หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - บทที่ 95 ของเล่น
ตอนที่ 95 ของเล่น
เช้าตรู่ ฉินเหยาที่เพิ่งนอนเมื่อกลางดึก ได้ยินเสียงไก่ขันของหมู่บ้านจึงลุกขึ้น
หลังจากเตรียมตัวเล็กน้อย นางก็หยิบแบบร่างที่อดหลับอดนอนวาดไว้บนโต๊ะสองฉบับขึ้นมาเตรียมออกไปข้างนอก
เอ้อร์หลางยื่นหัวเล็กๆ ออกมาจากห้อง เขามองซ้ายมองขวาก่อนหนึ่งรอบ พอไม่เห็นเงาของท่านพ่อจึงกระซิบเรียก “ท่านน้า”
ฉินเหยากำลังจะก้าวออกจากบ้านแล้ว ทว่าเมื่อได้ยินเสียงเรียกแผ่วเบาจากด้านหลัง นางจึงหันกลับมาถามด้วยความสงสัย
“ทำไมตื่นเช้าเพียงนี้เล่า”
ปกติตื่นมาฝึกซ้อมยามเข้าก็ไม่ได้ขยันขนาดนี้นี่
เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวเล็กไม่ได้อยากตื่นมาออกกำลังกาย แต่มีเรื่องอื่น
เขากุมหน้าอกเล็กๆ ของตนก่อนจะวิ่งเข้ามาหาแล้วล้วงเงินแปดเหวินออกมาจากอกเสื้อ ถามนางว่านางจะไปหมู่บ้านเซี่ยเหอใช่หรือไม่ ช่วยซื้อของบางอย่างกลับมาให้เขาได้หรือไม่
หมู่บ้านเซี่ยเหอเองก็มีพ่อค้าหาบเร่ ที่นั่นมีสินค้าครบครันกว่าบ้านพ่อค้าหาบเร่หลิวมาก
“จะซื้ออะไรหรือ” ฉินเหยาถามพลางยิ้มด้วยความสนใจ
ครั้งก่อนที่นางไปบ้านตระกูลติง นางให้เอ้อร์หลางเก็บเงินสองเฉียนไว้ใช้ยามฉุกเฉิน แต่ไม่ได้ใช้เลย ทำให้เงินจำนวนนั้นยังอยู่ครบ
เมื่อกลับมาบ้าน เอ้อร์หลางก็แอบมาหานางเพื่อคืนเงินให้
แต่ฉินเหยาไม่รับคืน เพราะคิดว่าเด็กๆ ก็ควรมีเงินเก็บของตัวเองบ้าง นางจึงเรียกพี่น้องทั้งสี่มาพร้อมกันแล้วให้พวกเขาแบ่งเงินสองเฉียนนี้เอาไว้เป็นเงินเก็บ โดยให้เอ้อร์หลางเป็นผู้ดูแลชั่วคราว
จะใช้เงินอย่างไรนั้นฉินเหยาไม่ยุ่งเกี่ยว นางยังหวังด้วยซ้ำว่าเด็กๆ จะกล้าตัดสินใจขึ้นบ้าง ให้พวกเขามีความเอาแต่ใจแบบเด็กๆ บ้าง อยากซื้ออะไรก็ซื้อ ขอแค่มีความสุขก็พอ
แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้ทำเช่นนั้น แถมเอ้อร์หลางยังตั้งกฎขึ้นมาว่า หากจะใช้เงินต้องยื่นเรื่องขออนุมัติก่อน เพื่อจัดการเงินของพี่น้องทั้งสี่อย่างเป็นระเบียบ
เงินสองเฉียน แบ่งตามสิทธิ์คนละห้าสิบเหวิน และครั้งนี้พวกเขาแต่ละคนออกเงินคนละสองเหวินเพื่อซื้อของชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เด็กทั้งสี่ใช้เงิน
ดังนั้นเอ้อร์หลางจึงดูระมัดระวังเป็นพิเศษ เขากะพริบตากลมโตมองฉินเหยาอยู่หลายครั้ง จนแน่ใจว่านางจะไม่โกรธถึงพูดออกมาว่า
“อยากซื้อชู่จวี[1]ที่สานจากไม้ไผ่ ได้ไหมขอรับ”
ฉินเหยา “ลูกไม้ไผ่?”
เอ้อร์หลางพยักหน้ารัวๆ ด้วยความคาดหวัง
“ได้ เข้าใจแล้ว” ฉินเหยารับเงินของเขาไว้แล้วออกจากบ้าน เด็กตัวเล็กๆ อยากได้ของเล่น นางต้องทำให้พวกเขาสมหวังให้ได้
เอ้อร์หลางมองดูฉินเหยาเดินออกไปไกล เขายังคงตกอยู่ในอาการมึนงง เขาคิดเรื่องนี้ทั้งคืนเพื่อเตรียมตัวทำใจ แต่ไม่คิดเลยว่าแม่เลี้ยงจะตอบตกลงง่ายดายขนาดนี้ แถมยังไม่มีคำพูดตำหนิทำนองว่าของเล่นทำให้เสียคนออกมาเลยสักคำเดียว!
มัน…ช่างมีความสุขเหลือเกิน!
เอ้อร์หลางวิ่งกลับเข้าห้อง ข้างในห้อง ต้าหลางและน้องๆ โผล่ศีรษะออกมาจากผ้าห่มพร้อมกัน เมื่อเห็นเอ้อร์หลางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม พี่น้องทั้งสามก็ดีใจจนกลิ้งไปมาบนที่นอน
“ข้าชอบท่านแม่ที่สุดเลย~” ซื่อเหนียงพึมพำออกมา
ซานหลางก็ตอบอื้มๆ “ท่านแม่ดีที่สุดเลย!”
ต้าหลางมองดูน้องๆ ที่กำลังดีอกดีใจ ก่อนจะคว้าตัวเอ้อร์หลางที่กำลังจะปีนกลับขึ้นเตียงมานอนต่อให้ลุกขึ้น แต่งตัวแล้วลากออกไปฝึกยามเช้า
เอ้อร์หลางเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกพี่ชายลากมาถึงริมแม่น้ำแล้ว คิดมากทั้งคืน สุดท้ายกลับคิดเก้อเสียแล้ว!
ฉินเหยาเดินไปบ้านช่างไม้หลิวก่อน ส่งแบบร่างกังหันน้ำของหมู่บ้านเซี่ยเหอให้เขา จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังทางเข้าหมู่บ้านเพื่อเดินทางไปยังหมู่บ้านเซี่ยเหอ
จากระยะไกล นางมองเห็นต้าหลางกับน้องชายกำลังวิ่งไปมาบนคันนา ท้องฟ้าสีครามยามเช้า ทุ่งนาเขียวขจี เด็กๆ วิ่งซุกซนไปมา ภาพนี้ดูอบอุ่นและชวนให้รู้สึกสบายใจนัก
ฉินเหยาเดินเร็ว ใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษก็มาถึงหมู่บ้านเซี่ยเหอ
นางส่งแบบร่างให้หวังอวี่ หวังอวี่จึงเรียกช่างไม้ของหมู่บ้านมาร่วมกันกำหนดรายละเอียดทั้งหมด หลังจากนั้นฉินเหยาก็ไปหาพ่อค้าหาบเร่ของหมู่บ้านเซี่ยเหอซื้อชู่จวีไม้ไผ่หนึ่งลูก ใช้เงินไปหกเหวิน ยังเหลืออีกสองเหวิน
เมื่อนางกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว
พี่น้องทั้งสี่กลับเข้าห้องไปนอนกลางวัน เก็บแรงไว้สำหรับฝึกเขียนหนังสือและท่องบทเรียนในช่วงบ่าย
ฉินเหยาค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบ วางชู่จวีและเงินสองเหวินที่เหลือไว้บนโต๊ะตัวใหญ่ของพวกเขา เมื่อนึกภาพตอนที่เด็กๆ ตื่นขึ้นมาเห็นของเล่นแล้วดีใจ นางก็เผลอคลี่ยิ้มอ่อนโยนออกมา
หลังจากวางของเรียบร้อย นางก็ปิดประตูเบาๆ แล้วเดินออกมา ลานบ้านถูกกวาดจนสะอาดเรียบร้อย แต่ลูกไก่สี่ตัวที่ปล่อยออกจากกรงเติบโตขึ้นไม่น้อย และตอนนี้มันก็เริ่มขับถ่ายเรี่ยราดเต็มพื้นอีกแล้ว
ฉินเหยาหยิบพลั่วเล็กที่อยู่ข้างประตู เก็บมูลไก่แล้วกลบไว้ในแปลงผัก ปุ๋ยธรรมชาติแท้ๆ ไม่มีที่ไหนดีไปกว่านี้อีกแล้ว
หลังจากเก็บกวาดมูลไก่เสร็จ นางก็ล้างมือให้สะอาดแล้วเสียงของหลิวจี้ก็ดังมาจากโถงบ้าน “ข้าวอุ่นไว้บนเตาแล้ว”
พูดจบเขาก็ก้มหน้าคัดลอกหนังสือต่อ ดูเอาจริงเอาจังยิ่งนัก
ถ้าเมื่อครู่ตอนที่นางเดินเข้าบ้านไม่ได้ยินเขาฮัมเพลงละก็ ฉินเหยาอาจจะเชื่อว่าเขาขยันจริงๆ ก็ได้!
เมื่อเข้าไปในครัว ก็พบว่ามีหม้อข้าวคลุกผักอุ่นอยู่บนเตาด้วยไฟอ่อนๆ ตามคาด
เมื่อตอนเช้าตั้งใจทำอาหารเผื่อไว้สำหรับมื้อเที่ยง ต้มข้าวต้มแล้วนำกับข้าวลงไปคลุก หากรู้สึกว่ารสชาติไม่สดชื่นพอก็แค่เด็ดผักสดจากสวนมาล้าง สับให้ละเอียดแล้วโรยลงไป แม้รูปลักษณ์จะดูไม่น่ากินนัก แต่รสชาติดีทีเดียว
ฉินเหยายกหม้อข้าวขึ้นมา วางเก้าอี้ไม้ตัวเล็กสองตัวลง ใช้ตัวหนึ่งเป็นโต๊ะ อีกตัวเป็นที่นั่งแล้วนั่งกินคำโตอยู่หน้าประตูครัว
ลานบ้านเงียบสงบ มีเพียงเสียงขีดเขียนหนังสือดังมาจากโถงบ้าน หลังคาบ้านช่วยบดบังแสงแดดร้อนแรงยามเที่ยง ทอดเงาร่มเย็นลงมา ฉินเหยากินข้าวไปพลาง รู้สึกว่าหากได้นั่งเช่นนี้ไปจนชั่วกัลปาวสานก็คงดีไม่น้อย
น่าเสียดาย ยังมีงานต้องทำอีกมาก
กินข้าวจนอิ่มแล้ว ฉินเหยาก็หันไปสั่งการคนบางคนในบ้าน “ตอนบ่ายทำกับข้าวที่มีเนื้อสัตว์หน่อย”
หลิวจี้รีบเงยหน้าขึ้น “ในบ้านไม่มีเนื้อแล้ว”
ฉินเหยาพิงขอบประตูครัวกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “ไม่มีแล้วเจ้าไปซื้อไม่ได้รึ เรื่องในครัวข้าไม่ยุ่ง มันเป็นหน้าที่ของเจ้า เจ้าก็คิดหาวิธีเอาสิ”
“เช่นนั้นไปซื้อหมูรมควันหน่อยดีไหม”
ฉินเหยายักไหล่ไม่ใส่ใจ “ตามใจเจ้าเถอะ ยังไงคืนนี้ข้าต้องได้กินเนื้อกับข้าวขาว ช่วงนี้ข้าทั้งยุ่งทั้งเหนื่อย จัดอาหารให้มันดีๆ หน่อย”
ไม่เช่นนั้น หากเหน็ดเหนื่อยจากงานทั้งวันแล้วยังกลับมากินข้าวดีๆ ไม่ได้ นางคงจะอารมณ์เสียมากแน่
หลิวจี้รีบพยักหน้ารับทราบ แต่เมื่อเห็นฉินเหยาเพิ่งกลับมาถึงบ้านแล้วจะออกไปอีกจึงถามด้วยความสงสัย
“เจ้าจะออกไปอีกแล้วหรือ จะไปที่ไหน”
“จะไปไหนงั้นรึ” นางโกรธขึ้นมาทันที “ข้าก็ไปหาเงินน่ะสิ! รีบคัดหนังสือของเจ้าให้เสร็จเถอะ!”
หลิวจี้เช็ดเหงื่อเม็ดเล็กที่ผุดขึ้นบนหน้าผาก คิดในใจว่า สตรีผู้นี้อารมณ์เหมือนอากาศเดือนหก ช่างแปรปรวนและรุนแรงเสียจริง
ช่างเถอะ เขาหาเรื่องนางไม่ได้ แต่จะหลบเลี่ยงไม่ได้หรือไร
บ่นเสร็จแล้วก็แอบมองฉินเหยาที่หยิบเชือกกับคานหาบแล้วเดินลุยแดดจ้าออกจากบ้านไป เขากลับรู้สึกโชคดีที่ได้นั่งคัดหนังสืออยู่ในบ้านที่แสนเย็นสบาย ไม่ต้องออกไปทรมานตัวเองข้างนอกบ้าน
ฉินเหยาเดินมาถึงเรือนเก่าของตระกูลหลิว ตอนกลางวันเช่นนี้ คนทั้งบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างนั่งพักผ่อนคลายร้อนอยู่ใต้ชายคาบ้าน
จินฮวาและจินเป่าเต็มไปด้วยพลัง ไม่กลัวร้อน วิ่งออกจากบ้านไปเล่นที่บ่อน้ำของหมู่บ้าน
เมื่อเห็นฉินเหยา ทั้งคู่ก็ร้องเรียกท่านอาสะใภ้สามอย่างว่าง่าย จินฮวายังถามด้วยว่า “ซานหลางกับซื่อเหนียงล่ะเจ้าคะ ทำไมพวกเขาไม่ออกมาเล่นเล่า”
ฉินเหยาตอบยิ้มๆ “พวกเขานอนกลางวันอยู่ พวกเจ้าไปเล่นกันก่อนเถอะ เดี๋ยวพอพวกเขาว่างก็จะไปหาพวกเจ้าเอง”
แม้ว่าต้องเรียนหนังสือ แต่ฉินเหยาก็จัดตารางเวลาเป็นหนึ่งสัปดาห์เจ็ดวัน โดยให้สองวันสุดท้ายเป็นวันหยุดเพื่อให้พี่น้องสี่คนได้ผ่อนคลายบ้าง
อายุของต้าหลางและเอ้อร์หลาง หากอยู่ในยุคปัจจุบันก็ถึงวัยเข้าเรียนชั้นประถมแล้ว นางจึงอยากให้พวกเขาได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น
แต่ก่อนมื้อเย็น พวกเขาจะออกไปเล่นกันสักพัก พร้อมทั้งจับแมลงมาให้ไก่กิน จากนั้นไปที่โรงโม่น้ำเพื่อเก็บกล่องเงินแล้วให้หลิวจี้คำนวณรายรับของวันนั้น ทั้งสี่พี่น้องทำสิ่งเหล่านี้อย่างสนุกสนาน
[1] ชู่จวี เป็นการออกกำลังกายชนิดหนึ่งในสมัยโบราณของจีน คล้ายกับการเตะฟุตบอล “ชู่” แปลว่า “เตะ” “จวี” เป็นลูกวงกลมที่ทำจากหนัง