หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - บทที่ 276 คลื่นใต้น้ำ
บทที่ 276 คลื่นใต้น้ำ
บทที่ 276 คลื่นใต้น้ำ
บางครั้งความสุขก็มาหาเราโดยไม่ทันตั้งตัว
ตอนนี้โจวอี้กำลังรู้สึกแบบนั้น
ดวงจิตของเขาได้สัมผัสกับกักขระ “เพิ่ม” และพบว่ามันดูเหมือนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขาไปแล้ว เขาไม่เพียงแต่รับรู้ถึงประสิทธิภาพของมันเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้มันได้เหมือนมืออีกด้วย
ผลของมันคือการเพิ่มขึ้น!
นี่เป็นของขวัญชิ้นใหญ่!
ดวงจิตของเขาผสานเข้ากับอำนาจของอักขระ “เพิ่ม” อย่างต่อเนื่อง และเขาก็รู้สึกว่าสมรรถภาพทุก ๆ ด้านของเขานั้นมีประสิทธิภาพเพิ่มมากยิ่งขึ้น และมันทำให้เขาถึงกับตื่นเต้น
ทันใดนั้น เขาก็จำอักขระอีกสองตัวได้ นั่นคือ 聚(รวม) และ生(เกิด)
อักขระทั้งสองนี้ก็มีบทบาทในช่วงที่เขาพยายามจะทะลวงระดับเข้าสู่ปรมาจารย์ แต่ตอนนั้นเขาอยู่ในสภาวะการฝึกฝน จึงไม่ได้ทำความเข้าใจพวกมันอย่างละเอียด
‘ตอนนี้ฉันคิดว่าอักขระสองตัวนั้นน่าจะมีความมหัศจรรย์ไม่น้อยไปกว่าอักขระ “เพิ่ม”’
“มีเตาหลอมสยบวิญญาณทั้งหมดเก้าเตา หรือก็คือมีอักขระทั้งหมดเก้าตัว”
“ถ้าสามารถหาเตาหลอมสยบวิญญาณได้ครบทั้งเก้าเตา ฉันก็จะได้รับอักขระครบทั้งเก้าตัว”
“อักขระแต่ละตัวน่าจะมีคุณสมบัติอำนาจต่างกันไป”
“ถ้าได้รับการสนับสนุนจากอำนาจของทั้งเก้าอักขระพร้อมกัน มันจะเป็นยังไงนะ? ฉันจะได้ประโยชน์แค่ไหน?”
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็กระตือรือร้นที่จะตามหาเตาหลอมสยบวิญญาณให้มากขึ้น
เขายังจำได้ว่าอาจารย์ของเขาได้ติดต่อกับคนของตำหนักหมื่นประดิษฐ์ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังจะส่งเตาหลอมสยบวิญญาณสามเตามาให้เขาที่เมืองจินหลิง
หากได้รับเตาหลอมสยบวิญญาณมาอีกสามเตา นั่นหมายความว่าจะได้รับอักขระอีกสามตัว
รวมทั้งหมดก็จะเป็นหกตัว
โจวอี้ลืมตาขึ้นช้า ๆ ก่อนจะมองออกไปเบื้องหน้า
เซี่ยงไฮ้ ท่าเรือโกลเด้นเกท
เกาถงผู้มีหน้าที่รับผิดชอบการจัดซื้อวัตถุดิบยาของนิกายเร้นลับเพิ่งสั่งให้คนของเขาส่งรถเข็นวัตถุดิบยาสองคันไปที่โกดัง ก่อนจะเห็นโหยวเก๋อซางที่พุ่งตัวเข้ามา
“คารวะผู้อาวุโสโหยว” เกาถงทำความเคารพทันที
“ขาดอยู่อีกเท่าไหร่?” โหยวเก๋อซางถามด้วยสีหน้าเฉยชา
“ขาดอีกราว 40% ครับ”
“ข้าจะให้เวลาเจ้าวันนี้เป็นวันสุดท้าย ก่อนเวลาเที่ยงคืนนี้ ไม่ว่าปริมาณวัตถุดิบยาที่ส่งมาจะเพียงพอหรือไม่ เราก็จะต้องขนส่งยาออกไปจากที่นี่ทันที”
ทันใดนั้น สีหน้าของเกาถงก็เปลี่ยนไป
ตอนแรกเขาได้รับคำสั่งว่าหากไม่สามารถหาวัตถุดิบยาได้ครบตามจำนวนภายในเวลาที่กำหนด เขาจะถูกลงโทษด้วยการถูกบั่นคอ แต่คำสั่งใหม่นี้มันไม่ต่างอะไรกับการตัดสินโทษประหารของเขาล่วงหน้าเลย
“ผู้อาวุโสโหยว ตอนแรกท่านให้เวลาผมอีกสามวันก่อนที่จะถึงเส้นตาย ถ้าท่านเปลี่ยนเวลามาเป็นเที่ยงคืนนี้ เราคงไม่สามารถหาวัตถุดิบยาได้ตามจำนวนที่ระบุไว้”
“คืนนี้วัตถุดิบยาจะต้องถูกขนส่งออกไป” โหยวเก๋อซางพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
“ผู้อาวุโสโหยว โปรดอย่าทำแบบนี้เลย! ถ้าผมไม่สามารถซื้อวัตถุดิบยาได้ครบ ผมต้องตายแน่!” เกาถงคุกเข่าลงต่อหน้าโหยวเก๋อซางและอ้อนวอน
“เฮยอู่หยา เทียนเช่อ ไป๋จ่านซิง และเฮยซินเหลาไกว้ ทั้งสี่คนถูกฆ่าตายหมดแล้ว และมันคงจะเป็นคนในระดับบรรพจารย์ยุทธ์ที่ลงมือ” โหยวเก๋อซางกล่าวอย่างเฉยเมย
“อะไรนะ?!”
เกาถงอุทานเสียงหลง สีหน้าเขาดูเหลือเชื่อ
สี่คนนั้นล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับปรมาจารย์ แต่กลับกลายเป็นว่าถูกฆ่าอย่างน่าสังเวช!
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่หนุนหลังเขาอยู่คือเฮยซินเหลาไกว้ แต่ในเมื่อเฮยซินเหลาไกว้ตายไปแบบนี้ แม้ว่าเขาจะทำภารกิจนี้สำเร็จ แต่ตำแหน่งของเขาในนิกายก็ต้องลดลงอยู่ดี
“ใครเป็นคนฆ่าพวกเขาครับ?” เกาถงถามอย่างเร่งรีบ
“นั่นคือปัญหาสำคัญ ข้าไม่สามารถค้นหาตัวตนของอีกฝ่ายได้” หลังจากที่โหยวเก๋อซางพูดจบ ร่างของเธอก็ลอยห่างออกไป ทิ้งไว้เพียงคำเตือนที่ว่า “สิ่งที่ข้าทำได้มากที่สุดคือปกป้องสถานที่แห่งนี้จนถึงคืนนี้ แล้วข้าจะจากไปทันที หากเจ้าคิดจะอยู่ต่อไปอีกหลังจากนี้คืน เจ้าก็เตรียมใจที่จะตายเอาไว้ด้วยหากมีสิ่งใดเกิดขึ้น”
เกาถงจ้องมองไปยังทิศทางที่โหยวเก๋อซางหายตัวไป
หัวใจของเขาค่อย ๆ จมดิ่ง
เมื่อคืนที่ผ่านมามีคนปริศนาแอบเข้ามาในละแวกนี้ จากนั้นปรมาจารย์ทั้งสี่คนก็ไล่ตามคนผู้นั้นไป แต่หลังจากนั้น พวกเขาทั้งหมดกลับตายไปจนหมดเกลี้ยง!
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งอย่างมาก มันมากกว่าที่เขาจะรับมือไหว!
แต่ถ้าเขาไม่สามารถหาวัตถุดิบยาได้ทันในหนึ่งวัน!…
“ท่านลุง ตอนนี้มีทางเดียว”
ห่างออกไปราว ๆ ห้าเมตร จู่ ๆ ผู้หญิงที่สวมหน้ากากครึ่งหน้าก็พูดขึ้นมา
“ทางไหนล่ะ?” เกาถงถามกลับไปทันที
“ติดต่อตระกูลที่เราควบคุมอยู่อย่างลับ ๆ และขอให้พวกเขาช่วยเราซื้อสมุนไพรให้” หญิงสวมหน้ากากให้คำตอบ
“เธอหมายถึง… ตระกูลเยี่ยน?” เกาถงดูมีท่าทีลังเล
“ใช่แล้ว แม้ตระกูลเยี่ยนจะไม่ใช่ตระกูลผู้ฝึกยุทธ์อันดับต้น ๆ ของจีน แต่พวกเขาก็ดำรงอยู่มาหลายร้อยปีแล้ว พวกเขามีรากฐานที่มั่นคง และมีเครือข่ายคนรู้จักที่กว้างขวาง ตราบใดที่พวกเขาช่วยแม้เราจะเหลือเวลาแค่วันเดียว ฉันเชื่อว่าพวกเขาสามารถส่งวัตถุดิบยาที่พวกเราขาดมาได้ทั้งหมด”
เกาถงลังเลอยู่ครู่หนึ่งและสุดท้ายก็ยอมตกลง
ตามข้อบังคับของนิกาย หากไม่มีเหตุผลพิเศษ คุณจะไม่สามารถติดต่อกับนิกายหรือตระกูลที่นิกายเร้นลับควบคุมอยู่ มิฉะนั้นคุณจะถูกลงโทษสถานหนัก
แต่ตอนนี้เขาต้องพึ่งพาอิทธิพลของตระกูลเยี่ยน
มิฉะนั้นหากจำนวนของวัตถุดิบยาไม่เพียงพอ แม้ว่าเขาจะมีเหตุผลที่ดีไปอ้าง แต่สุดท้ายเขาคงไม่อาจรอดพ้นจากความตายได้
ขณะเดียวกัน เรือบรรทุกสินค้าก็ค่อย ๆ จอดเทียบท่า
บนเรือบรรทุกสินค้าลำนี้มีสินค้าไม่มากนัก
ชายรูปร่างผอมผิวดำคล้ายลูกหาบสองสามคนกระโดดลงจากเรือและหายเข้าไปในฝูงชนที่พลุกพล่านบนฝั่งอย่างรวดเร็ว
สิบโมงเช้า
ห่างจากโกดังที่นิกายเร้นลับเก็บวัตถุดิบยาไม่กี่กิโลเมตร ภายในอาคารที่มีมากกว่าสิบชั้น ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมผิวดำค่อย ๆ วางกล้องส่องทางไกลลงที่ขอบหน้าต่าง จากนั้นจึงกดโทรศัพท์เพื่อต่อสายหาใครบางคน
“สามชั่วโมงที่ผ่านมา รถตู้คอนเทนเนอร์หกคันที่บรรทุกวัตถุดิบยาได้ส่งวัตถุดิบยาจำนวนมากเข้าไปในโกดัง และพบผู้ต้องสงสัยมากกว่ายี่สิบคน หากผมเดาไม่ผิด น่าจะมีผู้ฝึกยุทธ์ที่ซ่อนตัวคอยปกป้องอยู่มากกว่าที่เห็นอีก อาจารย์ลุง คำสั่งต่อไปคืออะไร”
“จับตาดูไว้ อย่าให้คลาดสายตา รายงานสถานการณ์ทุกชั่วโมง และรอให้ฉันพาคนไปที่นั่น แล้วเราค่อยพูดคุยกันถึงแผนการต่อไป” เสียงคนแก่ดังมาจากปลายสาย
“ครับ”
ณ เมืองจินหลิง
เวลา 16.30 น.
โจวอี้รับลูกสาวสองคนมาจากโรงเรียนอนุบาล และในระหว่างทางกลับบ้าน เขาก็ได้ถามลูกสาวทั้งสองอีกครั้งเกี่ยวกับเส้นลมปราณของมนุษย์และตำแหน่งจุดฝังเข็ม ซึ่งผลลัพธ์ก็น่าพอใจมาก
เป็นเพราะความทรงจำอันสุดยอดของพวกเธอ ทำให้พวกเธอไม่ลืมเรื่องเกี่ยวกับเส้นลมปราณและตำแหน่งจุดฝังเข็มที่เขาเคยสอน
ในไม่ช้า พ่อและลูกสาวก็กลับมาถึงบ้านพร้อมเสียงหัวเราะ
โจวอี้พาพวกเธอไปที่โรงยิม จากนั้นหยิบหนังสือเล่มเล็กออกมาและมอบให้พวกเธอ
สมุดเล่มเล็กนั้นบันทึกวิชา “พฤกษาดับยามวสันตฤดู” และยังมีแผนผังเส้นทางการไหลของพลังปราณในร่างกาย
มีเพียงผู้เป็นประมุขเท่านั้นที่มีสิทธิ์สอนวิชา “พฤกษาดับยามวสันตฤดู” ให้แก่ศิษย์สายตรงของตนเอง แต่โจวอี้ยังไม่ได้เป็นผู้นำของสำนักโอสถ ดังนั้นเขาจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะสอนมันให้ลูกสาวทั้งสองเป็นการส่วนตัว
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่แม่เฒ่าเทียนจี้ปรึกษาฉู่เทียนฮุ่ยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอก็ได้รับคำตอบที่ทำให้ถึงกับพูดไม่ออก
ฉู่เทียนฮุ่ยพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘โจวอี้จะเป็นประมุขของสำนักโอสถในไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้นไม่ใช่เรื่องผิดที่โจวอี้จะฝึกฝนลูกศิษย์ของเขาล่วงหน้า ยิ่งไปกว่านั้น คนที่โจวอี้จะฝึกฝนให้ก็คือลูกสาวของเขา ซึ่งไม่ขัดต่อกฎของนิกาย’
มันจะไม่ขัดต่อกฎได้ยังไง?
แม่เฒ่าเทียนจี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เนื่องจากการกระทำของโจวอี้เป็นการละเมิดกฎอย่างชัดเจน!
อย่างไรก็ตาม ด้วยการสนับสนุนจากประมุขอย่างฉู่เทียนฮุ่ย เธอจึงไม่สามารถพูดอะไรไปได้มากกว่านี้
นอกจากนี้ แม่เฒ่าเทียนจี้ยังรู้สึกคาดหวังต่อโจวอี้ ดังนั้นเธอจึงเต็มใจที่จะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ไป หากโจวอี้สามารถบ่มเพาะลูกสาวทั้งสองของเขาให้มีพรสวรรค์ได้ มันก็จะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับสำนักโอสถ