หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - บทที่ 246 ถูกตามและเผชิญหน้า
บทที่ 246 ถูกตามและเผชิญหน้า
บทที่ 246 ถูกตามและเผชิญหน้า
รถหรูสองคันขับมาอย่างรวดเร็ว
โจวอี้นั่งอยู่ในรถคันที่สอง
ฮัวหมานเหรินมารับเขาด้วยตัวเอง
โจวอี้มองออกไปนอกหน้าต่าง เขามองทิวทัศน์นอกรถและครุ่นคิดเรื่องตระกูลหวง
ตำหนักเทียนจี!
เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
แม้ว่าเขาจะโทรไปถามถงหู่ แต่อีกฝ่ายก็ไม่รู้เรื่องนี้ จนสุดท้ายแม่เฒ่าเทียนจี้ก็คว้าโทรศัพท์ไปและบอกเขาด้วยตัวเอง
ตำหนักเทียนจีเป็นนิกายที่ลึกลับอย่างมากในโลกของผู้ฝึกยุทธ์
ว่ากันว่าสาวกของนิกายนี้มีแต่ผู้หญิงและมีจำนวนไม่มากนัก แต่กลับมีกองกำลังผู้ฝึกยุทธ์มากมายที่เชื่อมโยงกับพวกเธอ และผู้ฝึกยุทธ์ไร้สังกัดมากมายเต็มใจที่จะทำงานให้กับตำหนักเทียนจี
ยิ่งไปกว่านั้น แม่เฒ่าเทียนจี้ยังบอกเขาว่า ยังมีบางกองกำลังที่คล้ายกับตำหนักเทียนจี แต่กองกำลังเหล่านั้นแทบไม่ติดต่อกับโลกภายนอก พวกเขาทั้งหมดกบดานอยู่ในอาณาเขตของตัวเอง ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาและแม่น้ำที่มีประชากรเบาบาง
โจวอี้ต้องการทราบว่าเหตุใดผู้นำของตำหนักเทียนจีถึงได้ต้องการตามหาเขา?
และเขาเป็นเพียงศิษย์ของสำนักโอสถเท่านั้น
“หืม?” โจวอี้หรี่ตา เขาเห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ริมถนน
ชายหนุ่มผมสีเหลืองกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ข้าง ๆ รถ ในขณะที่สายตาของอีกฝ่ายมองเข้ามาในรถที่เขานั่ง ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
โจวอี้หลับตาลงช้า ๆ
เขาทบทวนฉากที่เขามองผ่านหน้าต่างรถตลอดทาง
มีรถต้องสงสัยทั้งหมดสี่คัน!
คันแรกและคันที่สองจอดอยู่ริมถนน มีคนอยู่ในรถทั้งสองคัน
คันที่สามขับช้า ๆ ทุกครั้งที่มองออกไป คนที่นั่งข้างคนขับก็จะมองมาที่รถของเขา
ส่วนรถคันที่สี่ก็คือรถที่พวกเขาเพิ่งขับผ่านไป และมีชายหนุ่มผมเหลืองยืนอยู่
“เลี้ยวขวาที่สี่แยกข้างหน้า และหยุดรถในอีกสองร้อยเมตร” โจวอี้สั่งคนขับรถทันที
“ทำไม?” ฮัวหมานเหรินขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
“มีใครบางคนกำลังจับตามองเรา และตามเรามาอย่างน้อยสิบกิโลเมตรแล้ว ผมไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของคนตระกูลคุณ หรือไม่ก็ใครสักคนที่มุ่งร้ายกับเรา”
“คุณรู้ได้ยังไง?” ฮัวหมานเหรินพยักหน้าให้คนขับ แล้วถามด้วยความสงสัย
“รู้ก็แล้วกัน” โจวอี้พูดอย่างใจเย็น
ความจำของเขายอดเยี่ยม และเกือบจะมีความสามารถในการจดจำทุกสิ่ง เขาสามารถค้นหาเบาะแสได้มากมายตราบเท่าที่เขาคิดทบทวนอย่างระมัดระวัง
ขบวนรถสองคันของโจวอี้ขับต่อไปข้างหน้าประมาณหนึ่งกิโลเมตร และเลี้ยวขวาที่สี่แยกด้านหน้า หก่อนจะหยุดที่ริมถนนข้างหน้าประมาณสองร้อยเมตร
โจวอี้ลงจากรถและจุดบุหรี่ขณะยืนอยู่ข้างประตูรถ
เขาต้องการตรวจสอบบางอย่าง
ตราบใดที่มียานพาหนะเหล่านั้นขับผ่านมา มันก็ไม่สามารถหลบหนีการสังเกตของเขาได้
แน่นอนว่าเพียงหนึ่งนาทีต่อมา รถออฟโรดก็แล่นผ่านไป มีคนสองคนนั่งอยู่ในรถ คนหนึ่งนั่งข้างคนขับ และอีกคนเป็นผู้ขับรถ
ชายทั้งสองมองมาที่โจวอี้
โจวอี้เงียบไปนานกว่าสิบวินาที จากนั้นก็กลับเข้าไปนั่งในรถ หันไปหาฮัวหมานเหรินและพูดว่า “คุณแน่ใจไหมว่าไม่มีใครในตระกูลของคุณถูกส่งมาเพื่อปกป้องเราระหว่างทาง”
“ไม่มีแน่นอน” ฮัวหมานเหรินยืนยัน
“ถ้าคุณบอกว่าไม่มี แสดงว่าเราถูกจับตามองจริง ๆ และผมยังคิดว่าถ้าเราขับไปตามเส้นทางที่คุณวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ เราน่าจะถูกโจมตีเมื่อไปถึงกลางทางก่อนถึงตระกูลฮัวของคุณ” โจวอี้กล่าวด้วยสีหน้ามั่นใจ
“เป็นไปไม่ได้! เราออกจากจินหลิงแล้ว ใครจะกล้าโจมตีเรากลางทาง? ตระกูลของเรามีอิทธิพลที่ไม่ธรรมดา ฉันมั่นใจว่าในระยะรัศมีสองถึงสามร้อยกิโลเมตรจากตระกูล ไม่มีไอ้หน้าไหนกล้าโจมตีเราแน่นอน!”
“เป็นผู้นำตระกูลฮัวจริง ๆ ใช่ไหมที่ถูกมารครอบงำ?” โจวอี้ถาม
“ก็ใช่น่ะสิ!”
“ตามที่คุณบอก ตระกูลฮัวแข็งแกร่งมากจนคนนอกไม่กล้าล่วงเกิน แล้วถ้าเป็นตระกูลฮัวด้วยกันเองล่ะ? มีใครไม่อยากให้ผมไปถึงหางโจวบ้างไหม? มีใครบางคนไม่อยากให้ผู้นำตระกูลของคุณรอดตายรึเปล่า?” โจวอี้ถามอย่างใจเย็น
“นี่..” สีหน้าของฮัวหมานเหรินเปลี่ยนไปทันที
มีความเป็นไปได้สูง!
ตระกูลฮัวมีผู้นำก็จริง แต่กลุ่มเสาหลักหลายคนกำลังจับตามอง
เมื่อพิจารณาแล้วว่าอาการบาดเจ็บของผู้นำคงไม่หายดี บางคนก็คิดจะต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งผู้นำ ถึงขนาดที่ว่าน่าจะมีหลายคนอยากให้ผู้นำคนปัจจุบันนี้ตาย
ฮัวหมานเหรินสูดหายใจเข้าลึก หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและกดโทรออกไปยังหมายเลขหนึ่ง
หลังจากที่อีกฝ่ายรับสาย เขาก็พูดเสียงต่ำว่า “ฉันต้องการคุยกับผู้นำตระกูล!”
“รอเดี๋ยว…” อีกฝ่ายตอบกลับอย่างสบาย ๆ
ครู่ต่อมา เสียงที่แหบแห้งและอ่อนแอก็ดังมาจากปลายสาย “หมานเหริน เกิดอะไรขึ้น?”
“ท่านผู้นำ ตอนนี้เราอยู่ระหว่างทางพาหมอโจวกลับไปหาคุณ แต่เรากลับพบว่ามีคนบางกลุ่มกำลังจับตามองเรา เพราะผมไม่สามารถตัดสินได้ว่าอีกฝ่ายจะมาดีหรือร้าย ผมอยากให้คุณส่งคนมาเสริมเราที” ฮัวหมานเหรินกล่าว
อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดว่า “ฉันจะขอให้จงเฉาพาคนไปหานาย บอกที่อยู่ของนายมา”
“ทางตะวันตกเฉียงเหนือของหลี่หยาง บนถนนสายหลักทางตะวันออกของหมู่บ้านอวี่ชุน ผมจะส่งตำแหน่งให้คุณทาง WeChat”
“ได้!”
ฮัวหมานเหรินวางสาย สีหน้าของเขาดูดีขึ้นมาเล็กน้อย
“ขับต่อไป แล้วเลี้ยวซ้ายข้างหน้า ถ้าจำไม่ผิด จะมีทางระหว่างไร่กับป่า ให้เลี้ยวเข้าทางนั้น” ฮัวหมานเหรินออกคำสั่ง
“ครับ”
คนขับรับคำสั่งทันที
ราว ๆ ห้านาทีต่อมา รถทั้งสองคันก็เคลื่อนไปตามเส้นทาง และหยุดอยู่หน้าสะพานเล็ก ๆ ที่มีผู้คนเพียงไม่กี่คน
โจวอี้ไม่ได้พูดอะไร เขาเลือกที่จะรออย่างเงียบ ๆ
เพราะเขารู้ว่าหากเหล่าคนที่เฝ้าติดตามพวกเขามีเจตนาร้าย คนเหล่านั้นจะส่งคนตามมาตรวจสอบหลังจากที่พวกเขาหายตัวไป
นั่นไง!
สิบนาทีต่อมา ก็มีรถวิ่งเข้ามา
ฟุ่บ!
ฮัวหมานเหรินนั้นแม้จะเป็นชายชรา แต่ระดับยุทธ์ของเขาไม่ได้ต่ำต้อยเลย เพราะเมื่อรถต้องสงสัยขับใกล้เข้ามา เขาก็กระโดดออกจากท้ายรถอย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งเข้าใส่รถต้องสงสัยที่ขับมาด้วยความเร็วประมาณ 60
จากนั้นก็เตะเสยหน้ารถอย่างรุนแรง
โครม!
รถพลิกคว่ำไปทางซ้าย แล้วตกลงไปในคูน้ำด้านข้าง
ทันใดนั้น ชายร่างใหญ่สี่คนในชุดสูทที่มากับฮัวหมานเหรินก็รีบกระโจนลงไปที่คูน้ำราวกับเสือตะครุบเหยื่อ พวกเขาพุ่งเข้าไปขวางหน้าชายสองคนที่ตะเกียกตะกายออกมาจากรถต้องสงสัย
“ไอ้สารเลว พวกแกเป็นใคร!” ชายสวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำที่เพิ่งออกมาจากรถต้องสงสัยคำรามใส่
ชายสี่คนในชุดสูทไม่ตอบ พวกเขาโจมตีอย่างดุเดือด และในเวลาเพียงไม่กี่วินาที พวกเขาก็ปราบชายทั้งสองและพาตัวมาหาฮัวหมานเหรินและโจวอี้ได้สำเร็จ
“ใครสั่งให้แกตามเรามา?” ฮัวหมานเหรินมองไปที่ชายสองคนนั้นด้วยแววตาเย็นชา
“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร! เราแค่ขับรถผ่านมาเฉย ๆ ทำไมจู่ ๆ พวกคุณถึงโจมตีเราแบบนี้ล่ะ?!” ชายคนนั้นถามด้วยความโกรธ
“ฉันจะถามแกอีกครั้งว่าใครส่งแกมาที่นี่ ถ้าแกตอบมาตามความจริง แกจะมีโอกาสรอดชีวิต แต่ถ้าแกยังคงทำตัวตัวโง่เง่าต่อไป ฉันจะฆ่าแกทิ้งซะ” ฮัวหมานเหรินกล่าวอย่างเย็นชา
“ไม่มีใครส่งเรามาที่นี่สักหน่อย เราแค่ผ่านมา เรา…อั้ก!”
“หึ ๆ!” ฮัวหมานเหรินหัวเราะอย่างเย็นชา และแทงมีดเข้าที่เอวของชายเสื้อแจ็คเก็ตชุดหนังทันที
จากนั้นเขาก็ดึงมีดออกอย่างรุนแรง มองดูร่างของอีกฝ่ายล้มลงกระตุกอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหมดลมหายใจ เขาหันไปมองอีกคนหนึ่งที่ยังเหลืออยู่และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กฎเหมือนเดิม ฉันถาม แกตอบตามจริง ถ้าแกพูดจริง แกรอด แต่ถ้ายังทำตัวเหมือนคนปัญญาอ่อน แกก็ตาย”
“ผ..ผู้อาวุโสฮัว ผ…ผมพูดแล้ว นายน้อยสี่ส่งพวกเรามาที่นี่!” ชายอีกคนคุกเข่าลงบนพื้นและตะโกนด้วยความหวาดกลัว