้าหลัง ไม่ใช่ประเทศอุตสาหกรรมที่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ แม่น้ำยังคงเป็นธรรมชาติดั้งเดิม ไม่ใช่แค่วางกังหันน้ำลงไปแล้วจะใช้งานได้เลย
แต่การค้านี้อย่างไรฉินเหยาก็ต้องทำให้สำเร็จ เมื่อนางอธิบายให้เถ้าแก่อู่ฟังจนเขาเห็นด้วย ทั้งสองจึงเดินหาทำเลใหม่จนได้ข้อสรุปว่าจะสร้างโรงโม่น้ำห่างจากถนนหลวงในระยะร้อยเมตร
จุดนี้แม่น้ำแคบลง กระแสน้ำเชี่ยวกราก และที่สำคัญคือสองฝั่งมีแนวหินธรรมชาติช่วยเป็นเขื่อนกันน้ำ ทำให้มีเสถียรภาพมากกว่า
ปัญหาเดียวที่ต้องแก้คือเถ้าแก่อู่ต้องขยายถนนให้กว้างขึ้น เพื่อให้เกวียนและม้าสามารถเข้าไปได้สะดวก
แต่ระยะทางเพียงร้อยกว่าถึงสองร้อยเมตรเท่านั้น ใช้เงินไม่มาก
เถ้าแก่อู่ไม่อยากเสียโอกาสทำการค้านี้ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตกลงสั่งกังหันน้ำขนาดเล็กสามชุด
“ข้าจะเก็บเงินมัดจำหนึ่งในสามก่อน ข้าจะออกใบรับเงินให้ท่าน เมื่อติดตั้งเสร็จ ทดลองใช้แล้วไม่มีปัญหาค่อยชำระส่วนที่เหลือ”
ฉินเหยาหยิบกระดาษกับพู่กันออกมา ก่อนจะเงยหน้ามองเถ้าแก่อู่
เถ้าแก่อู่พยักหน้า นางจึงเขียนใบรับเงินมัดจำแบบง่ายๆ จากนั้นทั้งสองก็ประทับรอยนิ้วมือ
ใบเสร็จธรรมดาแบบนี้แม้ไม่มีผลทางกฎหมาย แต่เมื่อใช้ระหว่างกลุ่มตระกูลใหญ่ก็ถือว่าเป็นหลักฐานผูกมัดที่ใช้ได้
ชาวบ้านทั่วไปไม่อยากไปขึ้นโรงขึ้นศาล การทำสัญญาและใบเสร็จในลักษณะนี้ถือเป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายไม่มีปัญหาก็ถือว่าใช้ได้
เมื่อมอบใบรับเงินให้เถ้าแก่อู่แล้ว ฉินเหยาก็ถามขึ้นว่า “คิดจะติดตั้งเมื่อไรหรือ”
“ภายในสิบวันแล้วกัน” เถ้าแก่อู่ตอบ แต่ก็อดกังวลไม่ได้ “พวกเจ้าจะทำทันหรือไม่”
ฉินเหยาเอ่ย “กำหนดเวลานี้ไม่มีปัญหา ที่สำคัญคือท่านต้องเตรียมสถานที่ให้เรียบร้อยก่อน”
เถ้าแก่อู่ตบอกรับรองว่าเขาจะจัดการปรับพื้นที่ให้เรียบร้อยภายในสี่ถึงห้าวัน
ส่วนเรื่องความสัมพันธ์กับชุมชน เขาก็คิดมาแล้วเพราะบริเวณที่ใช้เป็นแม่น้ำสาธารณะของตัวเมือง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา เขาจะให้ส่วนลดแก่ชาวบ้านในเมืองเยอะหน่อย เพื่อให้พวกเขาไม่ติดใจเรื่องพื้นที่ ส่วนฉินเหยาแค่ทำของให้เสร็จและมาติดตั้งตามกำหนดก็พอ
เมื่อทุกอย่างตกลงกันเรียบร้อย ฉินเหยาจึงวางใจและเดินทางกลับ
ตอนเที่ยงนางกลับถึงหมู่บ้านตระกูลหลิว ส่งแบบร่างให้ช่างไม้หลิวดูก่อนแล้วจึงกลับบ้านกินข้าว
หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ พักได้แค่ครู่เดียวก็หอบเครื่องมือออกไปเก็บหินทันที
โม่หินเล็กสามตัว นางสามารถทำเองทั้งหมดได้ แต่ตอนนี้ฉินเหยาไม่อยากโหมงานหนักเกินไปจึงต้องหาคนช่วย
ณ เรือนเก่าของตระกูลหลิว พอเห็นฉินเหยาเดินเข้ามาพร้อมเครื่องมือ ทุกคนก็รู้ทันทีว่านางมาทำอะไร สามพี่น้องหลิวไป่ที่กำลังซ่อมแซมเครื่องมือเกษตรอยู่ไม่พูดอะไรมากความก็ลุกขึ้นแล้วเดินตามนางไปทันที
คราวนี้ พวกฉินเหยาสี่คนเก็บหินมาเพิ่มอีกหลายก้อน เพื่อสำรองไว้ใช้งานในอนาคต
เพิงที่สร้างไว้ครั้งก่อนยังอยู่ พวกเขาขนหินเข้าไปภายในแล้วใช้เวลาสองถึงสามวันขัดแต่งจนได้โม่หินสามแผ่น ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเจ็ดสิบเซนติเมตร
ทางฝั่งช่างไม้หลิวก็ทำงานได้รวดเร็วเช่นกันเพราะเคยบอกให้พ่อตาช่วยตัดไม้สำรองไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว รอบนี้เขาจึงสามารถขนกลับมาใช้งานได้ทันที
กังหันน้ำทำเสร็จแล้ว หลังจากลงสีและผึ่งให้แห้งก็สามารถใช้งานได้นานขึ้น
กังหันน้ำสามชุดมีขนาดเท่ากันเป๊ะ โม่หินก็เช่นกัน ต่างกันเพียงลวดลายหินเล็กน้อย ทั้งสองอย่างนี้ล้วนถูกสลักคำว่าโรงโม่น้ำหมู่บ้านตระกูลหลิวลงไป
ระหว่างที่ผลิตโม่หินให้เถ้าแก่อู่ ซุ่นจื่อนำคนจากหมู่บ้านเซี่ยเหอมาสามรอบและฉินเหยาก็สามารถปิดการขายโรงโม่ขนาดเล็กสำหรับใช้ในครัวเรือนเพิ่มได้อีกสองชุด
ครั้งที่แล้ว หลังจากได้คำสั่งซื้อจากหมู่บ้านเซี่ยเหอ ฉินเหยาให้ค่านายหน้ากับซุ่นจื่อหนึ่งร้อยห้าสิบเหวิน รอบนี้ก็คิดในอัตราเดียวกัน สองคำสั่งซื้อเล็ก คิดเป็นคำสั่งซื้อละสามสิบเหวินรวมแล้วซุ่นจื่อได้หกสิบเหวิน
แม้มีคำสั่งซื้อมากขึ้น แต่งานของฝั่งฉินเหยากลับไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะมีคนช่วยกันสี่คนจึงยังทำงานได้ตามกำหนด
แต่ทางช่างไม้หลิวกลับไม่ไหว ต้องรีบหาคนในหมู่บ้านมาช่วยเพิ่มอีกสองคน เพื่อช่วยทำใบพัดกังหันน้ำ
ตราบใดที่วัดขนาดและคำนวณตัวเลขให้ตรงกัน งานไม้ประเภทนี้ คนที่มีพื้นฐานงานไม้ก็สามารถทำได้
ปลายเดือน มีการส่งมอบโรงโม่ขนาดเล็กไปทั้งหมดห้าชุด เมื่อฉินเหยามอบเงินหนึ่งร้อยเหวินให้กับหัวหน้าตระกูลต่อหน้าชาวบ้านทั้งหมู่บ้านตระกูลหลิว ทุกคนต่างพากันฮือฮาด้วยความตื่นเต้น!
เมื่อได้ยินว่าฉินเหยาประกาศว่า ชาวบ้านในหมู่บ้านสามารถเป็นนายหน้าหาลูกค้าได้ และจะได้รับค่าแนะนำหนึ่งส่วนของราคาสินค้าเมื่อจบการขายสำเร็จ ทุกคนก็เริ่มสนใจ
เหล่าสตรีที่แต่งงานเข้ามาในหมู่บ้านต่างพากันกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมของตนแล้วโฆษณาข้อดีของโรงโม่น้ำให้กับญาติพี่น้อง
เวลามีงานเลี้ยงหรืองานสังคมที่ต้องออกไปข้างนอก พวกนางก็จะพูดถึงโรงโม่อย่างไม่ขาดปาก พร้อมทั้งบอกให้คนที่สนใจแจ้งชื่อของพวกนาง เวลาซื้อจะได้รับส่วนลดพิเศษ
ด้วยวิธีนี้ โรงงานผลิตของฉินเหยาจึงได้รับคำสั่งซื้อขนาดเล็กกลับมาเพิ่มหลายชุด
ค่าแนะนำที่ฉินเหยาจ่ายให้ พวกนางก็มักจะหักไว้ห้าหรือสิบเหวินแล้วนำส่วนที่เหลือคืนให้ญาติที่สั่งซื้อโรงโม่
สภาพของแต่ละครอบครัวในหมู่บ้านก็คล้ายๆ กัน ไม่มีใครร่ำรวยเป็นพิเศษ และไม่ใช่ทุกหมู่บ้านที่มีฐานะดีเท่าหมู่บ้านเซี่ยเหอ ดังนั้นจึงมักมีสามถึงห้าครอบครัวรวมเงินกันซื้อโรงโม่หนึ่งชุด เพื่อช่วยลดต้นทุน ทำให้คุ้มค่ากว่ามาก
จากเรื่องนี้ ฉินเหยาสังเกตเห็นว่าสตรีในหมู่บ้านมีศักยภาพในการเป็นนักขายมากทีเดียว เพราะลูกค้าที่เข้ามาส่วนใหญ่ล้วนเป็นผลมาจากการโฆษณาของพวกนาง
โดยเฉพาะในระบบเศรษฐกิจเกษตรกรรมแบบครัวเรือน สตรีเป็นผู้ดูแลเกือบทุกอย่างภายในบ้าน ยกเว้นเพียงงานหนักอย่างทำนา ตัดไม้หรือฟืน
โรงโม่นี้เป็นสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตของพวกนางสะดวกขึ้นจึงเป็นแรงกระตุ้นให้พวกนางกระจายข่าวสารกันอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม พื้นที่การเดินทางของสตรีค่อนข้างจำกัด การจะขยายตลาดออกไปนอกเมืองจึงเป็นเรื่องยาก จำเป็นต้องพึ่งพาพ่อค้าเร่และพ่อค้าเดินทางที่ออกไปค้าขายนอกพื้นที่
ฉินเหยาไม่ได้หวังสูงเกินไป นางคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล แผนการของนางคือ ช่วงแรกต้องกระจายตลาดในอำเภอให้ได้ ช่วงกลางให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาและช่วงสุดท้ายคือขายอะไหล่เปลี่ยน เพื่อรักษารายได้ให้มั่นคง
ในยุคปัจจุบัน แค่ทำให้สินค้ากระจายออกไปยังตลาดต่างถิ่นก็ยากมากแล้ว นับประสาอะไรกับยุคโบราณที่มีระบบชนชั้นเข้มงวด นางเป็นเพียงเกษตรกรคนหนึ่ง แค่สามารถหาเงินเลี้ยงชีพและช่วยพัฒนาหมู่บ้านได้บ้างก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว
แม้แต่ช่างไม้หลิวเองก็เข้าใจดีว่า หากการค้านี้ไปกระทบกับผลประโยชน์ของขุนนางหรือเศรษฐี พวกเขาก็จะไม่สามารถทำเงินได้อีกเลย
ดังนั้น ในขณะที่ชาวบ้านต่างช่วยกันโฆษณาโรงโม่ด้วยความหวังว่าหมู่บ้านของตนจะร่ำรวยไปด้วย ฉินเหยากับช่างไม้หลิวกลับนั่งลงอย่างใจเย็น คำนวณบัญชีและแบ่งผลกำไรอย่างเป็นระบบ