หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - บทที่ 248 มาสู้กัน
บทที่ 248 มาสู้กัน
บทที่ 248 มาสู้กัน
“หัวหน้า!”
คนชราทั้งสี่ซึ่งก่อนหน้านี้แสดงท่าทีหยิ่งยโสออกมา แต่เมื่อเห็นฮัวเยว่โหลวลงมาจากรถ พวกเขาต่างก็รีบเอ่ยทักด้วยความเคารพ
“นายน้อยสี่ คุณเข้าร่วมคณะกรรมการกำกับดูแลเถิงหลงด้วยเหรอ? สิ่งนี้ขัดต่อกฎของบรรพบุรุษเรานะ!” ฮัวหมานเหรินตะโกนด้วยความโกรธ
“กฎของบรรพบุรุษ…มันมีค่าอะไรล่ะ?” ฮัวเยว่โหลวถามอย่างไร้อารมณ์
“คุณ…” ฮัวหมานเหรินแทบจะสำลักลมหายใจตัวเอง
ในฐานะหัวหน้าพ่อบ้านของตระกูลฮัว เขารู้ว่านิสัยของนายน้อยสี่เปลี่ยนไปอย่างมากเนื่องจากอุบัติเหตุในปีนั้น แต่เขาไม่เคยคิดว่า เพื่อชิงอำนาจในตระกูลแล้ว ไม่เพียงแต่นายน้อยสี่จะขัดขวางโจวอี้จากการช่วยชีวิตผู้นำตระกูล แต่ยังละเมิดกฎของตระกูลด้วยการเข้าร่วมคณะกรรมการกำกับดูแลเถิงหลงเพื่อให้มีทางการคอยหนุนหลัง
นี่มันบ้าอะไร?
ฮัวเยว่โหลวหันไปมองโจวอี้อยู่พักหนึ่งแล้วถามว่า “หมอโจวจะสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องราวของตระกูลฉันไหม?”
“ผมมีหน้าที่แค่รักษาคนเจ็บเท่านั้น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวภายในตระกูลของคุณหรอก” โจวอี้กล่าวอย่างเฉยเมย
“งั้นก็ขอบคุณ” ฮัวเยว่โหลวพยักหน้า และตะโกนว่า “ฆ่า!”
ภายในชั่วพริบตา ชายชราสองคนและชายหนุมในชุดวอร์มสีดำอีกสิบคนก็พุ่งเข้าใส่ฮัวหมานเหรินและชายสี่คนในชุดสูท
“ฮัวเยว่โหลว แกกล้า….!” ฮัวหมานเหรินคำรามอย่างดุเดือด
“ต้องโทษที่นายขวางฉันอยู่” ฮัวเยว่โหลวพูดเสียงเบา
ทว่าในช่วงเวลาต่อมา สีหน้าของฮัวเยว่โหลวก็เปลี่ยนไป
เนื่องจากฮัวหมานเหรินปะทุพลังออกมาอย่างรุนแรง ซึ่งมีแต่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์เท่านั้นที่สามารถทำได้
ตูม!
หญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ถัดจากฮัวเยว่โหลวปลดปล่อยกลิ่นอายที่มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์เท่านั้นที่สามารถมีได้ออกมาเช่นกัน และร่างของเธอก็พุ่งเข้าหาฮัวหมานเหรินได้รวดเร็วราวกับสายฟ้า
หนึ่งปรมาจารย์ และอีกสองกึ่งปรมาจารย์ร่วมมือกันจัดการฮัวหมานเหริน
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ผู้ฝึกยุทธ์สิบคนก็กำลังโจมตีชายสี่คนในชุดสูท
โจวอี้สูบบุหรี่อย่างเงียบ ๆ และยืนดูอยู่ข้าง ๆ
เขารู้ว่าสิ่งที่ฮัวเยว่โหลวทำเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับตระกูลผู้ฝึกยุทธ์ แต่เนื่องจากอีกฝ่ายกล้าที่จะล้มกระดานแบบนี้ ก็ต้องเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่แล้ว
หากคนที่ผู้นำตระกูลฮัวส่งมาช่วยเหลือมาถึงที่นี่ล่าช้า ฮัวหมานเหรินและชายสี่คนในชุดสูทคงจะตายกันหมดแน่
และเพียงไม่นาน
ชายในชุดสูททั้งสี่คนก็ถูกฆ่าตาย ขณะที่ฮัวหมานเหริน หัวหน้าพ่อบ้านของตระกูลฮัวก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือพวกของตนเองได้
ทันใดนั้น โจวอี้ก็เห็นว่าคมมีดลมที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าโผล่มาจากด้านหลังของฮัวหมานเหรินราวกับเคียวของยมทูต มันฟันเข้าที่แผ่นหลังของฮัวหมานเหรินทันที
หญิงงามวัยกลางคนใช้โอกาสนี้ซัดฝ่ามือเข้าที่กลางอกของฮัวหมานเหริน ในขณะที่ผู้อาวุโสอีกสองคนก็ชกศีรษะและคอของฮัวหมานเหรินไม่ยั้ง
โจวอี้หันกลับไปมองหญิงสาวซึ่งยืนอยู่ข้างฮัวเยว่โหลวทันที และเห็นว่าขณะนี้เธอค่อย ๆ ลดแขนลง
เป็นเธอเองเหรอ?
เธอบังคับคมมีดลมนั่นเหรอ?
เธอคือ…ผู้มีพลังจิต?
และยังสามารถควบคุมธาตุลมได้ด้วย?
ฮัวเยว่โหลวหรี่ตามองตามสายตาของโจวอี้ซึ่งกำลังมองมาที่หญิงสาวที่อยู่ข้าง ๆ เขา
เขาตบหน้าหญิงสาวด้วยหลังมือ ซึ่งมันทำให้เธอสะดุดและเกือบจะล้มลงกับพื้น
“เจ้านาย…” หญิงสาวทรงตัวและรีบก้มหน้าลง
ฮัวเยว่โหลวมองเธออย่างเย็นชา แล้วหันไปมองโจวอี้ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา “หมอโจว ฉันไม่คิดว่าคนของสำนักโอสถจะช่างพูดหรอก จริงไหม?”
“แน่นอน” โจวอี้พยักหน้า
“เยี่ยม หวังว่านายจะเก็บเรื่องในวันนี้เป็นความลับ และเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ ฉันจะส่งคนไปส่งวัตถุดิบยาล้ำค่าไปให้ ถ้าฉันเสร็จธุระในตระกูลเรียบร้อยแล้ว” ฮัวเยว่โหลวยิ้ม
“ไม่มีปัญหา” โจวอี้ยิ้ม
เวลานี้ฮัวหมานเหริน ซึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์ได้หมดลมหายใจไปแล้ว
หลายศพถูกยัดเข้าไปในท้ายรถหลายคัน
ฮัวเยว่โหลวถามขึ้นว่า “หมอโจว ให้ฉันส่งคนพากลับไปที่เมืองจินหลิงไหม?”
“ไม่ เดี๋ยวผมจะขับรถกลับไปเอง” โจวอี้ตอบ
“ถ้าอย่างนั้นเราขอตัว”
“เดี๋ยว…” โจวอี้ยกมือขึ้น และมองหญิงชราที่อยู่ไม่ไกลจากฮัวเยว่โหลว “ถ้าจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้คุณขู่ผม?”
“ใช่ แล้วจะทำไม?” หญิงชราตอบอย่างเย็นชา
“งั้นมาสู้กัน ระหว่างคุณกับผม!” โจวอี้เอ่ยเสียงกร้าว
“โฮ่ เจ้าหนุ่ม นายกล้าสู้กับฉันเหรอ? นายกำลังมองหาความตายอยู่รึไง?” หญิงชรามองอย่างเหยียดหยาม
ชายชราสามคนที่อยู่ใกล้ ๆ ล้วนเผยสีหน้าแปลกประหลาด
หนึ่งในนั้นเย้ยหยันว่า “พ่อหนุ่ม อย่าหาเรื่องตายโดยเปล่าประโยชน์เลย แม่เฒ่าถังจะไม่ใจอ่อนเพียงเพราะแค่นายเป็นศิษย์ของสำนักโอสถหรอกนะ ถ้าหากเริ่มเมื่อไหร่ เธอจะฆ่านายอย่างไม่ลังเลเลย”
“ใช่ ทุกครั้งที่ลงมือ แม่เฒ่าถังต้องเห็นเลือด มีคนไม่กี่คนที่รอดเงื้อมมือเธอไปได้ ดังนั้นนายควรกลืนความภาคภูมิใจของนายซะ และขอโทษเธอก่อนจะกลับไป!” ชายชราอีกคนหัวเราะ
โจวอี้มองพวกเขาอย่างเย็นชา จากนั้นก็หันกลับไปยังรถที่เขานั่งมา และหยิบไม้เท้าหัวมังกรออกมาจากรถ
เขาชี้ไม้เท้าหัวมังกรไปที่หญิงชราและพูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าเก่งจริงก็หยุดพูดจาไร้สาระ แล้วมาสู้กัน ถ้าผมถูกคุณฆ่าตายก็ถือว่าผมไร้ความสามารถและสมควรตาย แต่ถ้าผมชนะ ผมจะไว้ชีวิตคุณ แต่คุณต้องขอโทษผมต่อหน้าทุกคน!”
“รนหาที่ตาย!”
สีหน้าของแม่เฒ่าถังเย็นชา ทันใดนั้นร่างของเธอก็เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเพื่อมาปรากฏตัวต่อหน้าโจวอี้
ฝ่ามือที่ซัดออกอย่างรวดเร็วจนเป็นเงาซ้อนดูเหมือนจะบดบังท้องฟ้าและดวงอาทิตย์จนหมดสิ้น แต่ละฝ่ามือมีความรุนแรงพอที่จะฆ่าโจวอี้ได้!
“อืม แก่แต่มีเรี่ยวแรงใช้ได้”
โจวอี้เยาะเย้ยก่อนจะโคจรพลังปราณอย่างดุเดือดไปที่แขน
ฝ่ามือคลื่นโถม!
โจวอี้ซัดฝ่ามือออกไปอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเงาซ้อนทับกัน ความรุนแรงของแต่ละฝ่ามือนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากถูกซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ ราวกับคลื่นสมุทรที่ไร้สิ้นสุดพุ่งเข้าไปปะทะกับฝ่ามือของแม่เฒ่าถังโดยตรง
จากนั้น แทบจะในเวลาเดียวกัน ไม้เท้าหัวมังกรก็ถูกฟาดออกไป ท่วงท่าการฟาดนั้นแพรวพราวราวกับงูพิษที่กัดเข้าไปยังตำแหน่งสำคัญของแม่เฒ่าถัง
“อะไร? กึ่งปรมาจารย์!?”
ทันใดนั้นสีหน้าของแม่เฒ่าถังก็เปลี่ยนไป และร่างของเธอก็ถอยกลับทันที
เธอไม่คาดคิดว่าโจวอี้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกึ่งปรมาจารย์ และที่น่าเสียใจก็คือเธอไม่ได้ใช้อาวุธ ดังนั้นเธอจึงเสียเปรียบเมื่อต้องเผชิญกับทั้งพลังฝ่ามือของโจวอี้และยังถูกตีเข้าที่แขนซ้ายในขณะที่หลบไม้เท้าหัวมังกร
เธอถอยกลับอย่างรวดเร็ว แต่อีกฝ่ายเหมือนผีร้ายที่ตามหลอกหลอนไม่เลิก ซึ่งทำให้เธอไม่สามารถกำจัดการโจมตีที่ไม่รู้จบของอีกฝ่ายได้
“แส้ทองคำ!” แม่เฒ่าถังตะโกนก่อนจะหลบไม้เท้าหัวมังกรของโจวอี้อย่างหวุดหวิด เธอดึงแส้อ่อนที่ผูกรอบเอวของเธอออกมาและฟาดใส่โจวอี้อย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ ร่างกายของเธอก็แข็งค้าง และการโจมตีด้วยแส้ก็พังทลายลงในทันใด
เพราะไม้เท้าหัวมังกรฟาดตรงจุดใต้วงแขนขวาของเธออย่างกะทันหัน!
โจวอี้เผยสีหน้าเย็นชา ก่อนจะฟาดไม้เท้าเข้าใส่หน้าอกของแม่เฒ่าถังอีกรอบจนกระเด็นลงไปกองที่พื้น และเขาก็ตามไปเตะร่างของแม่เฒ่าถัง ส่งให้เธอกระเด็นออกไปราวเจ็ดแปดเมตรและไปหยุดที่ริมฝั่งแม่น้ำ
หลังจากที่แม่เฒ่าถังหยุดกลิ้ง เธอก็พลิกตัวและกระโดดกลับมาลุกยืนอีกครั้ง เวลานี้เธอกระอักเลือดออกมาอย่างรุนแรง และใบหน้าของเธอก็ขาวซีดอย่างมาก