หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - บทที่ 97 ลูกถูกตีแล้ว
ตอนที่ 97 ลูกถูกตีแล้ว
ฝั่งฉินเหยา วัสดุหินมาถึงที่หมายเรียบร้อยแล้ว ทั้งสี่คนจึงเริ่มลงมือขัดแต่งแท่นโม่ใต้เพิงพักริมทางอย่างเป็นทางการ
ทางด้านช่างไม้หลิว วัสดุไม้ก็พร้อมแล้วเช่นกัน เขามารับเงินค่าซื้อไม้สามตำลึงจากฉินเหยาเพื่อปิดบัญชีค่าไม้
ไม้เหล่านี้ถูกขนมาจากบ้านพ่อตาของเขา เนื่องจากเป็นการซื้อขายกันเองในครอบครัว ราคาจึงไม่สูงมาก แต่เมื่อเทียบกับการขายให้พ่อค้าคนกลางก็ได้เงินมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากกว่า
ฉินเหยาคิดในตอนนั้นว่า หากออเดอร์ของหมู่บ้านเซี่ยเหอสำเร็จและดึงดูดหมู่บ้านริมแม่น้ำอื่นให้มาสั่งทำแท่นโม่เพิ่ม อาจสามารถสร้างห่วงโซ่อุตสาหกรรมและผลักดันให้หมู่บ้านตระกูลหลิวเติบโตขึ้นมาได้โดยตรง
ทั้งไม้ หินและแรงงานล้วนเป็นของคนในหมู่บ้านเดียวกัน หากพวกนางทำกำไรได้ก็จะช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้ไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ความคิดนี้ยังเป็นเพียงภาพฝันที่สวยงาม สุดท้ายแล้วยังต้องรอดูเสียงตอบรับจากชาวบ้านเมื่อโรงโม่น้ำของหมู่บ้านเซี่ยเหอสร้างเสร็จเสียก่อน
แต่เมื่อมีแนวคิดนี้อยู่ ฉินเหยาก็แอบวางแผนอะไรบางอย่างเอาไว้ในการทำงานครั้งนี้
เช่น หินที่เหลือจากการก่อสร้างก็ถูกนำมาขัดแต่งเป็นแท่นโม่เพิ่ม
หรือให้พ่อตาของช่างไม้หลิวตัดไม้ที่โตพอแล้วเก็บไว้ล่วงหน้า อย่างไรเสียเวลาว่าง ชาวบ้านก็มักจะขึ้นเขาไปตัดไม้เตรียมขายให้พ่อค้าไม้อยู่แล้ว รอพ่อค้าไม้มาก็จะได้ขายไปเสีย
อีกทั้งงานขัดแต่งของพี่น้องหลิวไป่สามคน ฉินเหยาก็ตั้งใจให้พวกเขาทำอย่างละเอียดที่สุด เพื่อให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น
กังหันน้ำและแท่นโม่หิน เมื่อใช้งานไปก็ต้องเกิดการสึกหรอและชำรุด ฉินเหยาเองก็เคยรับปากไว้ว่าจะสอนชาวบ้านเซี่ยเหอให้ซ่อมแซมได้เอง
แต่หากนางกับช่างไม้หลิวกำหนดขนาดชิ้นส่วนให้แน่นอนแล้วผลิตอะไหล่สำรองไว้ล่วงหน้า พอถึงเวลาพวกชาวบ้านที่ต้องการอะไหล่ไปซ่อมแซมกังหันน้ำจะเลือกมาซื้อจากพวกนางโดยตรงเลยหรือไม่
พอคิดได้เช่นนี้ วันนั้นหลังจากขัดแต่งแท่นโม่เสร็จแล้ว ฉินเหยาก็รีบกลับไปที่หมู่บ้านด้วยความกระตือรือร้นแล้วไปหาช่างไม้หลิวเพื่อปรึกษาเรื่องนี้ทันที
ทั้งสองเห็นพ้องต้องกันทันทีจึงกำหนดขนาดและเก็บข้อมูลไว้เป็นตัวอย่าง
โดยเฉพาะใบพัดของกังหันน้ำ เพลา และคันโยก ล้วนเป็นชิ้นส่วนที่ต้องได้รับการซ่อมแซมบ่อยที่สุด และหากต้องทำขึ้นเองก็เป็นงานละเอียดที่ยุ่งยากมาก
หากชาวบ้านลองทำเองแล้วพบว่าขนาดไม่พอดีกับโครงสร้างเดิม คนที่ขี้เกียจคิดมากให้ยุ่งยากก็จะต้องมาหาช่างไม้หลิวไปโดยปริยาย
“ฉินเหนียงจื่อ เจ้าคิดว่าโรงโม่น้ำของพวกเราจะแพร่หลายออกไปได้จริงหรือ จะมีคนยอมควักเงินมาสร้างมันมากขนาดนั้นเลยหรือ”
แม้ว่าเขาจะรู้สึกตื่นเต้นมาก แต่พอสงบใจลงได้สักหน่อย ช่างไม้หลิวก็ยังไม่มั่นใจนัก
เพราะเมื่อตอนที่ฉินเหยาทำโรงโม่น้ำครั้งแรก ปฏิกิริยาของชาวบ้านก็แสดงให้เห็นปัญหาชัดเจน
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ฉินเหยากลับถามเขาว่า “ท่านไม่สังเกตหรือว่าโรงโม่มือในหมู่บ้านไม่มีใครไปใช้งานเลยน่ะ”
ตอนนี้แม้แต่ตอนกลางคืน โรงโม่พลังน้ำของบ้านนางก็ยังมีเสียงแท่นโม่ทำงานอยู่
เนื่องจากชั่วโมงการใช้งานเพิ่มขึ้นทุกวันทำให้นางแทบต้องไปตรวจสอบกังหันน้ำทุกๆ สองวัน เพื่อป้องกันไม่ให้มันหยุดทำงานกะทันหัน
นี่ก็คือข้อเสียของการใช้ไม้ หากเพลาเป็นโลหะคงไม่ต้องวุ่นวายขนาดนี้
แต่โลหะก็หมายถึงต้นทุนที่สูงขึ้น ครอบครัวที่แทบจะต้องกินข้าวต้มจางๆ ทุกวันแบบนี้ จะมีใครจ่ายไหวกันบ้าง
ความเคยชินเป็นสิ่งที่น่ากลัว เมื่อได้ใช้โรงโม่พลังน้ำที่สะดวกสบายแล้ว ใครจะยังอยากกลับไปใช้แท่นโม่หินด้วยแรงคนอีกเล่า
ช่างไม้หลิวครุ่นคิดแล้วก็พบว่ามันก็จริง โรงโม่เก่าแทบไม่มีคนใช้เลย แต่กลับกันโรงโม่น้ำของฉินเหยากลับมีคนมาต่อแถวใช้งานมากขึ้นทุกวัน
ฉินเหยาพูดกับช่างไม้หลิวด้วยความมั่นใจ “ตลาดอาจจะตอบสนองช้าไปบ้าง แต่อนาคตสดใสแน่นอน”
หมู่บ้านเซี่ยเหอร่ำรวยกว่าหมู่บ้านตระกูลหลิว ถนนหนทางก็เชื่อมต่อกันสะดวก โรงโม่น้ำที่ตั้งอยู่ในหมู่บ้านเซี่ยเหอ ย่อมมีโอกาสเป็นที่รู้จักมากกว่าการตั้งอยู่ในหมู่บ้านตระกูลหลิว
พอจินตนาการถึงภาพความคึกคักในอนาคต รอยย่นบนใบหน้าของช่างไม้หลิวก็ยืดออกเป็นรอยยิ้ม
ป้าสะใภ้หลิวชวนให้อยู่กินข้าวด้วยความกระตือรือร้น ฉินเหยาไม่อาจปฏิเสธจึงกินข้าวต้มผักไปสองชามที่บ้านช่างไม้หลิว ก่อนจะรีบลุกขึ้นขอตัวกลับ
อยู่บ้านคนอื่นกินมากไม่ได้ หากยังไม่กลับบ้าน นางคงหิวแย่แน่!
ท้องฟ้ามืดสนิท ฉินเหยาคิดว่ากลับถึงบ้านก็คงได้กินข้าวทันที
แต่ไม่คิดเลยว่าเด็กทั้งสี่คนจะไม่อยู่บ้าน
ส่วนหลิวจี้ยังอยู่ในครัวกำลังทำอาหาร ฉินเหยาถามด้วยความสงสัย “พวกต้าหลางล่ะ?”
หลิวจี้ได้ยินเสียงจึงหันกลับไปมองลานบ้านด้วยความงุนงง “เมื่อครู่นี้พวกเขาเพิ่งเอาลูกชู่จวีออกไปเล่น ยังไม่กลับมาอีกหรือ”
เขาคัดลอกตำราจบแล้วนั่งพักสักครู่ ไม่คิดว่าจะเผลอหลับไปบนเก้าอี้ ตื่นขึ้นมาอีกทีฟ้าก็มืดสนิท พอรู้ว่าฉินเหยากำลังจะกลับมา แต่ข้าวยังไม่ได้ทำก็ตกใจจนเหงื่อแตก
เพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับการทำอาหารจึงไม่ทันสังเกตเลยว่าฟ้ามืดสนิทแล้ว และเด็กทั้งสี่ยังไม่กลับมา
ฉินเหยาถึงกับพูดไม่ออก ถึงจะอยู่ในหมู่บ้านที่ปลอดภัยไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ง่ายๆ แต่ฟ้ามืดขนาดนี้แล้ว เด็กๆ ยังไม่กลับมา ทำไมเขาไม่รู้จักออกไปตามหาบ้าง
“พวกเขาออกไปนานแค่ไหนแล้ว” ฉินเหยาวางเครื่องมือลงแล้วถามขณะยืนอยู่ในลานบ้าน
หลิวจี้ยกจานแตงกวาเส้นผัดเนื้อรมควันจานสุดท้ายออกมา วันนี้ฝีมือการทำอาหารของเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด รสชาติต้องออกมาดีแน่ เขายื่นจานให้ฉินเหยาลองชิมอย่างมั่นใจ “คิดว่าน่าจะออกไปได้เกือบสองชั่วยามแล้ว แต่ไม่เป็นไรหรอก อยู่ในหมู่บ้านไม่หายหรอก”
ฉินเหยาคิดว่าก็จริง กลิ่นอาหารผัดลอยแตะจมูกจนอดไม่ได้ที่จะหยิบเนื้อรมควันขึ้นมากินคำหนึ่ง
“อร่อยไหม” หลิวจี้ถามด้วยความคาดหวัง
เนื้อรมควันตุ๋นจนเปื่อยนุ่ม ละลายในปากพร้อมกับน้ำหวานจากแตงกวาที่ซึมเข้าไป ทำให้ไม่เลี่ยนเลย กลับช่วยเรียกน้ำย่อยได้ดี
ไม่สนว่าใครทำ แต่ดูที่รสชาติเป็นหลัก ฉินเหยาจึงพยักหน้า “ไม่เลว ฝีมือทำอาหารของเจ้าพัฒนาไปเยอะเลยนะ”
หลิวจี้พูดด้วยรอยยิ้มประจบ “ล้วนเป็นความดีความชอบของเมียจ๋า หากไม่ได้เจ้าคอยเคี่ยวเข็ญทุกวัน ฝีมือการทำอาหารของข้าก็คงพัฒนาได้ไม่เร็วขนาดนี้”
ฉินเหยาแค่นหัวเราะเบาๆ ก่อนจะส่งสัญญาณให้เขายกอาหารเข้าไปในห้อง วางถ้วยชามให้เรียบร้อย จากนั้นเดินออกไปที่ลานหน้าบ้าน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เตรียมจะตะโกนไปทางหมู่บ้านว่า ‘กลับมากินข้าวได้แล้ว!’
เสียงกำลังจะเปล่งออกไปอยู่แล้วก็เห็นเงาเล็กๆ คุ้นเคยสี่ร่างปรากฏขึ้นในครรลองสายตา ศีรษะของแต่ละคนก้มต่ำ วิ่งเหยาะๆ เข้ามาด้วยท่าทีหงอยเหงา
ฉินเหยาจึงกลืนคำพูดกลับลงไป ยิ้มออกมาแล้วเดินเข้าไปรับ “เล่นอะไรกันจนดึกขนาดนี้ ไม่หิวบ้างหรือไง”
“หือ? ต้าหลาง หน้าเจ้าไปโดนอะไรมาน่ะ เดี๋ยวก่อนนะ เอ้อร์หลาง ผ้าคาดผมของเจ้าหายไปไหน ซานหลาง ซื่อเหนียง นี่พวกเจ้าไปกลิ้งเล่นในโคลนมาหรือไรกัน”
ฉินเหยารีบเรียกให้เด็กทั้งสี่คนที่กำลังจะวิ่งผ่านตนเองไปหยุด แล้วให้พวกเขายืนเรียงแถวจากพี่ใหญ่ไปน้องเล็ก เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้น แสงตะเกียงสีเหลืองนวลก็ส่องสะท้อนให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ
ฉินเหยาถึงกับสูดลมหายใจเย็นเฉียบ ก้มมองอีกครั้งก็เห็นลูกชู่จวีที่ต้าหลางกำลังกอดไว้ ไม้ไผ่แตกกระจัดกระจาย ใช้งานไม่ได้แล้ว ดวงตาของนางพลันเย็นชาขึ้นทันที
“ใครเป็นคนทำ?!”
หลิวจี้ได้ยินก็รีบก้าวออกมาจากในเรือน สีหน้าเต็มไปด้วยโทสะ
ซานหลางที่อดกลั้นความน้อยใจมาตลอด พอเห็นพ่อกับแม่ น้ำตาก็คลอเบ้าขึ้นมาทันที “แง้!” แล้วเขาก็ปล่อยโฮออกมา ร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางพูดว่า “ต้าหนิวกับเอ้อร์หนิว…ฮือๆๆ…”
ซื่อเหนียงเหลือบมองพี่ชายอย่างรังเกียจ พลางใช้มือถูใบหน้าสกปรกของตนเองก่อนพูดด้วยความโมโห
“ท่านแม่! ต้าหนิวจะแย่งลูกชู่จวีของพวกเรา ข้ากับพี่สามไม่ยอมให้ พวกเขาสองพี่น้องเลยผลักข้า”
“แล้ว…แล้วต่อมาพี่ใหญ่กับพี่รองก็ทะเลาะกับพวกเขา…”
อาจจะเพราะรู้สึกได้ว่ากลิ่ยอายเย็นชาบนตัวท่านแม่ดูน่ากลัวเกินไป เสียงฟ้องของหนูน้อยที่เดิมมั่นอกมั่นใจเมื่อครู่จึงแผ่วเบาลงโดยไม่รู้ตัว
แต่นางจะไม่ร้องไห้หรอกนะ! ซื่อเหนียงเชิดปากเล็กๆ ขึ้นด้วยความไม่ยอมแพ้ มือน้อยๆ กำหมัดแน่น ก่อนจะแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง