หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - บทที่ 98 เพ้อเจ้ออะไรของเจ้า
ตอนที่ 98 เพ้อเจ้ออะไรของเจ้า
หลิวจี้หันไปมองต้าหลางและเอ้อร์หลาง ถามย้ำว่าที่พูดมานั้นจริงหรือเปล่า
อาจเพราะสองพี่น้องรู้สึกอับอายกับสภาพของตนเองในตอนนี้ พวกเขาจึงเบือนหน้าหลบแล้วพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ
หลิวจี้ถกแขนเสื้อขึ้นทันที “พวกนี้มันชักจะเกินไปแล้ว กล้ารังแกลูกข้า! พวกเจ้าคอยอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวพ่อจะไปทวงความยุติธรรมให้เอง!”
ต้าหนิวกับเอ้อร์หนิวนั้นเป็นใครน่ะหรือ
ช่างบังเอิญเสียจริง ทั้งสองคนคือลูกชายสองคนของหลิวฟาไฉที่ก่อนหน้านี้เคยมาแอบใช้โรงโม่น้ำที่บ้านของเขาแล้วไม่ยอมจ่ายเงินนั่นเอง
พี่น้องคู่นี้อายุราวสิบเอ็ดสิบสองปี ร่างกายกำยำแข็งแรง นิสัยยามปกติก็ค่อนข้างจะกร่างอยู่ไม่น้อย
เด็กในหมู่บ้านแบ่งเป็นสองพวก พวกหนึ่งคอยตามสองพี่น้องคู่นี้ไปแกล้งเด็กคนอื่น
ส่วนอีกพวกก็คือเด็กอย่างต้าหลางกับจินเป่าที่ตกเป็นเป้าถูกแกล้ง
แต่ก่อนตอนที่ถูกแกล้งก็แค่ทะเลาะหรือโดนผลักกันไปมา ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่ถึงขั้นลงไม้ลงมือมาก่อน
หลิวจี้คิดง่ายๆ ว่า กระต่ายหากถูกต้อนจนมุมมันยังกัดคนได้แล้วลูกของเขาอย่างต้าหลางที่ปกติเป็นเด็กเรียบร้อยยังทนไม่ได้จนถึงขั้นสู้กลับอีกฝ่าย แสดงว่าสองพี่น้องต้าหนิวต้องทำเกินกว่าเหตุแน่ๆ
แค้นใหม่บวกแค้นเก่า โทสะพลันพวยพุ่ง หลิวจี้จึงหยิบไม้กวาดข้างประตูมาแล้วพุ่งลงเขาไปด้วยท่าทางดุดัน
ต้าหลางกับพี่น้องถึงกับตะลึงเพราะไม่เคยเห็นท่านพ่อโกรธขนาดนี้มาก่อน
ไม่สิ ต้องบอกว่า ไม่เคยเห็นท่านพ่อปกป้องพวกเขาแบบนี้มาก่อนต่างหาก
แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือ แม่เลี้ยงกลับไม่ห้ามท่านพ่อ เพียงยืนมองเฉยๆ ให้เขาเดินเข้าไปในหมู่บ้าน
ฉินเหยาถามเด็กๆ ที่หน้าเขียวหน้าช้ำอยู่ตรงหน้า “ยังเดินไหวไหม”
ต้าหลาง เอ้อร์หลาง และซื่อเหนียงพยักหน้า ส่วนซานหลางที่ยังปาดน้ำตาอยู่ก็พึมพำตอบว่าตัวเองยังเดินไหว
ฉินเหยาลงกลอนประตูบ้าน หันกลับมาบอกเด็กๆ ให้ตามหลิวจี้ที่เดินลิ่วๆ อย่างเกรี้ยวกราดไป
ต้าหลางรู้สึกใจคอไม่ดี “ท่านน้า เราจะไปไหนกันหรือ”
ฉินเหยายิ้มเย็น “ทวง! ความ! ยุติธรรม!”
เอ้อร์หลางกับต้าหลางใจหล่นวูบ
เอ้อร์หลางพูดเสียงเบา “เอ่อ…ไม่ ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดนั้น…”
แต่น่าเสียดาย ฉินเหยาที่ดูเยือกเย็นในตอนนี้ ความจริงแล้วไฟโทสะของนางพุ่งทะลุศีรษะไปแล้วจึงไม่ได้ฟังที่เด็กๆ พูดเลยสักนิด
มือหนึ่งของนางอุ้มซานหลางที่กำลังสะอื้น อีกมือจูงซื่อเหนียงที่ยังโกรธฮึดฮัด ฝีเท้าก้าวไปอย่างว่องไว
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางได้แต่รีบวิ่งตามไป
หลิวจี้หันกลับไปดู เห็นเมียขาโหดของตนเองเดินตามมาด้วย ไฟโทสะของเขาก็ยิ่งลุกโชนขึ้นหลายส่วน ยังไม่ทันถึงบ้านหลิวฟาไฉ เขาก็ตะโกนด่าเสียงดังนำไปก่อนแล้ว
“ไอ้หลิวหัวล้าน ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้! เจ้าสั่งสอนให้ลูกชายสองคนที่โตถึงเพียงนั้นของเจ้ามารังแกลูกน้อยของข้า ยังมียางอายอยู่หรือไม่!”
ไม่คาดว่าจะมีเสียงตอบกลับด้วยความโมโหของหลิวฟาไฉกับเมียดังมาจากด้านหน้า
“ดีนี่ เจ้าหลิวสาม ข้ากำลังจะไปเอาเรื่องเจ้าอยู่พอดี เจ้าดันเสนอหน้ามาเองถึงที่!”
เมียของหลิวฟาไฉจูงลูกชายสองคนเดินออกมาจากมุมถนน ขณะที่หลิวฟาไฉถือคบเพลิงเดินตามหลังมา
เมื่อสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน หลิวจี้ที่เดินมาด้วยท่าทีดุร้ายถึงกับเบิกตากว้าง ความคึกคะนองเมื่อครู่พลันลดลงไปหลายส่วน
เพราะแสงไฟจากคบเพลิงส่องให้เห็นใบหน้าของพี่น้องต้าหนิวและเอ้อร์หนิวที่บวมเหมือนซาลาเปา หลิวจี้พลันนึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมาทันทีว่า…ตีเสียจนมารดาจำแทบไม่ได้
“ต้าหนิว เอ้อร์หนิว มาให้ลุงดูหน้าพวกเจ้าหน่อยซิ จุ๊ๆๆ เพราะทำผิดกรรมเลยตามสนองใช่ไหม พวกเจ้าเดินกลับบ้านตอนมืดค่ำยังสะดุดล้มเสียจนหน้าบวมขนาดนี้ ข้าจะคอยดูว่าคราวหน้าพวกเจ้ายังจะกล้ารังแกต้าหลาง เอ้อร์หลาง ซานหลางกับซื่อเหนียงของข้าอีกไหม!” หลิวจี้กลอกตาขึ้นฟ้าแล้วแค่นเสียงดูแคลน
แม้ว่าอีกฝ่ายจะดูอาการหนักกว่าลูกๆ ทั้งสี่ของเขา แต่ก็ยอมเสียหน้าตอนนี้ไม่ได้
กล้ารังแกลูกของเขา วันนี้หากไม่ถลกหนังหลิวฟาไฉออกมาหนึ่งชั้นก็อย่ามาเรียกเขาว่าหลิวจี้!
ฉินเหยาพาเด็กทั้งสี่มาถึงข้างหลังหลิวจี้ พอช้อนตามองใบหน้าที่บวมจนดูน่ากลัวของต้าหนิวกับเอ้อร์หนิวก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปากแล้วร้องซี้ดเบาๆ
พอหันกลับมามอง ต้าหลางก้มมองพื้น เอ้อร์หลางแหงนมองฟ้า ส่วนซานหลางกับซื่อเหนียงจับมือกันไว้ ใบหน้ายังเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
แต่สถานการณ์มาถึงขนาดนี้แล้ว ฉินเหยาหยิบลูกชู่จวีที่พังไปจากมือของต้าหลาง แล้วมายืนข้างหลิวจี้ จ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชาคุกรุ่น
ทันทีที่นางปรากฏตัว บรรยากาศทรงอำนาจของฉินเหยาก็ทำให้หลิวฟาไฉทั้งครอบครัวสะท้านไปทั้งตัว
หลิวฟาไฉเห็นสถานการณ์ไม่ดีก็รีบตะโกนโหวกเหวก เรียกเพื่อนบ้านแถวนั้นให้มามุงดู
พอคนเริ่มมามาก หลิวฟาไฉก็เริ่มได้ใจ ดันลูกชายสองคนที่หน้าบวมเหมือนหัวหมูออกมาให้คนในหมู่บ้านช่วยตัดสินว่าใครกันแน่ที่รังแกใคร
ชาวบ้านที่เห็นหน้าพี่น้องคู่นั้นถึงกับสูดปากเบาๆ ก่อนพึมพำว่า “ก็แค่เด็กๆ ทะเลาะกัน บ้านเจ้าหลิวสามนี่จะรุนแรงเกินไปหน่อยหรือเปล่า”
ด้วยชื่อเสียงไม่ดีของหลิวจี้ในหมู่บ้าน บวกกับการที่อีกฝ่ายบาดเจ็บหนักกว่า เดิมทีชาวบ้านก็เอนเอียงไปทางหลิวฟาไฉอยู่แล้ว
ซื่อเหนียงโต้กลับเสียงดัง “ต้าหนิวกับเอ้อร์หนิวมาแย่งของของพวกข้าก่อน! พอพวกข้าไม่ให้ เขาก็ผลักพวกข้าแล้วยังมาทำร้ายพี่ชายข้าอีก พวกเขาต่างหากที่เป็นคนชั่ว!”
แม้ว่านางจะยังเด็ก แต่ความคิดอ่านกลับชัดเจนและไม่ลนลานกับสถานการณ์ตรงหน้า
ฉินเหยานึกในใจ สมแล้วที่เป็นลูกสาวข้า
เอ้อหลางขยิบตาให้ซานหลาง ซานหลางก็ปล่อยโฮออกมาทันที
ต้าหลางพยายามออกมาชี้แจง แต่เมียหลิวฟาไฉกลับนั่งลงบนพื้นถนน ยกขาถีบพื้นไปมา น้ำตาไหลออกมาสองหยด ร้องห่มร้องไห้คร่ำครวญว่าลูกชายตนเองน่าสงสารแค่ไหน ส่วนต้าหลางกับพี่น้องช่างร้ายกาจเพียงใด พร้อมเรียกร้องให้หลิวจี้และฉินเหยามาขอโทษและชดใช้เงินให้ครอบครัวของตน
หลิวจี้หัวเราะออกมาอย่างเหลืออด “เพ้อเจ้ออะไรของเจ้า!”
ลูกไม่ดีคือความผิดของพ่อ! ให้เขาจัดการอัดเจ้านี่ให้สาสมก่อนแล้วค่อยว่ากัน
หลิวจี้คว้าไม้กวาดขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าใส่หลิวฟาไฉทันที
ฉินเหยากวักมือเรียกให้เด็กทั้งสี่ถอยออกมาไกลหน่อยแล้วปกป้องหลิวจี้ไว้ข้างหลัง ใครจะเข้ามาห้าม นางก็ยกแขนขึ้นขวาง ดูเหมือนแผ่วเบาแต่ก็ดันคนกลับไปได้ทั้งหมด เปิดทางให้หลิวจี้จัดการได้อย่างเต็มที่
หลิวจี้มองดูแล้วคิด มารดามันเถอะ! มีฉินเหยาคอยคุ้มครองแบบนี้ เขายังจะกลัวอะไรอีก!
เขาฟาดไม้กวาดไปที่หน้าหลิวฟาไฉ ไม้ไผ่เส้นเล็กๆ กระทบเนื้อดังเปรี๊ยะๆ เจ็บจี๊ดสะใจ
หลิวฟาไฉทั้งเจ็บทั้งโกรธ ชูกำปั้นขึ้นเตรียมจะสวนกลับ
หลิวจี้ถูกตีทุกวันวันละสองรอบ ทักษะการหลบหลีกของเขาเข้าระดับเทพนานแล้ว หมัดของฉินเหยาเขายังหลบได้กับอีแค่หลิวฟาไฉเขาจะหลบไม่ได้เชียวหรือ
เขาว่องไวราวกับลิง ประกอบกับมีไม้กวาดที่ขนาดยาวกว่าในมือ เขาจึงกระหน่ำตีหลิวฟาไฉอยู่ฝ่ายเดียว
เมียหลิวฟาไฉเห็นดังนั้นก็คิดว่าไม่ได้การ รีบลุกพรวดจากพื้นแล้วพุ่งเข้าหาหลิวจี้เพื่อดึงทึ้งเขาทันที
แต่ฉินเหยามองอยู่ จะปล่อยให้นางทำสำเร็จได้อย่างไร
ฉินเหยาเหยียดขาออกไปเบาๆ ออกแรงเล็กน้อยก็ทำให้เมียหลิวฟาไฉล้มหงายหลังอย่างแรง นาร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
ทั้งยังโดนฉินเหยาถีบไปด้านข้าง เพียงครู่เดียวก็แทบจะสลบลงไปแล้ว
ชาวบ้านที่มามุงดูเห็นท่าไม่ดี หากยังไม่ห้ามอาจจะมีคนตายจึงรีบวิ่งไปตามหัวหน้าตระกูลทันที
หัวหน้าตระกูลตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงขึงขัง “หยุดเดี๋ยวนี้!”
ความวุ่นวายถึงได้สงบลง
หลิวจี้กระหน่ำตีหลิวฟาไฉจนล้มกลิ้งอยู่กับพื้น แต่ความโกรธยังไม่คลายจึงฟาดไม้กวาดลงไปอีก!
“เจ้ายังกล้าหาเรื่องข้าอีกไหม หากข้าไม่เอาคืนเจ้าให้หนัก ข้าขอไม่แซ่หลิวอีกต่อไป!”
พูดจบ หลิวจี้ก็ขยี้ผมให้ยุ่งเหยิงเหมือนคนที่เพิ่งโดนรังแก ป้ายฝุ่นบนหน้าพอเป็นพิธีแล้วโยนไม้กวาดทิ้ง วิ่งไปหาหัวหน้าตระกูลทันที
คำกล่าวที่ว่าใต้เข่าชายชาตรีมีทองคำ[1]เขาไม่เข้าใจทั้งนั้น
หลิวจี้ไถลตัวคุกเข่าลงตรงหน้าหัวหน้าตระกูล กอดขาเขาไว้แล้วชี้ไปที่หลิวฟาไฉพร้อมตะโกนอย่างน่าสงสารว่า
“หัวหน้าตระกูล ท่านต้องให้ความยุติธรรมกับข้าและลูกๆ ด้วยนะ! พวกเขาทั้งตีทั้งจะเรียกเงินจากข้า รังแกกันเกินไปแล้ว!”
ท่าทางแบบนี้ทำเอาหลิวฟาไฉอึ้งไปครู่หนึ่ง กว่าจะตั้งสติได้ก็เสียโอกาสไปแล้ว ทำได้เพียงกลิ้งไปกองอยู่ที่เท้าหัวหน้าตระกูล เงยหน้าขึ้นที่เต็มไปด้วยรอยไม้กวาดเลือดซิบๆ ร้องโหยหวนว่า
“หัวหน้าตระกูล ช่วยข้าด้วย! เจ้าหลิวสามจะฆ่าข้าแล้ว ท่านหัวหน้าตระกูล!”
ภรรยาหลิวฟาไฉที่เตรียมจะพุ่งตัวลงไปกลิ้งกับพื้นโดนฉินเหยาคว้าแขนเอาไว้ น้ำเสียงที่นางเอ่ยเรียบนิ่งแต่เด็ดขาด
“พวกข้าจะไม่ทำให้หัวหน้าตระกูลต้องวุ่นวายอีก ทุกอย่างให้ท่านเป็นผู้ตัดสินเถอะ”
สองพี่น้องต้าหนิวเอ้อร์หนิวที่ทำตัวเป็นอันธพาลอยู่ในหมู่บ้านมานานหลายปี หลบอยู่ด้านหลังมารดาด้วยความหวาดกลัว พอเงยหน้าขึ้นสบกับสายตาที่เย็นเยือกของฉินเหยา ในที่สุดพวกเขาก็ได้รู้ว่าสิ่งใดที่เรียกว่าความหวาดกลัว
[1] ใต้เข่าชายชาตรีมีทองคำ เป็นสำนวนที่ใช้สื่อถึง ความเข้มแข็งและศักดิ์ศรีของผู้ชาย ว่าไม่ควรคุกเข่าลงง่ายๆ เว้นแต่เป็นเรื่องสำคัญหรือมีเหตุจำเป็นจริงๆ