หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า - บทที่ 99 พิชิตได้อีกหนึ่ง
ตอนที่ 99 พิชิตได้อีกหนึ่ง
หลิวจี้กับหลิวฟาไฉทะเลาะกันอย่างเอาเป็นเอาตายต่อหน้าหัวหน้าตระกูลทำให้สถานการณ์วุ่นวายไปชั่วขณะ
จนกระทั่งคนจากเรือนเก่าตระกูลหลิวมาถึง จินเป่าและจินฮวาออกมายืนยันว่าเป็นต้าหนิวกับเอ้อร์หนิวที่พาเด็กโตมารังแกพวกเขา ต้าหลางกับเอ้อร์หลางจึงลงมือช่วย พอเป็นเช่นนี้ เรื่องราวก็เริ่มกระจ่างชัด
เด็กบ้านอื่นที่ถูกกลั่นแกล้ง พอถูกผู้ใหญ่สอบถามก็ค่อย ๆ พยักหน้ารับ
หลิวจี้ยื่นลูกชู่จวีที่ถูกเหยียบจนแหลกเป็นหลักฐาน เมื่อมีทั้งพยานและวัตถุพยาน หลิวฟาไฉก็จนมุม ไม่อาจปฏิเสธได้อีก
หัวหน้าตระกูลรู้สึกจนปัญญา เรื่องเด็กตีกันยังไม่ถึงขนาดให้เขาต้องออกหน้า แต่กลับกลายเป็นว่าผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายถึงกับมีเรื่องกัน แถมหลิวจี้กับหลิวฟาไฉยังเป็นตัวแสบประจำหมู่บ้าน เพียงแค่คิดก็ทำให้เขาปวดหัวแล้ว
พอเห็นว่าคนมุงดูกันไม่เลิกก็คิดว่าไม่เหมาะนัก หัวหน้าตระกูลจึงสั่งให้เปิดประตูศาลบรรพชน เรียกหลิวฟาไฉกับหลิวจี้เข้าไป
นอกศาลบรรพชน ภรรยาและลูกสองคนของหลิวฟาไฉยืนอยู่ฝั่งซ้าย ส่วนฉินเหยานำเด็กสี่คนมายืนอยู่ฝั่งขวา การปกป้องเด็กของแต่ละฝ่ายชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง
ภรรยาของหลิวฟาไฉพูดพลางเบ้ปากอย่างดูถูก “ก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ สักคน เป็นแค่แม่เลี้ยงปกป้องพวกมันอย่างกับอะไร คิดว่าเด็กพวกนั้นจะจดจำบุญคุณของเจ้าหรือไง”
ใกล้กันเพียงแค่นี้ อีกทั้งฉินเหยาก็ไม่ได้หูหนวก นางปรายตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชาในทันที
“ตราบใดที่พวกเขาเรียกข้าว่าแม่ ข้าก็จะปกป้องพวกเขาไปตลอดชีวิต สั่งสอนให้พวกเขารู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่เหมือนลูกแท้ๆ ของพวกเจ้าที่ไม่แยกแยะถูกผิด ใช้กำลังรังแกผู้อ่อนแอ ไร้เหตุผลสิ้นดี”
น้ำเสียงของนางยังคงราบเรียบ ทว่าแฝงไว้ด้วยความมั่นใจโดยธรรมชาติ ฟังแล้วทำให้ภรรยาของหลิวฟาไฉรู้สึกอึดอัดราวกับตนเตี้ยกว่าอีกฝ่ายอยู่ครึ่งศีรษะ
แต่เพราะเกรงกลัวฝีมือของฉินเหยา นางจึงได้แต่บ่นพึมพำกับอากาศ ไม่กล้าพูดออกมาต่อหน้า
ฉินเหยาไม่แม้แต่จะเหลือบมองนาง นางเพียงกอดอกยืนอยู่หน้าประตูศาลบรรพชน รอคอยผลลัพธ์อย่างสงบ
กลับไม่รู้เลยว่า เด็กสี่คนที่อยู่ด้านหลัง นับแต่ได้ยินประโยคนั้นของนาง กำแพงแห่งความเข้มแข็งที่เสแสร้งสร้างขึ้นก็มลายหายไปในชั่วพริบตา ดวงตาทั้งสี่คู่แดงก่ำขึ้นมา
รัตติกาลมืดมิด พวกเขาขยับตัวถอยไปชิดกำแพงอีกก้าว ซ่อนตัวในเงามืด เช็ดน้ำตาให้แห้งอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ถูกจับได้
ทว่าฉินเหยาประสาทสัมผัสเฉียบไว ไม่รู้ว่าใครสูดน้ำมูกเบาๆ อยู่ด้านหลัง ทำให้หูนางขยับเบาๆ หันกลับไปมองก็สบเข้ากับดวงตากลมโตชุ่มน้ำสี่คู่เข้า
ฉินเหยาหัวเราะออกมาเบา ๆ นางยื่นมือออกไปลูบศีรษะเด็ก ๆ ทีละคน คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากพวกเขาคนละทีแล้วโอบทั้งสี่เข้ามาไว้ในอ้อมแขนพลางกล่าวขำๆ ว่า
“ตอนนี้ถึงรู้จักร้องไห้แล้วรึ ปกติข้าสั่งให้พวกเจ้าฝึกยุทธ์กันดีๆ ก็ไม่เคยฟัง หากฝึกจริงจังเสียหน่อย จะโดนเจ้าขยะสองคนนั้นรังแกเอาได้อย่างไรกัน!”
ต้าหนิวกับเอ้อร์หนิวฮึดฮัดขึ้นมา ว่าใครเป็นขยะกัน!
เอ้อร์หลางโผล่หน้าออกมาจากอ้อมกอดแม่เลี้ยง แลบลิ้นทำหน้าล้อเลียน จ้องทำไม! ก็ว่าพวกเจ้านั่นแหละ
แต่เพียงขยับตัวเล็กน้อย ศีรษะของเขาก็ถูกเคาะเบาๆ หนึ่งทีเป็นเชิงเตือนว่าให้สงบเสงี่ยมหน่อย อย่าเพิ่มความขัดแย้งไปมากกว่านี้
อากาศร้อนอบอ้าว แม่ลูกห้าคนกอดกันอยู่เช่นนี้ก็ยิ่งร้อน ฉินเหยาคิดว่าแค่นี้คงปลอบพวกเขาพอแล้ว จึงเตรียมจะคลายอ้อมแขน
แต่ไม่คาดคิด มือน้อยๆ ของเด็กทั้งสี่กลับกอดนางไว้แน่น คนโตกอดเอว คนเล็กกอดขา ร่างนางถูกพวกเขาเกาะเหมือนลูกลิงเล็กๆ ที่ร้องอู้อี้ออดอ้อนราวกับสัตว์น้อยกำลังประจบ ทำให้ใจของฉินเหยาละลาย
สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นลูกของตนเองที่น่ารักที่สุด
ต้าหลางรู้สึกถึงฝ่ามืออบอุ่นลูบแผ่นหลังของเขาเบาๆ ความร้อนพุ่งจากลำคอไปถึงใบหูจนหน้าแดงแจ๋ไปหมด แต่ความอบอุ่นจากอ้อมกอดรวมถึงกลิ่นหอมสะอาดจากสบู่ชาทำให้เขาอดอาลัยไม่ได้จึงปล่อยให้ตนเองเอาแต่ใจสักหน่อย อิงแอบความอบอุ่นเช่นนี้มากขึ้นอีกนิด
หากเป็นไปได้ เขาก็อยากออดอ้อนนางเหมือนน้องๆ เรียกนางว่าท่านแม่โดยไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งใด ออดอ้อนนาง ฟ้องนั่นนี่กับนาง พึ่งพานางอย่างหมดใจ
แต่หากเขาทำเช่นนั้นก็เหมือนกับจะเป็นการทรยศต่อมารดาผู้ให้กำเนิด
หัวใจของเด็กหนุ่มละเอียดอ่อนและอ่อนไหว ฉินเหยาเห็นแล้วก็ทำได้เพียงทอดถอนใจ
เด็กที่รู้ความมักต้องแบกรับภาระมากกว่าเสมอ นางต้องสนใจเจ้าตัวเล็กคนนี้ให้มากขึ้นในภายหน้า
หนึ่งเค่อต่อมา ชายทั้งสองเดินออกมาจากศาลบรรพชน
หลิวจี้แม้สีหน้าดูไม่พอใจ แต่แววตากลับซ่อนความยินดีเอาไว้ไม่มิด
ส่วนหลิวฟาไฉกลับคอตก จ้องมองหลิวจี้ด้วยความเคียดแค้น ดูไปแล้วก็คล้ายไก่ตัวผู้ที่เพิ่งแพ้ศึก
หัวหน้าตระกูลมองคนจากสองบ้านอย่างเหนื่อยล้า ส่ายหน้าแล้วเดินจากไป
ประตูศาลบรรพชนถูกปิดลง ทั้งสองบ้านยืนส่งหัวหน้าตระกูลจากไป ก่อนจะแยกย้ายกันเตรียมตัวกลับบ้าน
“เดี๋ยวก่อน” จู่ๆ ฉินเหยาก็เอ่ยเรียกครอบครัวหลิวฟาไฉ
ทั้งสี่คนสะดุ้งโหยง หันกลับมาด้วยท่าทีระแวง
ฉินเหยาชี้ไปที่ต้าหนิวกับเอ้อร์หนิว “พวกเจ้าไม่ควรจะขอโทษหน่อยหรือ”
ภรรยาของหลิวฟาไฉตวาดด้วยความโกรธ “พวกเจ้าอย่าให้มันมากไปนะ! เด็กๆ ทะเลาะกันจะต้องขอโทษอะไรอีก! ดูสภาพต้าหนิวกับเอ้อร์หนิวของบ้านข้าเถอะ ถูกต้าหลางกับเอ้อร์หลางของพวกเจ้าอัดเสียอนาถเพียงใด พวกเรายังไม่เรียกร้องให้เจ้าขอโทษเลย!”
ฉินเหยาสีหน้าไม่เปลี่ยน โบกมือเรียกเด็กๆ ทั้งสี่คนให้ออกมายืนเรียงแถว นางกวาดตามองพวกเขาแล้วกล่าวว่า
“ไม่ว่าจะเป็นใคร ทะเลาะวิวาทก็ไม่ใช่เรื่องถูกต้อง ใช้กำลังแก้ปัญหาเป็นสิ่งที่ผิด”
หลิวจี้ยืนตาถลนอยู่ข้างๆ ฉินเหยา เจ้าจะสองมาตรฐานเกินไปหรือไม่ ตัวเจ้าเองก็ใช้กำลังแก้ปัญหานี่!
ฉินเหยาทำเหมือนไม่เห็นสีหน้าตะลึงของหลิวจี้ นี่ไม่ใช่วันสิ้นโลกที่ไร้กฎเกณฑ์และศีลธรรม โลกล้วนมีกติกาของมัน
ต้าหนิวกับเอ้อร์หนิวมองหน้ากันอย่างหวาดหวั่น กลัวจนทำท่าจะถอยหลัง ฉินเหยาตวาดเสียงเข้ม “เข้ามาขอโทษ! ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้ไม่จบแน่!”
คำพูดของนางนั้นตรงตัว มีต้นสายจึงมีปลายเหตุ เรื่องราวจึงจะผ่านพ้นไปได้
แต่ในสายตาฝ่ายตรงข้ามกลับเป็นคำขู่ที่แสนเคร่งขรึม
ต้าหนิวกับเอ้อร์หนิวตกใจจนรีบเอ่ยเสียงเบาหวิว “ขอ ขอโทษ…”
ฉินเหยาพยักหน้าให้พวกต้าหลางทั้งสี่คน แม้จะไม่เต็มใจ แต่ต้าหลางก็เอ่ยว่า “พวกข้าเองก็ไม่ควรตีพวกเจ้าแรงขนาดนั้น ข้าขอโทษ แต่หากคราวหน้าพวกเจ้ากล้ามารังแกพวกเราอีก ข้าก็ยังจะอัดเจ้าเช่นเดิม!”
ฉินเหยาขมวดคิ้ว เด็กคนนี้นี่ ประโยคหลังไม่จำเป็นต้องพูดออกมาก็ได้ ช่างซื่อตรงเสียจริง
“ไปเถอะ กลับไปกินข้าว” นางโบกมือให้อีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันไปนำเด็กๆ กลับบ้าน
หลิวจี้แค่นเสียงใส่หลิวฟาไฉ ก่อนจะรีบตามครอบครัวตนเองไป
เมื่อกลับถึงบ้าน อาหารบนโต๊ะก็เย็นชืดไปหมดแล้ว แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการล้อมวงกินข้าวของครอบครัวทั้งหกคน
หลังอาหาร หลิวจี้เก็บจานล้าง ส่วนฉินเหยาถือโคมไฟตรวจดูบาดแผลของเด็ก ๆ
ไม่มีอะไรหนักหนา ซานหลางกับซื่อเหนียงก็แค่ตัวเปื้อนฝุ่น
ต้าหลางกับเอ้อร์หลางมีรอยฟกช้ำไม่กี่จุด นางจิ้มไปที่แผล พวกเขาก็ร้องซี้ดออกมาด้วยความเจ็บ
แต่ไม่รู้เพราะเห็นอีกฝ่ายทำหน้าแหยหรือนึกเรื่องตลกอะไรขึ้นมาได้ สองพี่น้องก็ระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกัน
“หัวเราะอะไร” ฉินเหยาถลึงตาใส่อย่างจนใจ โดนซ้อมแล้วยังหัวเราะอีก
เอ้อร์หลางหัวเราะเจ้าเล่ห์ “ท่านแม่ ข้ากดเอ้อร์หนิวไว้ข้างใต้ ใช้ขารัดคอเขาไว้แล้วอัดใบหน้าเขาเต็มๆ จนหมดสติไปเลย!”
ท่านแม่?
ฉินเหยาเลิกคิ้ว นี่ถือว่าจัดการอีกหนึ่งคนสำเร็จแล้วหรือไม่
เอ้อร์หลางคิดว่าตนเองเรียกออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติจึงเล่าต่อว่าพี่ใหญ่ซัดต้าหนิวอย่างไรบ้าง
เขาลอบเงยหน้าขึ้นมองปฏิกิริยาของฉินเหยา อยากดูว่านางสังเกตเห็นหรือไม่
แต่ไม่คาดคิดว่านางกลับตั้งอกตั้งใจเช็ดคราบฝุ่นบนหน้าให้ซื่อเหนียงราวกับไม่ได้ยินอะไรเลย ทำเอาเขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาในทันที
เห็นเขาทำหน้าเช่นนั้น คนตัวเล็กในใจของฉินเหยาก็แทบจะหัวเราะก๊ากออกมาแล้ว