หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - บทที่ 68 ก่อความวุ่นวาย
บทที่ 68 ก่อความวุ่นวาย
บทที่ 68 ก่อความวุ่นวาย
บทที่ 68 ก่อความวุ่นวาย
ณ ห้องพักผ่อนบนชั้นสองซึ่งมีแสงไฟนีออนส่องสว่างอยู่ กลิ่นควันฉุนคละเคล้าไปกับกลิ่นเลือดที่ตลบอบอวล
หญิงสาวสองคนเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด พวกเธอกรีดร้องด้วยความทุรนทุราย ขณะกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพื้น
ที่โซฟาติดพิงกำแพง หูเว่ยจวินนั่งอยู่ด้วยสีหน้าบูดบึ้งและคิ้วขมวด แต่ไม่ได้พูดอะไร กลับกันบนโซฟาอีกฝั่งมีชายร่างกำยำสองคนนั่งยิ้มอยู่ มือหนึ่งคีบบุหรี่ อีกมือหนึ่งหมุนแก้วไวน์
จ้าวฉางชุน ผู้จัดการคลับจ้องมองคนตรงหน้าด้วยใบหน้าเฉยชา ในใจรู้สึกหวาดเกรงอีกฝ่าย ข้างหลังเขามีชายร่างใหญ่แปดคนในชุดสูทหนังสัตว์ มองมาที่หูเว่ยจวิน และชายวัยกลางคนสองคน
“บอสหู เพื่อนสองคนของคุณล้ำเส้นเกินไปแล้ว แค่ผู้หญิงสองคน คุณจะโกรธอะไรหนักหนา?” จ้าวฉางชุนกล่าวอย่างเย็นชา
“ผู้จัดการจ้าวช่วยจัดการเรื่องนี้ที! ค่ารักษาพยาบาลของพวกเธอหักจากบัญชีของฉัน” หูเว่ยจวินเหลือบมองเพื่อนสองคนที่เขาไม่เห็นมาหลายปีแล้วพูดขึ้น
“ผมจะไว้หน้าให้บอสหูก็ได้ แต่หวังว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย” จ้าวฉางชุนกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
“กล้าขู่เรา?”
ชายวัยกลางคนร่างกำยำเตะโต๊ะยาวตรงหน้า ก่อนจะขยี้ก้นบุหรี่ด้วยเท้าพลางเอ่ยเยาะเย้ย “เป็นแค่ผู้จัดการของคลับเล็ก ๆ แต่ทำตัวหยิ่งยโสจังนะ อยากให้ฉันถลกหนังนายไหม?”
“สหาย มังกรพลัดถิ่นหรือจะสู้งูดินเจ้าที่ได้ นี่คือเมืองจินหลิง ฉันหวังว่าคุณจะคิดให้ดีก่อนพูดอีกครั้ง” จ้าวฉางชุนก้าวถอยหลังไป ทว่าดวงตาของเขากลับดุเคร่งขรึมมากขึ้น
ฟุ่บ!
พริบตาเดียว ชายวัยกลางคนร่างกำยำก็ปรากฏตัวต่อหน้าจ้าวฉางชุนพร้อมกับหมัดที่ชกเข้าใส่ จ้าวฉางชุนหงายหลังในทันที ขาของชายคนนั้นเตะซ้ำที่เอวของเขา จนกระเด็นออกไปห้าหรือหกเมตรโดยตรง
“เถี่ยหยาง!”
หูเว่ยจวินผุดลุกขึ้นยืนและตะโกนทันที
ชายวัยกลางคนร่างใหญ่ที่รู้จักในชื่อ ‘เถี่ยหยาง’ หันมายิ้มให้หูเว่ยจวิน ก่อนจะกลับไปรับมือกับชายร่างใหญ่ทั้งแปดที่วิ่งดาหน้าเข้ามา
เถี่ยหยางลงมือฉับไว ซ้ำยังแข็งแกร่งมากอีกด้วย
ทุกกระบวนท่าที่ปล่อยออกไป ชายร่างใหญ่ทั้งแปดคนไม่อาจสู้เขาได้เลย กลายเป็นว่าฝ่ายหลังถูกทุบตีอยู่ฝ่ายเดียวจนคร่ำครวญ
จ้าวฉางชุนจับเอวที่บาดเจ็บและพยายามลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นว่าทั้งแปดคนล้มลง เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก โดยไม่คำนึงถึงความเจ็บ จ้าวฉางชุนหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความ
ในไม่ช้า รปภ. นับสิบคนก็วิ่งเข้ามาในห้องพร้อมกับกระบองไฟฟ้า
ใบหน้าของหลี่หงอี้มืดมนทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้อง ดวงตาเห็นภาพตรงหน้าอย่างชัดเจน
“บอส…”
ริมฝีปากของจ้าวฉางชุนสั่นเทา แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเพราะความเจ็บปวดที่คาง
หลี่หงอี้พยักหน้าให้ แล้วดวงตาที่เย็นชาก็หันไปมองหูเว่ยจวินกับชายร่างกำยำสองคนบนโซฟา
“เถี่ยหยาง ผู้สืบทอดมวยตระกูลเถี่ย ศิษย์ของชายชราที่มีแขนข้างเดียวจากทางเหนือ คุณไม่คิดตัวเองไร้มารยาทเกินไปหน่อยเหรอที่มาทำตัวกร่างที่นี่?” หลี่หงอี้กล่าวอย่างเย็นชา
“คิดว่าตัวเองเป็นใคร? ถ้าคุณไม่คุกเข่าขอร้องให้เรามาที่นี่เพื่อหม้อระงับวิญญาณ เราก็คงไม่สนใจคุณหรอก” เถี่ยหยางหัวเราะเยาะ
“ฮ่าฮ่า คุณมีคุณสมบัติที่จะอยากได้หม้อระงับวิญญาณหรือไม่” หลี่หงอี้ ตกใจที่ก้นบึ้งของหัวใจ แต่ใบหน้าของเขายังแสดงออกอย่างนิ่งเฉยและเยาะเย้ย
“หลี่หงอี้ คุณไร้ยางอายนักใช่ไหม ถ้าคุณมอบหม้อระงับวิญญาณอย่างเชื่อฟัง เราจะไว้ชีวิตคุณสักครั้ง แต่ถ้าคุณไม่มอบให้ อย่าหวังว่าพรุ่งนี้คุณจะได้เห็นดวงอาทิตย์” เถี่ยหยางกล่าวอย่างชั่วร้าย
“จริงเหรอ?”
หลี่หงอี้ยกแขนขึ้นกอดอก
เพียงชั่วพริบตา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายสิบคนรอบ ๆ ตัวเขาก็หยิบปืนพกออกมาทีละกระบอก โดยเล็งไปที่เถี่ยหยาง เกาจ้านเหวิน และหูเว่ยจวิน
“คุณมีพลังมากก็จริง แต่คิดเหรอว่าตัวเองจะชนะกระสุนปืนได้ งั้นถ้าปืนหนึ่งกระบอกไม่สามารถเอาชีวิตคุณได้ แล้วปืนสิบกระบอกล่ะ?” ดวงตาของหลี่หงอี้เป็นประกายเย็นชา แต่เขายังไม่ได้สั่งให้คนของเขายิง
นี่เพราะรู้เบื้องหลังของอีกฝ่าย จึงทำให้เขาเป็นกังวลอยู่บ้าง
หากอีกฝ่ายมีเพียงสองคน เขาคงฆ่าไปแล้ว
แต่ความจริง เบื้องหลังของพวกเขามีปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้หลายคน ไม่พอ ด้วยความแข็งแกร่งของปรมาจารย์เหล่านั้น ปืนพกธรรมดาแทบไม่สามารถคุกคามพวกเขาได้
“คุณกล้าปล่อยให้พวกเขายิงเหรอ?” สีหน้าของเถี่ยหยางเปลี่ยนไป ก่อนที่เขาจะส่ายหัวด้วยใบหน้าที่ดูถูกเหยียดหยามและกล่าวต่อว่า “ถึงคุณกล้า แต่คุณคิดว่าเราจะตายจริง ๆ เหรอ?”
ขณะที่พูด มีดบินสามเล่มพลันปรากฏขึ้นมาระหว่างนิ้วของเขาอย่างเงียบ ๆ
ณ ขณะนี้
ประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง
เป็นเฉิงห่าวและเพื่อนสองคนของเขา เหลียงฟางกับไป่จ้านเผิง
“โอ้ ดูสนุกกันดีนี่! มีทั้งปืนทั้งมีด คุณอยากเข้าวงการนักแสดงไหม บอสหลี่?” เฉิงห่าวเดินเข้ามาหาหลี่หงอี้ ก่อนจะส่ายหัวด้วยรอยยิ้มกึ่งหนึ่ง “คุณต้องเฟ้นหานักแสดงฝีมือดีมาเข้าฉากหน่อยสิ! ลูกพลับนิ่มพวกนี้จะไปช่วยคุณทำเงินได้ยังไงกัน?”
สีหน้าของหลี่หงอี้พลันบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด
เขาไม่คิดว่าคนทั้งสามจะเข้ามาอย่างกะทันหัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ศัตรู แต่หม้อระงับวิญญาณเป็นของที่เขาได้รับมาอย่างยากลำบาก
ณ ห้องอื่น
เสียงเพลงดังปลุกเร้าผสมกลิ่นของยาสูบกำจายแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ
โจวอี้หยิบไมโครโฟนขึ้นมา สายตามองดู MV เพลงที่กำลังเล่นบนหน้าจอ LCD ก่อนจะเริ่มร้องเพลงเสียงดัง
เขาไม่เคยไป KTV จึงไม่เคยใช้อุปกรณ์ร้องเพลงแบบนี้มาก่อน และเขาก็เคยเห็นแต่ในทีวี จึงมีความรู้สึกว่ามันน่าสนใจดี
ปัง
ประตูห้องโถงถูกผลักเปิดออก
หลินเวยกลับมามือเปล่าและท่าทีของเธอก็ผิดปกติ
“เป็นอะไรไป? อาหารกับไวน์ล่ะ?” โจวอี้หยุดร้องเพลง ก่อนจะถามขึ้นมา
“มีบางอย่างเกิดขึ้นในคลับ หัวหน้าใหญ่ขอให้เราแจ้งให้แขกทุกคนออกจากคลับโดยเร็วเพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบ” หลินเวยยิ้มอย่างขมขื่น
“เกิดอะไรขึ้น?” โจวอี้พูดด้วยความสงสัย
“มีคนมาก่อความวุ่นวาย” หลินเวยกล่าว
ก่อความวุ่นวาย?
มีคนบุกรุกเข้ามาในแล้วยังมาทำตัวยั่วยุโจ่งแจ้ง คุณจะไม่โกรธเหรอ?
หลี่หงอี้กำลังมีช่วงเวลาที่เลวร้ายในเมืองแห่งนี้!!
โจวอี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวแล้วพูดว่า “ผมถามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยข้างนอกแล้ว ด้วยบัตร VIP ผมสามารถอยู่ที่นี่ได้ฟรี ผมจะอยู่ที่นี่สองสามวัน”
“อย่าสร้างปัญหาสิ!” หลินเวยขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
“ใครกันแน่ที่มีปัญหา หลี่หงอี้หรือผม?” โจวอี้ถาม
“แน่นอนว่าเป็นคุณ ถึงหลี่หงอี้จะมีปัญหา 100% แต่ถ้าคุณไม่ยอมออกไป เราจะได้รับผลกระทบเต็ม ๆ แน่” หลินเวยพูดอย่างโกรธเคือง “อีกอย่าง สมาชิกของคลับจำเป็นต้องใช้เงินเพื่ออาศัยอยู่ที่นี่ เว้นแต่จะเป็นบัตรวีไอพีจริง ๆ”
“สรุปการ์ดใบนี้ไม่ดีเหรอ?” โจวอี้คลำหาบัตร VIP ของเขา
“โรสโกลด์? ทำไมนายถึงมีการ์ดวีไอพีแบบนี้ล่ะ?” หลินเวยดูประหลาดใจ
“แน่นอน หลี่หงอี้ให้มา!” โจวอี้ยักไหล่แล้วถามว่า “บัตร VIP ระดับนี้ใช้ฟรีได้ไหม?”
“ใช่!” ดวงตาของหลินเวยแปลกไปทันที และมองโจวอี้เหมือนกับเห็นสัตว์ประหลาด
“ทำไมมองผมแบบนี้ล่ะ? ผมเป็นศิษย์น้องคุณนะ คุณคงไม่คิดจะเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อนหรอกใช่ไหม” โจวอี้พูดติดตลก มือจุดบุหรี่อีกครั้ง
“ไอ้เด็กตัวเหม็น” หลินเวยตะลึงทันทีที่ได้ยิน
อันที่จริง เธอไม่กลัวว่าโจวอี้จะได้รับผลกระทบ ต่อให้โดนกระทบก็ไม่แน่ว่าใครกันแน่ที่จะต้องขาดทุน!
นี่เพราะเธอกับโจวอี้ได้เรียนรู้ศาสตร์การต่อสู้ตั้งแต่ยังเด็ก
“ศิษย์พี่ พาผมไปดูหน่อย!” โจวอี้ลุกขึ้นพูด
“ทำไม? ทำไมถึงอยากวิ่งเข้าหาปัญหากัน?” หลินเวยขมวดคิ้วและถามอย่างไม่เข้าใจ
“ถ้าหลี่หงอี้ให้บัตรสมาชิกธรรมดาแก่ผม ผมก็จะไม่ยุ่ง มากสุดผมแค่ยืนดูอยู่รอบนอกแค่นั้น แต่เขาดันให้บัตรวีไอพีแก่ผมซึ่งมันไม่ใช่ของธรรมดา นี่แสดงว่าอีกคนต้องการเป็นเพื่อนกับผมจริง ๆ เพราะงั้นเมื่อเขาเดือดร้อน ผมก็จำเป็นต้องยื่นมือไปยุ่ง” โจวอี้พูดอย่างใจเย็น
“มีเหตุผล!” หลินเวยพยักหน้าอย่างครุ่นคิด
“คุณเองก็เถอะ หลี่หงอี้เป็นเจ้านายและช่วยเลี้ยงครอบครัวคุณ คุณต้องยืนเคียงข้างเขา เมื่อเขาเจอปัญหาไม่ใช่เหรอ?” โจวอี้พูดติดตลก ขณะที่ก้าวเท้าเดินออกจากห้องไป
“ฉันเป็นแค่ผู้หญิงอ่อนแอ มือเท้าไม่แข็งแรงแล้วจะไปช่วยเขาได้ยังไง”
“…”
หน้าผากโจวอี้เต็มไปด้วยขีดสีดำ
ภาพบนภูเขาที่มีป่าไม้ปกคลุมลอยเข้ามาในทันที จำได้ว่าตอนนั้นเขาถูกหลินเวยกระทืบไม่ยั้ง!