หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - บทที่ 147 ขายชีวิตของคุณให้ผม
บทที่ 147 ขายชีวิตของคุณให้ผม
บทที่ 147 ขายชีวิตของคุณให้ผม
มันก็ขับไม่ยากนี่นา!
คนธรรมดาจำนวนมากที่ไม่มีใบขับขี่ยังสามารถขับได้อย่างชำนาญและกลายเป็นสิงห์นักขับได้
ความสามารถในการเรียนรู้ของโจวอี้นั้นสูงอยู่แล้ว นอกจากนี้เขายังเคยฝึกฝนในโรงเรียนสอนขับรถมาก่อน ดังนั้นสองชั่วโมงต่อมาเขาจึงสามารถควบคุมรถได้อย่างชำนาญ และเพิ่มความเร็วของรถมาอยู่ที่ 100 แล้ว
เช้าตรู่
โจวอี้และเฉิงฮ่าวกลับมาถึงเมืองจินหลิง
ด้านนอกเซียงจางวิลล่ามีรถออฟโร้ดสีดำจอดอยู่ริมถนน
โจวอี้ยื่นบุหรี่ออกจากกระจกรถ มองชายสี่คนในชุดสูทที่วิ่งเข้ามาหาแล้วถามว่า “คุณจะทำอะไรต่อไป”
“ยังเหลือเวลาอีกเกือบหนึ่งปีจะถึงกำหนดเส้นตาย ระหว่างนี้ผมจะพาครอบครัวไปที่ประเทศ M และใช้เวลาที่เหลือสุดท้ายกับพวกเขา” เฉิงฮ่าวยิ้มอย่างขมขื่น
โจวอี้ครุ่นคิด
เขารู้ว่าเส้นตายคืออะไร
พิษของนิกายดอกบัวขาวนั้นพิเศษ เพราะจะต้องได้รับยายับยั้งทุก ๆ สามปี แต่ตอนนี้เป็นนานกว่าสองปีแล้วที่เฉิงฮ่าวกินยาครั้งสุดท้าย
“ตัดสินใจแล้วจริงเหรอ?” โจวอี้ถาม
“ใช่”เฉิงฮ่าวพยักหน้าอย่างแน่วแน่
“อันที่จริง คุณสามารถเลือกทางอื่นได้” โจวอี้กล่าวอย่างใจเย็น
“ทางเลือกอะไร?”
“ขายชีวิตของคุณให้ผม จนกว่านิกายดอกบัวขาวจะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉิงฮ่าวก็ยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัว ในขณะที่เขากำลังจะพูด ใบหน้าของเขาก็หยุดกะทันหัน ราวกับว่าเขารับรู้อะไรบางอย่าง ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง “คุณสามารถแก้พิษของนิกายดอกบัวขาวได้งั้นเหรอ? สามารถช่วยชีวิตของผมได้?”
“ใช่” โจวอี้พยักหน้าอย่างใจเย็น
สีหน้าของเฉิงฮ่าวดีขึ้นทันตาเห็น
แต่ในขณะเดียวกันหัวใจของเขาก็รู้สึกเจ็บปวด
เขาจะหักหลังโจวอี้ได้อย่างไรถ้าเขารู้ว่าอีกฝ่ายสามารถแก้ปัญหานี้ได้? เรื่องราวมันจะลงเอยแบบนี้ได้อย่างไร?
พี่น้องหลายคนเสียชีวิตไปอย่างอนาถ ตัวเขาเองก็มือด้วนไปข้างหนึ่ง และความสัมพันธ์ของเขากับโจวอี้ก็เปลี่ยนไป
“มันคือโชคชะตา!” เฉิงฮ่าวหัวเราะอย่างขมขื่นพลางมองไปที่ลูกน้องของตัวเองสี่คนซึ่งกำลังวิ่งเข้ามาหา เขาส่ายศีรษะเล็กน้อยก่อนจะถามโจวอี้ว่า “คุณต้องการให้ผมทำอะไร”
โจวอี้มองอีกฝ่ายอย่างพินิจและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “หากคนอื่นในนิกายดอกบัวขาวรู้ถึงการมีอยู่ของผม พวกเขาจะมาที่จินหลิงเพื่อตรวจสอบอย่างแน่นอน และเมื่อพวกเขามาถึง คนแรกที่พวกเขาจะตามหาคือคุณ หากมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น ผมต้องการให้คุณแจ้งผมให้เร็วที่สุด”
“ถ้าไม่อย่างนั้น หลังจากนี้คุณต้องช่วยผมค้นหาข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับนิกายดอกบัวขาว นิกายของพวกเขาอยู่ที่ไหน มีทั้งหมดกี่คน และสมาชิกแต่ละคนมีระดับการฝึกฝนอยู่ระดับไหน”
“จำไว้ว่าข้อมูลยิ่งละเอียดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น”
เฉิงฮ่าวพยักหน้ารับ
เขารู้ว่าการสืบรวบรวมข้อมูลนี้เป็นหนึ่งในงานปกติที่โจวอี้ต้องการให้เขาทำ หากเขาขายชีวิตให้โจวอี้ และเมื่อไหร่ที่นิกายดอกบัวขาวหายไปจากโลกอย่างสมบูรณ์
เวลานั้นเขาถึงจะเกษียณได้
“ตกลง แต่ผมต้องขอส่งภรรยาออกจากประเทศไปก่อนชั่วคราว”
“แล้วแต่คุณ!”
จากนั้นโจวอี้ก็ผลักประตูเปิดออกแล้วเดินหายไปในระยะไกล
เฉิงฮ่าวเองก็ลงจากรถเช่นกัน เขามองตามทิศทางที่โจวอี้เดินจากไป หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หันกลับมามองลูกน้องทั้งสี่คนแล้วพูดว่า “เฉียงจื่อตายแล้วเพราะช่วยฉัน”
“เจ้านาย ทำไมโจว… ยังมีชีวิตอยู่…” ชายร่างใหญ่ถามเสียงเบา
“ถ้าฉันต้องการกำจัดการควบคุมของนิกายดอกบัวขาว ฉันต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากเขา จำไว้ว่าจากวันนี้ไป เขาคือมิตร และไม่ใช่ศัตรูอีกต่อไป หากฉันไม่อยู่ที่นี่ พวกนายต้องเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่างของเขา”
“ครับ!”
ชายทั้งสี่ตอบรับอย่างเร่งรีบ
“เจ้านาย อาการบาดเจ็บของคุณ…”
“ตอนนี้ยังโอเคอยู่ โทรหาหมอเหมิงให้เขามาที่นี่ทันที!” เฉิงฮ่าวพูดเสร็จแล้วก็กลับไปนั่งในรถ
ขณะนี้การจราจรบนถนนไม่ได้ติดขัดมากนัก
โจวอี้เดินคิดไปเรื่อย ๆ และก่อนที่บุหรี่ของเขาจะมอดดับ เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและกดโทรออก
“มีอะไร?” น้ำเสียงขี้เกียจจากปลายสายดังออกจากโทรศัพท์มือถือ
“อาจารย์ คุณรู้ไหมว่าผมเป็นลูกชายของตระกูลโจวที่รอดชีวิตโดยบังเอิญ” โจวอี้ถาม
“หืม? นายรู้แล้ว?”
“ใช่”
“รู้แล้วจะถามทำไมอีกเล่า? บรรพบุรุษของตระกูลโจวของนายหยิ่งผยองกันทุกคน คิดว่าตัวเองไร้เทียมทานซะเต็มประดา ถึงขนาดสร้างลายดาวไว้ที่แขนของสมาชิกตระกูลทุกคน สร้างบ่อเกิดของหายนะ… เฮ้อ ช่างเถอะ ๆ ฉันขี้เกียจพูดไปมากกว่านี้แล้ว”
“อาจารย์ ใครคือฆาตกรตัวจริง”
“อย่าถาม ความแข็งแกร่งของนายในตอนนี้ไม่มีทางแก้แค้นได้ หลังจากทะลวงระดับเป็นปรมาจารย์ค่อยมาถามฉันอีกที!”
“ก่อนหน้านี้มีคนพยายามจะฆ่าผม…” โจวอี้เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงสองวันที่ผ่านมา และสุดท้ายก็เสริมว่า “ผมคิดว่ามันคงจะเป็นนิกายเร้นลับ เพราะนิกายดอกบัวขาวไม่มีความแข็งแกร่งถึงขนาดสามารถทำลายล้างตระกูลโจวทั้งหมดได้ในชั่วข้ามคืน”
“…”
ฉู่เทียนฮุ่ยที่อยู่ในปลายสายเงียบไป
เธอไม่คาดคิดว่าโจวอี้จะตกเป็นเป้าหมายของกองกำลังเหล่านั้นได้รวดเร็วขนาดนี้ นับประสาอะไรกับการค้นหาข้อมูลมากมายในเวลาอันสั้นเช่นนี้
ผ่านไปนาน เธอก็พูดขึ้นว่า “เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว มีกองกำลังสามฝ่ายที่ร่วมกันทำลายตระกูลโจว พวกเขาล้วนเป็นกองกำลังที่อยู่ภายใต้การบัญชาของนิกายเร้นลับ ส่วนเรื่องที่ว่ามีสมาชิกของนิกายเร้นลับร่วมลงมือโดยตรงด้วยหรือไม่นั้น อันนั้นฉันไม่แน่ใจ แต่ฉันต้องเตือนนายว่าอย่าคิดแก้แค้นในตอนนี้ ไม่ต้องพูดถึงนิกายเร้นลับหรอก เอาแค่ไอ้สามกองกำลังนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่สำนักโอสถของเราสามารถทำลายได้”
ใบหน้าของโจวอี้สั่นไหว
ยังมีอีกสองนิกายนอกเหนือจากนิกายเร้นลับและนิกายดอกบัวขาวที่เป็นศัตรูของเขา?
“อาจารย์ นอกจากนิกายดอกบัวขาว อีกสองนิกายคือ…”
“นิกายหมัดเหล็กและหอสัตย์สัญญา”
“อาจารย์พอจะมีข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับสองนิกายนี้ไหม”
“ไม่!”
“…”
โจวอี้ยิ้มอย่างขมขื่น
เขาตระหนักได้ว่าต่อให้อาจารย์ของเขามีข้อมูลของทั้งสองนิกาย แต่เธอก็จะไม่ให้เขารู้ในตอนนี้ เพราะกลัวความประมาทของเขาที่จะพุ่งไปแก้แค้นในเวลานี้
“เสี่ยวอี้ โปรดจำไว้ว่านายไม่ควรคิดเรื่องการแก้แค้นจนกว่าจะทะลวงไปถึงระดับปรมาจารย์ หากตัวตนของนายถูกเปิดเผย นายควรพาครอบครัวทั้งหมดกลับมาที่ภูเขาชางหลางทันทีพร้อมกับตัวนาย ตราบใดที่นายอยู่ในหมู่บ้านโจวเมี่ยว นายจะปลอดภัย แม้จะมีผู้มีอำนาจจำนวนมากจากนิกายเร้นลับปิดล้อมตามล่าก็เถอะ” ฉู่เทียนฮุ่ยพูดจบก็วางสายทันที
โจวอี้วางโทรศัพท์มือถือของเขาลงด้วยสายตาครุ่นคิด
การหลบหนีเป็นทางเลือกสุดท้ายของเขา
ตอนนี้เขาต้องวางแผนให้ดี
“เดี๋ยวนะ”
ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
คำพูดของอาจารย์บ่งบอกให้รู้ว่าหมู่บ้านโจวเมี่ยวนั้นพิเศษมาก หมู่บ้านโจวเมี่ยวมีกำลังมากพอที่จะต่อต้านนิกายที่ทรงพลังได้งั้นเหรอ?
แต่ว่านอกจากตัวเขาและคนหนุ่มสาวเหล่านั้นแล้ว ไม่มีชาวบ้านคนใดในหมู่บ้านโจวเมี่ยวที่เป็นผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้อีกแล้วนี่นา?
มีความลับซ่อนอยู่ในหมู่บ้านโจวเมี่ยวงั้นเหรอ?