หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - บทที่ 74 ลูกศิษย์
บทที่ 74 ลูกศิษย์
บทที่ 74 ลูกศิษย์
ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังออกมา ทุกคนจึงหันมองหน้ากัน
ชายชราถือไม้เท้าดูโกรธจัดและรู้สึกว่าโจวอี้กำลังหัวเราะเยาะตน
“เจ้าหนู โอหังเกินไปรึเปล่า” ชายคนนั้นพูดและกำลังจะลงมือ
“ไม่ ไม่ ไม่ คุณเข้าใจผิดแล้ว” โจวอี้รีบโบกไม้โบกมือและพยายามกลั้นเสียงหัวเราะ “ผมขอถามชื่อยารักษาอันล้ำค่าที่คุณจะให้ได้ไหม”
“ยาบำรุงจิตวิญญาณ” ชายชรากล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“ฟู่… แค่ก ๆ ยาดี ๆ เป็นยาดีจริง ๆ ด้วย ขอบคุณที่ช่วยนะครับ แต่ทีหลัง… หึ” โจวอี้รู้สึกขบขัน เมื่อลูกสาวของตนเป็นหวัด เขาก็ให้ยาบำรุงจิตวิญญาณแก่เธอ
ล้ำค่า?
อาจมีค่าในสายตาคนอื่น
แต่ในสายตาของชายหนุ่ม ยาบำรุงจิตวิญญาณเป็นยาที่เลวร้ายมาก เพราะมันสามารถสกัดออกมาเป็นรูปแบบเจลลี่แล้วให้ผู้ป่วยกินได้ง่าย ๆ
“บ้าจริง แกกล้าล้อเลียนฉันเหรอ” แววตาของชายชราเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ไม่ทันไรเขาก็ปรากฏตัวต่อหน้าโจวอี้ในชั่วพริบตา
ไม้เท้ากลายเป็นลำแสงซ้อนทับกันกวาดไปทางโจวอี้ราวกับปิดกั้นผืนฟ้าและสุริยา
“ถ้าคุณไม่เห็นด้วย งั้นผมคงต้องลงมือ แต่ดูเหมือนพลังของคุณจะน้อยไปหน่อย!” โจวอี้พูดไปแบบนี้ แต่ในใจกลับระวังตัวเป็นอย่างดี ด้วยปราณแก่นแท้ในร่างพลุ่งพล่าน มือของเขาดูเหมือนจะอืดอาดและอ่อนแอ แต่พวกมันเหมือนผีเสื้อโบยบินรอบ ๆ หมู่มวลดอกไม้
วินาทีถัดมา
โจวอี้ถอยไปหลายก้าวเพื่อให้ยืนหยัดทรงตัวได้
แม้ว่าชายชราจะถอยหลังไปสองก้าว แต่เขาพุ่งไปที่ชายหนุ่มอีกครั้งด้วยการโจมตีที่รุนแรง
ฟุบ!
ทันใดนั้นร่างเงาก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าโจวอี้
นั่นไม่ใช่ร่างเงาของชายชราถือไม้เท้า แต่เป็นชายชราหลังค่อมที่เคลื่อนกายพลิ้วไหวอย่างกล้าหาญ และเป้าหมายไม่ใช่ชายหนุ่ม แต่เป็นชายชราถือไม้เท้า!
“กำลังปกป้องเด็กคนนี้อยู่รึ?” ใบหน้าของชายชราถือไม้เท้าบิดเบี้ยวน่าเกลียดขณะกล่าวด้วยความโกรธเคือง และเมื่อโต้ตอบไม่ได้เขาจึงค่อย ๆ ก้าวเท้าถอยหลังไป
“มีปัญหาหรือไง?” ฝ่ามือของต้าเจียงอูสั่นเล็กน้อย แต่เขากลับเชิดหน้าพูดด้วยเสียงเย็นเยียบไร้ความหวั่นเกรง จากนั้นก็หันไปมองโจวอี้และถามด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ “เจ้าหนู นายเพิ่งใช้วิชามือสัมผัสกระดูกรึ?”
“เอ๊ะ คุณรู้จักมือสัมผัสกระดูกด้วยเหรอ?” โจวอี้ไม่ได้คาดหวังว่าชายชราหลังค่อมไม่เพียงแต่ไม่โจมตีเขา แต่ยังออกโรงปกป้องด้วย แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการก็เถอะ
“แล้วนายเป็นใคร ทำไมถึงรู้จักทักษะเฉพาะของสำนักโอสถ” ต้าเจียงอูถาม
“ในฐานะศิษย์ของสำนักโอสถ ไม่แปลกที่จะใช้มือสัมผัสกระดูกได้ใช่ไหม?” โจวอี้ถามกลับ
“ศิษย์สำนักโอสถ? นาย…” ต้าเจียงอูไม่เชื่อ เขากระทืบเท้าแล้วพูดอย่างโกรธเคือง “นายไม่มีอะไรทำจนต้องมาหาความบันเทิงที่นี่งั้นเหรอ เหอะ …แล้วในฐานะศิษย์สำนักโอสถ นายสนใจเกี่ยวกับหม้อระงับวิญญาณด้วยเหรอ”
อีกด้าน…
ชายชราที่มีไม้ค้ำยันและมีใบหน้าซูบตอบดูหมองคล้ำลงถนัดตา
เขาไม่เคยคิดว่าเด็กคนที่ชื่อโจวอี้จะเป็นศิษย์สำนักโอสถ!
ไม่แปลกใจเลย…
ไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายได้ยินชื่อ ‘ยาบำรุงจิตวิญญาณ’ แล้วหัวเราะอย่างบ้าคลั่งระคนเหยียดหยาม
ยาดีในสายตาตัวเองอาจไม่มีค่าในสายตาคนอื่น
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นลูกศิษย์สำนักโอสถ ต่อให้อีกฝ่ายดุด่าว่ากล่าวอย่างไร เขาก็จะยืดอกแบกรับมันไว้!
“ผมไม่ได้สนใจหม้อระงับวิญญาณ แต่มีคนขอให้ช่วยดูแลมันสักสองสามวัน เมื่อการประมูลสิ้นสุดลงในวันพรุ่งนี้ เรื่องนี้ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับผมอีก” โจวอี้กล่าว
“ใครเป็นอาจารย์ของนาย” ต้าเจียงอูถามทันที
“แซ่อาจารย์ของผมคือฉู่”
“ฉู่เทียนฮุ่ย?”
“รู้จักเหรอ?” โจวอี้พูดไม่ออก
“เอาล่ะ เพราะเป็นศิษย์ของสำนักโอสถที่คอยปกป้องหม้อระงับวิญญาณ เราถอยกันเถอะ” ต้าเจียงอูยิ้มอย่างขมขื่นและรีบจากไปพร้อมกับชายวัยกลางคนสองคน
แค่เนี้ย?
โจวอี้รู้สึกสมองปวดหนึบ ชายผู้นั้นเข้ามาอย่างโผงผาง และตั้งใจแน่วแน่ที่จะได้หม้อระงับวิญญาณ พอรู้ว่าเขาเป็นศิษย์ของสำนักโอสถก็จากไปเช่นนี้น่ะรึ?
ชายผู้นั้นหวั่นกลัวสำนักโอสถหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีศิษย์เพียงไม่กี่คนในสำนักโอสถ!
ชายชราถือไม้ค้ำยันมีสีหน้าลำบากใจขณะกำหมัดแน่นแล้วพูดว่า “น้องโจว จะว่าอย่างไรดี คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด และฉันก็ไม่รู้ว่านายเป็นลูกศิษย์สำนักโอสถก็เลยแสดงกริยาไม่ดีออกมา …หวังว่านายจะดูแลหม้อระงับวิญญาณนั่นไว้ได้”
“คุณไม่อยากดูมันแล้วเหรอ?” โจวอี้ยิ่งสับสนมากขึ้น
“ไม่ล่ะ พรุ่งนี้ฉันจะไปประมูล” ชายชราหัวเราะแห้ง ๆ
“…”
โจวอี้ไม่รู้จะพูดอะไรเมื่อเห็นผู้คนรีบออกไปเช่นนี้ เขาจึงยกมือขึ้นลูบหลังคอเบา ๆ และหันไปหาหลินเวย
“อย่ามองสิ ฉันไม่รู้” หลินเวยส่ายหน้าไปมา
อันที่จริงเธอไม่ใช่ลูกศิษย์สำนักโอสถ ถ้าต้องนับจริง ๆ เธอก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
ทำไมน่ะเหรอ…?
เนื่องจากเธอไม่ได้เรียนทักษะการแพทย์เลย แต่เพราะมีร่างกายพิเศษ ฉู่เทียนฮุ่ยจึงรับเธอเป็นศิษย์เมื่อครั้งยังเด็กและให้เรียนศิลปะการต่อสู้
“อะแฮ่ม บางทีผมอาจจะรู้อะไรบางอย่าง” เฉิงฮ่าวไอค่อก ๆ แค่ก ๆ อยู่หลายครา
“คุณรู้?” ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจ
“น้องโจว สำนักโอสถเป็นสำนักที่พิเศษมากในโลกศิลปะการต่อสู้โบราณ แม้ว่าผมจะไม่ใช่นักสู้ที่แท้จริงในโลกศิลปะการต่อสู้โบราณ แต่ก็ยังได้ยินคำพูดที่ว่า ‘เป็นการดีกว่าที่จะกระตุกหนวดปีศาจเฒ่าในหมินซานมากกว่าศิษย์สำนักโอสถ’ หากไม่มีความเกลียดชังฝังลึก ก็แทบไม่มีใครกล้ารุกรานลูกศิษย์สำนักโอสถ” เฉิงฮ่าวหัวเราะ
“ทำไมกัน?” โจวอี้ฉงน
“เพราะนักหลอมโอสถประจำสำนักเป็นผู้ช่วยชีวิตผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้โบราณ เพราะพวกเขามักได้รับบาดเจ็บ และนักหลอมโอสถสามารถรักษาได้ด้วยยาทุกชนิด” เฉิงฮ่าวกล่าว
“เพียงเพราะเรื่องนี้?” โจวอี้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“มีอีกเหตุผลหนึ่งที่น่าจะเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ นักรบโบราณมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน พวกเขาให้ความสำคัญกับการเคารพอาจารย์และศีลธรรมมากที่สุด อีกทั้งยังใส่ใจในเรื่องของความกตัญญู ผมไม่รู้ว่าพวกเขารักษานักรบมากี่คนแล้ว ซึ่งคนเหล่านี้จะจดจำความเมตตาและรอว่าสักวันจะมีโอกาสตอบแทนน้ำใจ หากใครกล้ายั่วยุหรือทำร้ายลูกศิษย์สำนักโอสถละก็… คงได้เห็นดีกัน” เฉิงฮ่าวกล่าวอย่างจริงจัง
โจวอี้เข้าใจแล้ว!
ทันใดนั้นก็จำสัญญาหนี้ที่เขานำลงมาจากภูเขาได้
เท่าที่รู้ สัญญาหนี้ที่ได้รับเมื่อลงจากภูเขานั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของจำนวนที่อยู่ในมือของอาจารย์
กล่าวคือมีนักต่อสู้โบราณหลายคนจากกองกำลังต่าง ๆ ที่เป็นหนี้ อาจารย์ หรือแม้แต่ศิษย์คนอื่น ๆ ของสำนักโอสถ
สุดเจ๋ง!
ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตัวเขาดูมีเกียรติมากขึ้น
แต่แล้วก็อดหัวเราะไม่ได้และรู้สึกว่าคงคิดมากเกินไป
ศิษย์ของสำนักโอสถนั้นแม้จะมีคนยำเกรง แต่ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน แม้จะมีมิตรก็อาจะมีศัตรูด้วย
บางคนที่ซ่อนเจตนาชั่วร้ายไว้อาจไม่กล้าเปิดเผย แต่มีแนวโน้มว่าจะลงมือกระทำอย่างลับ ๆ
กริ๊ง…
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขัดจังหวะความคิดของโจวอี้
เขาหยิบมันออกมาและเห็นว่าเป็นถังหว่านที่โทรเข้ามา หลังจากรับสายชายหนุ่มก็ถามว่า “อะไรนะ? พ่อแม่ของคุณมาจินหลิงแล้วเหรอ?”
“เรื่องที่คุณมาที่จินหลิง พวกเขารู้แล้วว่าคุณอยู่ข้างบ้านของเรา พวกเขาต้องการพบคุณตอนนี้” เสียงของถังหว่านดังมาจากโทรศัพท์มือถือ
พ่อแม่ภรรยาต้องการพบเขา?
ตอนนี้?
โจวอี้มองดูผู้คนรอบ ๆ จากนั้นหันไปมองมือปืนหลายสิบคน เขาลังเลครู่หนึ่งและตอบกลับไปว่า “วันนี้ผมไม่ว่าง ผมจะกลับไปคุยพรุ่งนี้”