หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - บทที่ 72 คำสาปพิฆาต
บทที่ 72 คำสาปพิฆาต
บทที่ 72 คำสาปพิฆาต
ผนังด้านในของหม้อระงับวิญญาณเรียบราวกับกระจก แสงสีแดงจาง ๆ ฟุ้งออกมาราวกับการรวมตัวและการกระจัดกระจายของเงาสัตว์ มันคล้ายกับภาพลวงตาที่พร่าเลือน
โจวอี้ถือหม้อระงับวิญญาณด้วยหัวใจที่เริ่มกระจ่างชัด
เขาจำได้ว่าเคยเห็นหม้อหน้าตาแบบนี้!
บนแท่นบูชาที่อาจารย์บูชาสวรรค์และปฐพีมีหม้อขนาดใหญ่สองหม้อรูปทรงนี้อยู่
ตอนเด็ก ๆ เขาเคยทำความสะอาดหม้อแบบนี้ และมันมีแสงไฟสีแดงอยู่ภายใน
เขาเห็นลายมือเขียนไว้ว่า… ‘รวม’
และในหม้อมีคำว่า ‘เกิด’
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ได้รับอิทธิพลจากสองคำนี้
การฝึกฝนที่เคยน่าเบื่อกลายเป็นเรื่องสนุก อีกทั้งคลื่นพลังที่ยากต่อการรับรู้ในอดีตนั้นชัดเจนและง่ายต่อการจับต้องมากขึ้น นับตั้งแต่นั้นมา ความเร็วในการฝึกฝนของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้…
โจวอี้ถือหม้อระงับวิญญาณ ขณะเดียวกันพลังปราณแก่นแท้ในร่างพลันมารวมตัวกันที่ปลายนิ้วของเขาและละลายลงในหม้อ
เขาเห็นมันอีกครั้ง!
ม่านแสงสีแดงไหลมาบรรจบกันเป็นตัวอักษรสีแดงเป็นคำว่า ‘เพิ่ม’
ทันใดนั้นร่างกายของโจวอี้พลันสั่นสะท้าน พลังปราณที่เข้าไปในหม้อน้ำก็สัมผัสได้ถึงตัวอักษร ‘เพิ่ม’ และกลายเป็นแสงสีแดงสดตามเส้นลมปราณนับไม่ถ้วน จากนั้นแทรกซึมเข้าไปในนิ้วและมือของชายหนุ่มอย่างช้า ๆ ในที่สุดเขาก็ไม่รู้สึกถึงมันอีกและไม่อาจจับต้องได้อีกแล้ว
“เป็นแบบนี้อีกแล้ว!”
“สถานการณ์นี้คืออะไร? เป็นไปได้ไหมว่าตัวอักษรสีแดงในหม้อคือคำสาปพิฆาต?”
“มีหม้อระงับวิญญาณทั้งหมดเก้าใบ เช่นนั้นมีคำสาปพิฆาตทั้งหมดเก้าอันหรือไม่”
ถ้าเป็นเช่นนั้น …เขาไม่มีอยู่สามคำแล้วหรือไง?”
แววตาของโจวอี้เป็นประกาย เขาใส่หม้อระงับวิญญาณกลับเข้าไปในกระเป๋าเดินทางแล้วหันไปหาหลี่หงอี้พลางถามว่า “คุณช่วยบอกผมเรื่องหม้อระงับวิญญาณเพิ่มเติมอีกหน่อยได้ไหม ผมเคยอ่านผ่าน ๆ เรื่องหม้อระงับวิญญาณทั้งเก้าในเอกสารกับหนังสือประวัติศาสตร์ แต่ยังไม่เคยเห็นบันทึกเกี่ยวกับหม้อระงับวิญญาณจริง ๆ จัง ๆ ในหนังสือเล่มไหนเลย?”
“โอเค ผมจะเล่าให้ฟัง!”
เฉิงฮ่าวเหลือบมองหลี่หงอี้และเล่าออกมา “หม้อระงับวิญญาณเก้าใบเป็นสมบัติของรัฐ ว่ากันว่าเป็นเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์แห่งเก้าอาณาจักร และขาหม้อจะแสดงแผนที่ของเก้าอาณาจักร”
“ในราชวงศ์ฉิน จักรพรรดิผู้ครองราชย์ได้เรียกนักเวทสามพันหกร้อยคนจากทั่วทุกมุมโลก ใช้เวลาสามปีในการหล่อหม้อระงับวิญญาณเก้าใบ แม้ว่าพวกมันจะสามารถสร้างความเจริญแก่บ้านเมืองได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการกำจัดภัยพิบัติ”
“วีรบุรุษทั้งเจ็ดต่อสู้เพื่ออำนาจ สังหารหกอาณาจักร และต่อต้านภัยธรรมชาติกับภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น ว่ากันว่าโลกในขณะนั้น …โลหิตเปรียบเสมือนแม่น้ำ ศพเป็นดั่งภูผา และวิญญาณชั่วร้ายถูกสะสมเหมือนหมู่เมฆทำให้ท้องฟ้ามืดบอด รบกวนสายใยวิญญาณ และความเจริญรุ่งเรืองของประเทศถดถอยพังทลายได้ทุกเมื่อ”
“หม้อระงับวิญญาณถูกหลอมและส่งมอบให้กับนายพลไป่ฉี ผู้บัญชาการของราชวงศ์ฉิน”
เฉิงฮ่าวทอดถอนหายใจ “ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ ไป่ฉี เทพเจ้าแห่งการสังหารประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่สุดท้ายก็ถูกจักรพรรดิสังหาร ตามบันทึกอย่างไม่เป็นทางการ ไป่ฉีหรือเทพเจ้าแห่งการสังหาร อาสาเพื่อแสวงหาพรแก่สามัญชน และเต็มใจที่จะใช้ชีวิตกับจิตวิญญาณกระตุ้นพลังของหม้อระงับวิญญาณทั้งเก้า เพื่อกำจัดวิญญาณชั่วร้ายและฟื้นฟูพรแห่งสวรรค์”
โจวอี้ไม่ได้คาดหวังว่าการพาดพิงทางประวัติศาสตร์เช่นนี้จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
เขายังเข้าใจด้วยว่าหม้อระงับวิญญาณเป็นเพียงการเลียนแบบหม้อจิ่วติ่ง*[1] กระนั้นประสิทธิภาพของมันก็ไม่อ่อนแอเลย
“พี่เฉิง พี่หลี่บอกผมก่อนหน้านี้ว่ามีคำสาปพิฆาตในหม้อแต่ละใบ จริงหรือเท็จกัน?” โจวอี้ถาม
“ว่ากันว่าเป็นความจริง และหมอระงับวิญญาณทั้งเก้ามีลักษณะเฉพาะคือ สงบ ฆ่า ขับ หลับ กำจัด เพิ่ม รวม เกิด และตาย” เฉิงฮ่าวยิ้มอย่างขมขื่น “น่าเสียดาย นี่เป็นข่าวลือและไม่มีใครสามารถยืนยันได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง ควรมีมนต์อักขระ ‘เพิ่ม’ ในหม้อใบที่หก”
มันเป็นเรื่องจริง!
ฉันพิสูจน์ได้!
โจวอี้ตะโกนก้องอยู่ในใจ แต่เขาไม่ได้พูดออกมา
เขาตระหนักว่าหม้อระงับวิญญาณเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็เป็นเผือกร้อนด้วย มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยากได้มัน ถ้าผู้คนรู้ว่าเขาเห็นความลับในหม้อก็กลัวว่าพวกมันจะเป็นที่ต้องการของผู้คนนับไม่ถ้วน
ฉะนั้นเก็บไว้เป็นความลับ!
โจวอี้หายใจเข้าลึก ขณะนี้เห็นว่าเฉิงฮ่าวกับหวงไห่เทาจับหม้อระงับวิญญาณไปมาและมองเข้าไปข้างใน ชายหนุ่มพลันก้าวถอยหลังและนั่งลงบนโซฟาเพื่อจุดบุหรี่
“คุณหวง พี่เฉิง เมื่อไหร่คนของคุณจะพร้อม” โจวอี้ถาม
“เราทุกคนมาถึงที่นี่ได้อย่างช้าที่สุดคือเช้าวันพรุ่งนี้” หวงไห่เทาตอบ
“ผมขอเวลาแค่สามชั่วโมง” เฉิงฮ่าวกล่าว
“ถ้าอย่างนั้นก็พักผ่อนอยู่ที่นี่สักสองสามวันเถอะ! ด้วยพลังป้องกันของเรามันไม่น่าจะยากที่จะต่อกรกับศักตรูที่บุกเข้ามา แต่ถ้ามีคนที่แข็งแกร่งจริง ๆ เราทำได้แค่หลบหนีเท่านั้น” โจวอี้กล่าวโดยมองไปที่หลี่หงอี้
“ถ้ามีผู้ชายที่แข็งแกร่งขนาดนั้นจริง ๆ ก็แค่ส่งหม้อนี้ไปให้” หลี่หงอี้คลี่ยิ้มอย่างขื่นขม
“ถ้าคุณมอบมันให้เขา คนที่ได้รับหม้อระงับวิญญาณจะไม่ฆ่าคุณปิดปากหรอกเหรอ” โจวอี้ถามกลับ
หลายคนเงียบงันเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
พวกเขารู้ว่าชายผู้นี้พูดถูก ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น
สองวันพ้นผ่าน
โจวอี้กิน นอน ฝึกฝน และดื่มบ้างระหว่างวัน เขาเข้ากันได้ดีกับหวงไห่เทา เฉิงฮ่าว และคนอื่น ๆ
แต่ลึก ๆ แล้วก็ยังคิดถึงลูกสาวจับใจ
…
ถังเจิ้นสวมชุดรำไทเก๊กอยู่ที่ลานหญ้า จากนั้นก็เห็นหลานสาววิ่งกลับมาจากข้างนอกพลางพึมพำอะไรบางอย่าง
“หลานตัวดีกำลังพูดอะไรอยู่น่ะ หนูไปที่บ้านของเพื่อนบ้านอีกแล้วเหรอ?” ถังเจิ้นทักทายเธอด้วยรอยยิ้ม
“นั่นไม่ใช่บ้านเพื่อนบ้านหนูสักหน่อย แต่เป็นบ้านของเหมียวเหมี่ยวด้วยต่างหาก” ถังเหมียวเหมี่ยวตอบ
“ใช่แล้ว เจ้าหญิงน้อยของเราอยู่ที่ไหนก็เหมือนบ้านตัวเองไปหมด” ถังเจิ้นย่อตัวลงและพยายามอุ้มหลานสาวขึ้นมา แต่ถังเหมียวเหมี่ยวกลับหลบหลีก
“ทำไมล่ะ ตาอุ้มไม่ได้เหรอ” ถังเจิ้นถามด้วยความน้อยใจ
“ไม่ หนูอยากให้พ่ออุ้ม…”
“เหมียวเหมี่ยว…”
ร่างของถังหว่านปรากฏขึ้นที่ประตูและกล่าวเสียงดุดันกับเหมียวหมี่ยว จากนั้นเธอก็มองไปที่ถังเจิ้นและพูดว่า “พ่อคะ ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว เรามากินข้าวกันดีกว่า”
“อืม!”
ถังเจิ้นกล่าวเห็นด้วย แต่ในใจกลับรู้สึกโดดเดี่ยว
ในเวลาเพียงสองวัน เขาได้ยินหลานสาวพูดคำว่า ‘พ่อ’ ออกมาหลายหน เขารู้สึกขยะแขยงและเกลียดชังลูกเขยราคาถูกที่ไม่เคยพบหน้าเลยสักหน
ปีนั้น…
ถ้าลูกสาวไม่พยายามอย่างหนักที่จะหยุดเขาไว้ เช่นนั้นตนคงจะรีบดิ่งไปที่ภูเขาชางหลางเพื่อทุบตีเจ้าสารเลวที่ทำลายลูกสาวเขา
ในห้องอาหาร
ฉินฮุ่ยเฟินวางโจ๊กร้อนลงบนโต๊ะ เมื่อเห็นหลานสาวเดินเข้ามาอย่างกระสับกระส่าย เธอก็ถามด้วยความสงสัย “เหมียวเหมี่ยว ทำไมหนูดูไม่มีความสุขล่ะ ไปไหนมา?”
“หนูไปหาพ่อที่อยู่บ้านข้าง ๆ อาหารเช้าที่ยายทำไม่อร่อยเลย หนูอยากกินอาหารเช้าที่พ่อทำ” ถังเหมียวเหมี่ยวก้มหน้ากล่าวไปพลางน้ำตาเอ่อคลอ
[1] หมอจิ่งติ่งเป็นหม้อสามขาที่มีเก้าใบ กำเนิดในยุคราชวงศ์เซี่ย (จักรพรรดิอวี่)