หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - บทที่ 192 การลงโทษเล็กน้อย
บทที่ 192 การลงโทษเล็กน้อย
บทที่ 192 การลงโทษเล็กน้อย
โจวอี้เป็นนักล่าที่ยอดเยี่ยม เขาไวต่ออันตรายมาก
ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว เขารู้สึกว่ากำลังถูกใครบางคนจับตามอง และความรู้สึกนี้ก็รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ลานจอดรถ
ชายสามคนเข้ามาขวางโจวอี้และซุนเหมาไฉ
อวี้ชิงเหอเป็นผู้นำ และข้างหลังเขามีชายที่แข็งแกร่งอีกสองคน
“คนแซ่โจว! คุกเข่าลงและยอมรับความผิดของแกกับฉันเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะให้แกพบกับความอัปยศอดสูที่แกต้องทำให้ฉันอับอาย”
รอยฝ่ามือบนใบหน้าของอวี้ชิงเหอจางไปมากแล้ว แต่ความเกลียดชังของเขายังคงเปี่ยมล้น
“โง่จริง ๆ!” โจวอี้พ่นลมหายใจอย่างเย็นชา
“ไอ้สารเลว เป็นคนจากป่าจากภูเขาแท้ ๆ แต่กลับกล้าลองดีกับฉัน! ไปหักขามันให้ฉันเดี๋ยวนี้!” อวี้ชิงเหอชี้นิ้วสั่งและตะโกนใส่โจวอี้ด้วยความโกรธ
ทันใดนั้นชายร่างกำยำสองคนก็รีบพุ่งเข้าหาโจวอี้
หมัดของพวกเขาทรงพลังมากและยังว่องไว มันเกือบจะมาถึงตัวของโจวอี้แล้วด้วยซ้ำ
โจวอี้หรี่ตามอง
ช้ามาก!
กำปั้นที่คนธรรมดามองว่าเร็วมากนั้นดูช้ามากในสายตาของเขา
เขายกแขนขึ้นทันที มือของเขาจับกำปั้นทั้งสองที่กำลังพุ่งเข้ามาชกหน้าเขาได้อย่างแม่นยำ
จากนั้นโจวอี้ไม่รีรอที่จะโคจรพลังปราณมาที่มือของเขาและออกแรงบีบอย่างแรง บดขยี้นิ้วทั้งสิบของอีกฝ่ายจนกระดูกแตกละเอียด ก่อนจะปล่อยมือและยกเท้าขวาขึ้นเตะเสยคางชายร่างกำยำที่อยู่ข้างหน้าทันที
ชายร่างกำยำทั้งสองถูกเตะเสยคาง ๆ อย่างรุนแรงจนร่างลอยออกไปสามหรือสี่เมตรและหล่นลงกระแทกพื้น
อ่อนแอเกินไป!
โจวอี้ประเมินได้ทันทีว่าทั้งสองคนเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านศิลปะการต่อสู้ แต่พวกเขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ ดังนั้นสำหรับคนทั่วไป พวกเขาอาจจะแข็งแกร่งสักหน่อย แต่ในสายตาของโจวอี้ คนเหล่านี้คือไก่อ่อน
อวี้ชิงเหอก้าวถอยหลังไปสองก้าว เหงื่อเริ่มผุดออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
เขาขยี้ตาอย่างแรง
เป็นไปได้ยังไง?
บอดี้การ์ดสองคนนี้อยู่กับเขามาเจ็ดแปดปีแล้ว พวกเขาเล่นงานนักเลงเก่ง ๆ มาแล้วหลายคน
แต่ทำไมคราวนี้กลับถูกโจวอี้ทุบตีโดยที่ไม่สามารถแม้แต่จะแตะชายเสื้อของโจวอี้ได้เลย?
“แก…” อวี้ชิงเหออ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
โจวอี้ค่อย ๆ หยิบเข็มเงินออกมาและมองไปที่อวี้ชิงเหอซึ่งกำลังตื่นตระหนก เขายิ้มออกมาเล็กน้อยและถามว่า “รู้ไหมว่าทักษะที่ผมเชี่ยวชาญที่สุดคืออะไร?”
“ต…ต่อสู้?” อวี้ชิงเหอกลืนน้ำลายและต้องการที่จะวิ่งหนี แต่เมื่อพิจารณาสภาพร่างกายของเขาแล้ว เขาไม่มั่นใจว่าจะหนีโจวอี้รอด
“ผิด! ทักษะที่ผมเชี่ยวชาญที่สุดคือทักษะทางการแพทย์! และเพื่อทำให้คุณเชื่อ ผมจะพิสูจน์ให้เห็นกับตา!” โจวอี้พูดจบก็ก้าวเข้าไปหาอวี้ชิงเหอ
“ม…ไม่นะ! อย่า! ฉันเชื่อ ฉันเชื่อ!”
“มีคนมากมายที่ชอบโกหกเอาตัวรอด และผมก็คิดว่าคุณเป็นแบบนั้น ผมควรพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาตัวเองถึงจะดีที่สุด!”
ทันใดนั้น เข็มเงินก็แทงเข้าไปในร่างกายของอวี้ชิงเหอถึงสามครั้ง!
และโจวอี้ยังส่งพลังปราณเข้าไปในจุดฝังเข็มทั้งสามจุดบนร่างกายของอวี้ชิงเหออีกด้วย
“ประธานอวี้ใช่ไหม ยินดีด้วย หลังจากนี้จะได้สัมผัสความรู้สึกทั้งสามอย่างเลยแหละ ผมขออธิบายให้เข้าใจก็แล้วกันเพื่อความบันเทิง อย่างแรกคือการหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง อย่างที่สองคือการร้องไห้อย่างขมขื่น และอย่างที่สามคือการอยู่อย่างทุรนทุราย มีชีวิตอยู่แต่ก็เหมือนตาย ผมหวังว่าคุณจะชอบสามความรู้สึกนี้และจดจำมันไปตลอดชีวิต!” โจวอี้โยนเข็มเงินทิ้งพลางแสยะยิ้มออกมา
หมายความว่ายังไง? อวี้ชิงเหอไม่เข้าใจ แต่หลังจากผ่านไปห้าหรือหกวินาที เขาก็เข้าใจขึ้นมาแล้ว หรืออย่างน้อยเขาก็เข้าใจความรู้สึกแรกนั้นแล้ว
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า…”
เขาหัวเราะอย่างควบคุมไม่ได้ และยิ่งเขาหัวเราะ เขาก็ยิ่งเสียงดังมากขึ้น
สีหน้าของเขาเหมือนคนบ้า!
อีกด้านหนึ่ง ซุนเหมาไฉซึ่งกำลังถือกระเป๋าเดินทางสีดำสองใบก็มองดูฉากทั้งหมด เขารู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง ศีรษะรู้สึกชาหนึบ
เขารู้ว่าโจวอี้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่เก่งกาจ แต่ไม่เคยคิดโจวอี้จะโหดร้ายกับศัตรูมากขนาดนี้ นี่มันยิ่งกว่าการฆ่าตายซะอีก!
ไม่สามารถหยุดหัวเราะหรือหยุดร้องไห้ได้ สุดท้ายก็ทุกข์ทรมาน มีชีวิตอย่างทรมานยิ่งกว่าตาย ถ้าสภาพจิตของอีกฝ่ายไม่แข็งแกร่งมากพอ เกรงว่าหลังจากนี้หากรอดไปได้ก็คงกลายเป็นคนเสียสติ
“เขาคือคนที่ฉันจะไม่มีวันทำให้เขาต้องขุ่นเคือง” ซุนเหมาไฉเตือนตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
อวี้ชิงเหอพยายามร้องขอความเมตตา แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไร เขาก็ไม่สามารถเปล่งคำพูดออกมาได้ มีเพียงเสียงหัวเราะออกจากลำคอของเขาเท่านั้น น้ำตาของเขาเริ่มไหลด้วยความทรมาน
รอยยิ้มบนใบหน้าของโจวอี้หายไป เขามองไปที่บอดี้การ์ดสองคนที่พยายามลุกขึ้น จากนั้นก็หันกลับมามองอวี้ชิงเหอและพูดว่า “สวรรค์สามารถให้อภัยคนชั่วช้าได้ ผมเองก็เช่นเดียวกัน ผมจะไม่ฆ่าคุณ แต่คุณต้องทนรับบทลงโทษเล็ก ๆ น้อย ๆ จากผม แต่จงจำไว้ให้ขึ้นใจว่าอย่าสร้างปัญหาให้ผมอีก ไม่งั้นรอบหน้าผมฆ่าคุณแน่!”
จากนั้นโจวอี้ก็ขึ้นรถตู้ไปพร้อมซุนเหมาไฉ และออกจากลานจอดรถไปอย่างรวดเร็ว
ซุนเหมาไฉรับหน้าที่เป็นคนขับรถ เมื่อขับออกไปได้เจ็ดหรือแปดกิโลเมตรเพื่อขึ้นทางด่วน เขาก็ชำเลืองมองโจวอี้แล้วถามว่า “นายน้อยโจว คุณแทงจุดหัวเราะและร้องไห้ของเขาด้วยเข็มเงินใช่ไหม?”
“ใช่” โจวอี้ยิ้ม
“เขาจะเป็นแบบนั้นอีกนานแค่ไหน…”
“ชายคนนั้นมันแค่คนโง่เง่า ผมไม่อยากทำให้เขาทรมานมากเท่าไหร่ ผมทำให้เขาหัวเราะสักสองชั่วโมง และร้องไห้ไปอีกสองชั่วโมง จากนั้นอีกสองชั่วโมงสุดท้าย เขาจะได้รู้ว่าการมีชีวิตอยู่แต่ทรมานยิ่งกว่าตายมันเป็นยังไง” โจวอี้กล่าวด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“แค่ก…” ซุนเหมาไฉหัวใจเต้นระส่ำ
นี่ถือเป็นการลงโทษเล็กน้อยงั้นเหรอ?
ดูเหมือนคุณจะเข้าใจความหมายของคำว่า ‘เล็กน้อย’ ผิดไปนะ
โจวอี้หยิบเข็มเงินออกมาเล่นในมือและมองออกไปนอกหน้าต่าง สิ่งที่เขาคิดคือขั้นตอนการซื้อวัตถุดิบยาในตลาดยา
วันนี้เขาได้เห็นวัตถุดิบยามากมายที่เขาไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่เพียงซื้อวัตถุดิบยา “24 ชนิด” มาบางส่วนเท่านั้น แต่ยังซื้อวัตถุดิบยาล้ำค่าหายากที่ไม่เกี่ยวข้องมาอีกราว ๆ เจ็ดแปดชนิด
นอกจากนี้ เขายังมีความคิดที่จะใช้ประโยชน์จากงานนิทรรศการวัตถุดิบยานี้เพื่อซื้อวัตถุดิบยาที่มีค่ามากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ตราบใดที่รักษามันอย่างดี ก็จะไม่ต้องกังวลว่ามันจะหมดไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
“เดี๋ยว…หยุด!” โจวอี้ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
หยุด?
หยุดไม่ได้!
นี่คือทางด่วน ไม่ใช่ถนนปกติ!
ใบหน้าชราของซุนเหมาไฉแสดงความยุ่งเหยิง แต่หลังจากนั้นเขาก็มองผ่านกระจกมองหลังเพื่อดูว่ามีรถตามมาหรือไม่ ก่อนจะชะลอความเร็วและถามว่า “นายน้อยโจว คุณมีอะไรงั้นเหรอ จอดรถกลางทางด่วนแบบนี้ไม่สะดวกเท่าไหร่ เราไปหยุดที่จุดพักรถข้างหน้าดีไหม?”
“อย่าหยุด เลี้ยวตรงสี่แยกข้างหน้าแล้วกลับไปที่ตลาดวัตถุดิบยา” โจวอี้กล่าวอย่างเคร่งขรึม
“กลับ?”
ซุนเหมาไฉไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี