หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 107-1 พี่ซิวช่วยลูก
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 107-1 พี่ซิวช่วยลูก
ตอนที่ 107-1 พี่ซิวช่วยลูก
ขันทีหลิวกลับจวนอ๋องพร้อมกับถือถังหูลู่สองไม้มาด้วยความหวาดผวา
จิ่งอวิ๋นถูกยิ่นอ๋องเรียกให้ไปเล่นหมากล้อมที่ห้องหนังสือ วั่งซูก็ตามไปด้วย ในมือถือนกยูงทองคำที่เป็นของโปรดชิ้นใหม่ ตอนนี้ ‘สองพ่อลูก’ กำลังนั่งเล่นหมากล้อมอยู่ในห้องหนังสือ ส่วนนางนั่ง ‘พักผ่อน’ กินลูกกวาดอยู่บนเตียงด้านหลังฉากบังลมอย่างสบายอุรา
ยิ่นอ๋องพบว่าตราบใดที่หนูน้อยมีของกิน หนูน้อยก็จะอยู่อย่างสงบ ไม่ไปทำลายแจกันเครื่องเคลือบลายครามอันมีราคาแสนแพงที่เขาวางประดับไว้ในห้องของนาง หลังจากที่เคยทำลายคลังสมบัติของเขาแล้ว
ยิ่นอ๋องเจ็บปวดเกินกว่าจะเอ่ยคำใดออกมาได้
ขันทีหลิวรายงานที่ประตู “ท่านอ๋อง เมื่อครู่ตอนไปซื้อถังหูลู่ บ่าวเห็นคนท่าทางแปลกๆ ด้อมๆ มองๆ อยู่ในตรอก มุ่งหน้าไปยังกำแพงด้านทิศใต้ ท่านคิดว่าจะเป็นเฉียว…แค่ก มีคนวางแผนร้าย หมายจะมาขโมยของในจวนอ๋องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ตอนที่เขากำลังพูด เขาไม่ลืมปรายตามองจิ่งอวิ๋นอย่างระวัง
ยิ่นอ๋องเข้าใจ แต่ยิ่นอ๋องไม่ได้ระแวดระวังเท่าเขา จึงเปิดกล่องหมากล้อมพลางกล่าวว่า “ข้ารู้ว่านางจะไม่ยอมแพ้! เจ้าให้อามั่วและคนอื่นๆ ไปดูที่กำแพงด้านทิศใต้”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีหลิวขานรับคำสั่งอย่างเต็มใจ
“เดี๋ยวก่อน” ยิ่นอ๋องหยุดเขา “นางไม่รู้ว่าหอชิงฮุยอยู่ใกล้กับกำแพงด้านทิศใต้ จะไปปรากฏตัวอยู่ที่นั่นได้อย่างไร เกรงว่ามันจะเป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำ จงใจทำให้คนไปทางกำแพงด้านทิศใต้ เพื่อเปิดช่องว่างและแอบเข้ามาในจวน!”
“มีเหตุผลจริงตามที่ท่านอ๋องตรัสพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าไปบอกอามั่วให้พวกเขาแยกกันเป็นสี่กลุ่ม ตรวจดูทุกซอกทุกมุมในจวนอ๋อง!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ขันทีหลิวตอบรับ ด้วยเหตุนี้ กำแพงด้านทิศใต้จึงมีองครักษ์ชิงอีเว่ยคนเดียวกับองครักษ์อีกไม่กี่คน นี่คงไม่นับว่าผิดต่องานที่แม่สาวน้อยนั่นมอบหมาย (ขู่บังคับ) มากระมัง
…
“หัวหน้าพรรค พวกเขาไปแล้วขอรับ” หวาเซิงพูดขณะที่เอาใบหูแนบชิดกำแพงด้านทิศใต้
เฉียวเวยกับเฉินต้าเตามองหน้ากัน เฉินต้าเตาไต่ขึ้นไปบนกำแพง จากนั้นส่งมือให้เฉียวเวย เฉียวเวยจับมือของเขาและออกแรงดึง!
โครม!
เฉินต้าเตาตกลงมา!
เฉียวเวย “…”
ไหนบอกว่าจะดึงข้าขึ้นไปอย่างไรเล่า
เฉินต้าเตาล้มหน้าทิ่มดิน เขาถ่มน้ำลายที่เต็มไปด้วยเศษดินทิ้ง ปัดไม้ปัดมือแล้วลุกขึ้นยืน “เมื่อครู่ยืนไม่มั่นคง เอาใหม่อีกรอบ”
เขาปีนขึ้นไปบนกำแพงอีกครั้ง นั่งคร่อมกำแพงและเอาต้นขาเกี่ยวกับกำแพงไว้อย่างมั่นคง “ขึ้นมาได้แล้วขอรับฮูหยิน”
เฉียวเวยดึงมือเขา…
โครม!
โชคดีที่เฉียวเวยหลบอย่างรวดเร็ว ไม่เช่นนั้นคงถูกเขาทับกลายเป็นเนื้อบด
“หลบไปๆ ข้าจะขึ้นไปเอง!” เฉียวเวยไล่เฉินต้าเตา เหยียบฝ่ามือของหวาเซิงกับอาอู่ แล้วใช้แรงยันตัวขึ้น
หวาเซิงคิด เหมือนข้าจะได้ยินเสียงกระดูกหัก…
อาอู่คิด ข้าก็เหมือนกัน…
จากนั้นเฉียวเวยก็ใช้มือข้างหนึ่งจับเฉินต้าเตา กระตุกมือเบาๆ ตัวเขาก็ลอยละลิ่วจากกำแพงด้านนอกข้ามไปยังกำแพงเรือนด้านใน
ในใจของเฉินต้าเตา “…”
…
ณ ห้องหนังสือ ยิ่นอ๋องตั้งกระดานหมากล้อมใหม่ “เจ้าเคยเล่นมาก่อนหรือไม่ สีดำหรือสีขาว”
จิ่งอวิ๋นเลือกหมากสีดำ “ท่านอาจารย์เคยสอนข้ามาบ้างขอรับ”
ประกายตาดูแคลนแวบผ่านสายตาของยิ่นอ๋อง “อาจารย์จากชนบทจะสอนคุณชายจวนอ๋องได้อย่างไร เมื่อเจ้ากราบไหว้บรรพบุรุษแล้ว เสด็จพ่อจะเชิญอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาสอนเจ้า พวกเขาต่างก็เป็นผู้มีความรู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในราชวงศ์ต้าเหลียง”
จิ่งอวิ๋นไม่ตอบ
หมากสีดำได้เดินก่อนและจิ่งอวิ๋นก็เลือกสีดำ เขาจ้องกระดานหมากล้อมครู่หนึ่ง จากนั้นจิ่งอวิ๋นก็วางหมากสีดำลงบนตำแหน่งเทียนหยวน
ยิ่นอ๋องตกใจมาก คนส่วนใหญ่เล่นหมากล้อมต่างเดินจากมุมบนขวาก่อน หรือบางครั้งบางคนอาจจะวางหมากตัวแรกที่มุมบนซ้าย แต่คนที่วางตำแหน่งเทียนหยวนซึ่งเป็นจุดที่อยู่ตรงกลางนั้นมีน้อยมาก ยิ่นอ๋องอดไม่ได้ที่จะนึกถึงจีหมิงซิว เขามักจะเริ่มวางหมากจากตำแหน่งเทียนหยวน
ยิ่นอ๋องขมวดคิ้วเล็กน้อย “อย่าเริ่มจากตำแหน่งเทียนหยวน”
“อ้อ” จิ่งอวิ๋นหยิบหมากล้อมจากตำแหน่งเทียนหยวนและวางไว้ที่มุมบนซ้าย
ครั้งแรกที่จีหมิงซิวถูกฮ่องเต้ดุว่าไม่ให้เดินหมากที่ตำแหน่งเทียนหยวน เขาก็เปลี่ยนไปวางมุมบนซ้ายเช่นกัน ความจริงตำแหน่งที่มุมบนซ้ายเป็นตำแหน่งที่ไม่ค่อยดี เพราะมันอยู่ใกล้คู่ต่อสู้มากกว่ามุมบนขวา ซึ่งเท่ากับส่งตัวเองไปอยู่ใต้สายตาของฝ่ายตรงข้ามโดยตรง ฮ่องเต้พิโรธจีหมิงซิวมาก ทรงดุด่าว่าเขาสมองกลับ แต่ผลสุดท้ายฮ่องเต้กลับพ่ายแพ้ นั่นยิ่งทำให้ฮ่องเต้พิโรธมากขึ้นอีก
ยิ่นอ๋องก็โกรธเช่นกัน เด็กคนนี้จะเหมือนใครไม่เหมือน แต่ดันไปเหมือนเจ้าจีหมิงซิวนั่นหรือ
“ตำแหน่งนี้ก็เดินไม่ได้หรือ” จิ่งอวิ๋นเบิกตากว้าง ถามอย่างไร้เดียงสา
ยิ่นอ๋องขุ่นเคืองอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ระบายลมหายใจออกมาช้าๆ แล้วตอบว่า “ไม่ใช่” เขาเว้นวรรคไปชั่วครู่ ก็กล่าวต่อว่า “อาจารย์สอนเจ้าเดินเช่นนี้หรือ”
จิ่งอวิ๋นส่ายศีรษะ
ยิ่นอ๋องยิ่งรู้สึกอึดอัดใจ ขนาดเดินหมากเองยังเหมือนจีหมิงซิว มันช่าง…
หลังจากสงบสติอารมณ์แล้ว เขาก็สะกดอารมณ์อันคุกรุ่นเข้าไปในส่วนลึก “เดินหมากเถอะ”
จากนั้น ‘สองพ่อลูก’ ก็เริ่มเดินหมาก
ที่สุดแล้วจิ่งอวิ๋นก็เป็นมือใหม่ แม้ว่าเขาจะได้เปรียบในการเดินหมากตัวสีดำก่อน แต่เขาก็ถูกยิ่นอ๋องขวางไว้ทุกย่างก้าว แต่สิ่งที่ยิ่นอ๋องไม่คาดคิดก็คือเด็กคนนี้มีพรสวรรค์อย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ว่าตนเองจะขวางทางเขาเดินอย่างไร ประเดี๋ยวเขาก็ใช้วิธีนั้นมาขวางทางเดินของตนบ้าง หลังจากผ่านไปหลายรอบ จิ่งอวิ๋นก็มองวิธีการเดินหมากของเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จากนั้นเป็นฝ่ายชิงวางก่อน ยึดครองตำแหน่งที่เขาต้องการจะวาง
การเดินหมากกับเด็กอายุห้าขวบทำให้เขาเหงื่อตก หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปเกรงว่าจะกลายเป็นที่น่าขบขันจนฟันร่วง
เคราะห์ยังดีที่นี่คือลูกชายของเขา อันสีครามนั้นกลั่นมาจากต้นคราม แต่สีสันแก่เข้มยิ่งกว่าต้นคราม ดีจริงๆ ดียิ่งนัก!
ในขณะที่ ‘สองพ่อลูก’ กำลังจดจ่ออยู่กับการเดินหมาก เจ้าก้อนกลมๆ สีขาวๆ ตัวหนึ่งก็กลิ้งเข้ามา มันกลิ้งไปยังระเบียงทางเดินเป็นอันดับแรก
องครักษ์ชิงอีเว่ยสี่นายแยกตัวออกไปสาม เหลือไว้หนึ่งคนกับองครักษ์ทั่วไปประจำจวนอ๋องอีกสี่คน
เสี่ยวไป๋ปล่อยสัตว์เลี้ยงตัวโปรดตัวใหม่ที่ตัวเองจับได้ในจวนอ๋องออกมา มันคืองูขาวตัวน้อย งูขาวน้อยแลบลิ้นแปลบปลาบเลื้อยเข้าไปในพงหญ้า องครักษ์ชิงอีเว่ยได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว “ผู้ใด”
จากนั้นเขาก็ออกวิ่งตามไป!
องครักษ์ทั้งสี่เตรียมระวังภัยขั้นสูงสุด
เสี่ยวไป๋ลอดเข้าไปในสวนหย่อม หนึ่งในองครักษ์หันขวับมาเห็นมันเข้า!
เสี่ยวไป๋หยุดอยู่ข้างรูปปั้นสิงโตหิน!
ยกอุ้งเท้าหน้า ยืนตัวตรง มองตรงไปข้างหน้า ไม่ขยับเขยื้อน!
องครักษ์มอง ‘รูปปั้นหิน’ เพียงครู่หนึ่งแล้วเคลื่อนสายตาผ่านไปอย่างไม่ใส่ใจ เรือนหลังนี้ไม่มีคนอยู่มานานแล้ว เพิ่งตกแต่งใหม่เพื่อใช้เป็นสถานที่พักผ่อนของเจ้านายน้อยจึงมีข้าวของสำหรับเด็กเพิ่มมามากมาย รูปปั้นสุนัขตัวเล็กชิ้นหนึ่งย่อมไม่มีอะไรสำคัญ
ส่วนปัญหาข้อที่ว่าเหตุใดจึงไม่เคยพบมันมาก่อน ก็เป็นเพราะมีของเพิ่มเข้ามาในเรือนมากมาย ของที่ไม่เคยเห็นจึงมีอยู่บ้าง
องครักษ์คนแรกมองไปทางอื่น
เสี่ยวไป๋แอบวิ่งไปยังห้องหนังสือต่อ
องครักษ์คนที่สองหันมาพบ สิ่งที่เขาเห็นคือรูปปั้นหินตัวน้อยนั่งนิ่งอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้
องครักษ์คนที่สามเห็นรูปปั้นหินที่เท้าของเขา เขาตกใจแทบแย่ เกือบจะเหยียบของเล่นของเจ้านายน้อยแล้วเชียว ขืนเหยียบเข้าท่านอ๋องคงจะถลกหนังหัวพวกเขาแน่ๆ
ว่าแต่ผู้ใดเอามาวางไว้ที่นี่…
องครักษ์คนที่สี่ก็มองมาเช่นกัน แต่เขาไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น เพราะเสี่ยวไป๋แอบเข้าไปในห้องหนังสือแล้ว
จิ่งอวิ๋นหันหน้าไปทางประตู เขาจึงเห็นเสี่ยวไป๋ที่ค่อยๆ ย่องทีละก้าวเข้ามาในห้องหนังสือ ดวงตาของเขาไหวระริก “เสด็จพ่อ!”
ยิ่นอ๋องตกตะลึง เด็กคนนี้…เรียกเขาว่าเสด็จพ่อ? เขาได้ยินไม่ผิดกระมัง
“เสด็จพ่อมีสิ่งใดเข้าตาข้าก็ไม่รู้”
“มานี่ เสด็จพ่อจะดูให้เจ้าเอง”
จิ่งอวิ๋นเดินอ้อมโต๊ะหมากล้อมไปหยุดอยู่ตรงหน้าของยิ่นอ๋อง ยิ่นอ๋องมองเขา “ตาข้างไหนหรือ”
“ข้างนี้” จิ่งอวิ๋นชี้ไปที่ตาขวา
ยิ่นอ๋องเริ่มสำรวจดูดวงตาข้างขวาของเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสใกล้ชิดกับเด็กคนหนึ่ง ลูกของเขาเอง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกละเอียดอ่อนอันยากจะบรรยายได้ เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด แต่ก็ไม่รู้สึกรังเกียจ
เสี่ยวไป๋ฉวยโอกาสตอนที่เขาเผลอ แอบย่องเข้าไปใต้โต๊ะ!
“ข้าหายแล้ว” จิ่งอวิ๋นกล่าว
ยิ่นอ๋องชักมือที่กำลังจับหน้าของเขากลับ เขากลับไปที่ที่นั่งเดิม ในเวลาเพียงชั่วพริบตานั้นหัวใจของยิ่นอ๋องรู้สึกเหมือนสูญเสียบางสิ่งไป…เขาอยากกอดเด็กน้อยดูสักครั้ง
“ยังจะเดินหมากต่อหรือไม่” จิ่งอวิ๋นถาม
ยิ่นอ๋องตื่นจากภวังค์ “เดินสิ ถึงตาเสด็จพ่อแล้วใช่หรือไม่” หลังจากวางหมาก เขาก็เห็นจิ่งอวิ๋นมองซ้ายมองขวาด้านนอกประตู เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองสวนอันเงียบสงบบ้าง “มีสิ่งใดหรือ”
“ผลไม้ที่อยู่บนต้นไม้นั้นทานได้หรือไม่”
“ได้อยู่แล้ว นั่นคือผลผีผา ถ้าเจ้าอยากกิน เสด็จพ่อจะไปเอามาให้เจ้า”
จิ่งอวิ๋นพยักหน้าหงึกหงัก ยอมรับกลายๆ ว่าเขาอยากกินผลผีผา แต่ในสายตาของยิ่นอ๋องกลับคิดว่าเขายอมรับคำว่าเสด็จพ่อในประโยคสุดท้าย ยิ่นอ๋องพอใจยิ่งนัก เขาวางหมากลงแล้วหมุนตัวออกจากห้องหนังสือ
ขณะที่เขากำลังเก็บผลผีผา จิ่งอวิ๋นก็วางกาน้ำชาผลไม้ไว้ใต้โต๊ะ เสี่ยวไป๋กรอกปัสสาวะลูกเพียงพอนยี่ห้อเทพเพียงพอนใส่กาน้ำชา!
ทว่าเนื่องจากปัสสาวะไปแล้วระหว่างทางจึงมีสินค้าเหลืออยู่ไม่มากนัก
เนื่องจากเหลือไม่มากจึงมีประโยชน์ไม่มากนักเช่น รสชาติไม่หวือหวาจึงตรวจจับไม่ได้โดยง่าย
จิ่งอวิ๋นเขย่ากาน้ำชา เพียงชั่วพริบตาก่อนยิ่นอ๋องผู้ไปเก็บผลผีผาจะกลับมาถึงห้อง จิ่งอวิ๋นก็ได้วางกาน้ำชากลับไปที่ตำแหน่งเดิม
ยิ่นอ๋องส่งผลผีผาให้สาวใช้ที่เฝ้าอยู่นอกประตู สั่งการให้ล้างทำความสะอาดและหั่นให้เรียบร้อยก่อนจะยกเข้ามา
จิ่งอวิ๋นลุกขึ้นยืน เทชาผลไม้ให้ยิ่นอ๋องหนึ่งถ้วย “เสด็จพ่อ ลำบากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ยิ่นอ๋องรู้สึกประทับใจ ก่อนหน้านี้ตอนวั่งซูทำลายเครื่องเคลือบลายครามของเขาจนย่อยยับ เขารู้สึกว่าการเลี้ยงลูกเป็นสิ่งที่เหน็ดเหนื่อยมาก เขาถึงกับรู้สึกเสียใจภายหลัง แต่ในตอนนี้ เขารู้สึกว่าทุกอย่างคุ้มค่า
ปกติยิ่นอ๋องไม่ชอบดื่มชาแปลกๆ เช่นนี้ แต่เป็นเพราะมีเด็กมาอยู่ด้วยสองคน จึงให้ห้องครัวเตรียมไว้กาหนึ่ง ก่อนหน้านี้เคยชิมมาแล้ว แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่ารสชาติแย่กว่าตอนที่ลองชิมหนก่อนเสียอีก
“เสด็จพ่อ พวกลุงองครักษ์ก็ทำงานหนักแล้วเช่นกัน ข้าจะไปเทให้พวกเขาดื่มคนละถ้วยด้วย”
ยิ่นอ๋องก็อยากให้เป็นเช่นนั้น ดื่มไปถ้วยหนึ่งยังทำเอาเกือบตาย ขืนลูกเทให้เขาอีกถ้วย เขาไม่ต้องอาเจียนหรอกหรือ
จิ่งอวิ๋นถือถาดเดินออกจากห้องหนังสือ บนถาดมีชาผลไม้ที่เพิ่งชงมา ‘สดๆ ร้อนๆ’ กับถ้วยน้ำชากระเบื้องเคลือบลายครามสะอาดหลายใบ
“ลุงองครักษ์ นี่คือชาผลไม้ที่เสด็จพ่อให้รางวัลกับพวกท่าน ลำบากพวกท่านแล้ว”
ทำงานรับใช้ท่านอ๋องมาหลายปี ในที่สุดท่านอ๋องก็ประทานชาให้พวกเขาดื่ม ในวันที่อากาศร้อนๆ เช่นนี้ พวกเขากำลังกระหายน้ำอยู่พอดี
องครักษ์รับชาผลไม้ที่เจ้านายตัวน้อยเอามาให้ ต่างก็รู้สึกซาบซึ้งจนแทบร้องไห้
แต่หลังจากพวกเขาดื่มเสร็จ กลับยิ่งอยากร้องไห้มากกว่าเดิม…
ในห้องหนังสือ ยิ่นอ๋องเล่นหมากล้อมกับจิ่งอวิ๋นอยู่พักหนึ่ง ครั้งนี้ปัสสาวะของเสี่ยวไป๋มีปริมาณน้อยจึงออกฤทธิ์ช้า แต่ถึงกระนั้นมันก็ออกฤทธิ์อยู่เช่นเดิม
จู่ๆ ก็มีอาการมวนท้อง ยิ่นอ๋องหน้าซีด “เจ้านั่งรอสักครู่ เสด็จพ่อจะไปเข้าห้องน้ำก่อน”
บริเวณลานเรือน
องครักษ์คนที่หนึ่ง “พวกเจ้าสามคนเฝ้าไปก่อน ข้าไปห้องส้วมสักประเดี๋ยว”
องครักษ์คนที่สอง “พวกเจ้าสองคนเฝ้าไปก่อน ข้าไปห้องส้วมสักประเดี๋ยว”
องครักษ์คนที่สาม “พวกเจ้า…เอ่อเจ้าน่ะ เจ้าเฝ้าคนเดียวไปก่อน ระวังไว้ดีๆ ด้วย ข้า ข้าไปห้องส้วมสักประเดี๋ยว”
องครักษ์คนที่สี่ ข้าก็อยากไปเข้าห้องส้วมเหมือนกันนะ!
ห้องส้วมในหอชิงฮุยมีหลายห้องด้วยกัน ยิ่นอ๋องจองห้องหนึ่ง องครักษ์คนที่หนึ่งจองอีกห้อง ยังมีอีกห้องที่สาวใช้ต่างผลัดกันเข้า ส่วนองครักษ์คนที่สอง องครักษ์คนที่สามและองครักษ์คนที่สี่ต้องขมิบดอกเบญจมาศ ไปแย่งเข้าห้องส้วมที่เรือนอื่นแทน
หอชิงฮุยจึงเหลือเพียงองครักษ์ชิงอีเว่ยคนสุดท้ายที่พลาดชาผลไม้เพราะเขาไปลาดตระเวนที่อื่นมา เขาก็คืออามั่ว ผู้รับใช้ใกล้ชิดยิ่นอ๋องและเคยประมือกับเสี่ยวไป๋และเฉียวเวยมาก่อนแล้ว
จิ่งอวิ๋นวิ่งมาถึงใต้ต้นผีผาก็พบอามั่วยืนอยู่ใต้ต้นไม้ด้วยท่าทางระวังภัย “ลุงอามั่ว เสด็จพ่อเป็นอะไรหรือ เขาไปเข้าห้องส้วมตั้งนานแล้วก็ยังไม่ออกมา หรือว่าตกหลุมส้วมแล้ว ท่านช่วยไปดูได้หรือไม่”
ตกหลุมส้วม? เป็นไปไม่ได้กระมัง แต่ครั้งสุดท้ายที่ยิ่นอ๋องกลับมาจากหมู่บ้านซีหนิว เขาก็เหมือนจะเหยียบเอาเคราะห์ร้ายกลับมาด้วยจริงๆ…
อามั่วขมวดคิ้ว “หลิวกงกงอยู่ที่ใด”
ขันทีหลิวซ่อนตัวอยู่ในครัวใหญ่เพื่อดูแลการทำอาหาร เป็นการให้ความร่วมมือกับปฏิบัติการช่วยเหลือของเฉียวเวย ช่วยไม่ได้ การจงรักภักดีต่อท่านอ๋องเป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่ชีวิตของเขาเองสำคัญยิ่งกว่า
อามั่วไปห้องส้วม
ทันทีที่เขาจากไป เฉียวเวยก็กระโดดเข้ามาในหอชิงฮุย เสี่ยวไป๋พุ่งมาหาราวกับสายฟ้าแลบ จากนั้นพานางเดินหลีกเลี่ยงสายตาของสาวใช้ เข้าไปยังห้องหนังสืออย่างง่ายดาย เฉียวเวยดึงผ้าคลุมหน้าลง “จิ่งอวิ๋น!”
ดวงตาของจิ่งอวิ๋นเป็นประกาย “ท่านแม่!”
“ชู่ววว” เฉียวเวยยกนิ้วชี้ขึ้นมาจุ๊ปากเป็นความหมายว่าให้เขาเงียบเสียง นางก้าวไปข้างหน้าแล้วสวมกอดเขา ดวงตาของนางกวาดไปรอบๆ “น้องสาวเล่า”
จิ่งอวิ๋นชี้ไปที่ฉากบังลม “อยู่ข้างในขอรับ!”
เฉียวเวยจับมือลูกชาย แล้วเดินอ้อมฉากบังลมเข้าไป
ในเวลานี้วั่งซูกำลังนั่งเอาขาไขว้กันอยู่บนเบาะรองนั่งนุ่มๆ ที่ยิ่นอ๋องเอาไว้นั่งพักผ่อน วางขนมหลากหลายชนิดไว้บนโต๊ะ จากนั้นค่อยๆ บรรจุใส่ห่อผ้าใบเล็กของตนเอง
เฉียวเวยยอมใจของนางจริงๆ นี่มันเหมือนการโดนลักพาตัวที่ไหน เหมือนมาพักผ่อนหย่อนใจชัดๆ คล้ายกับการไปพักในโรงแรมแล้วขากลับหยิบฉวยของในโรงแรมกลับไปด้วยอย่างนั้นแหละ
เสียแรงที่เป็นห่วงเด็กคนนี้จริงๆ!
“รีบไปกันเถอะ วั่งซู” เฉียวเวยเอื้อมมือไปอุ้มนาง
เมื่อวั่งซูเห็นเฉียวเวย ตอนแรกนางก็ตกตะลึง จากนั้นก็กระโดดอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่ ท่านแม่! ท่านมาจริงด้วย พี่ชายไม่ได้โกหกข้า! เหตุใดท่านถึงแต่งตัวเช่นนี้เจ้าคะ”
“ชู่ววว เบาเสียงหน่อย” เฉียวเวยปิดปากวั่งซู “แม่แอบเข้ามา ถ้าเจ้าเสียงดังทำให้องครักษ์เข้ามาพวกเราก็ออกไปไม่ได้กันพอดี”
“อ๋อๆ เข้าใจแล้ว!” วั่งซูรีบปิดปากเล็กๆ
เฉียวเวยจูงมือเล็กๆ ของนาง “ไป”
“เดี๋ยวก่อน! ลูกกวาดของข้า!” ลูกกวาดสองชิ้นในห่อผ้าเล็กๆ ของวั่งซูตกลงพื้น วั่งซูก้มลงเก็บ ควานมือหาไปทั่ว พอคว้าได้ของชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งก็รีบเก็บเข้าห่อผ้าทันที
เฉียวเวยพาเจ้าก้อนซาลาเปาน้อยออกจากห้องหนังสือ เฉินต้าเตารออยู่นอกกำแพงเรือนของหอชิงฮุยอยู่ก่อนแล้ว เฉียวเวยโยนเจ้าซาลาเปาน้อยออกไปก่อน เฉินต้าเตาคอยรับพวกเขาทีละคน ตอนรับจิ่งอวิ๋นไม่มีปัญหาอะไร แต่ตอนรับวั่งซู ทันทีที่นางหย่อนก้นลงมา แขนทั้งสองข้างของเขาก็ชา…
นี่เป็นเด็กผู้หญิงจริงๆ หรือ นึกว่าลูกตุ้มเหล็กยักษ์เสียอีก…
หลังจากสะบัดแขนที่ชา เฉินต้าเตาก็รีบเดินตามหัวหน้าพรรคเฉียวไป เดินผ่านพุ่มดอกไม้ไปทางกำแพงด้านทิศใต้
เสี่ยวไป๋กระโดดขึ้นไปบนกำแพงเรือน
ทันทีที่เห็นมันปรากฏตัวขึ้น อาอู่กับหวาเซิงก็รู้ว่าหัวหน้าพรรคทั้งสองทำสำเร็จแล้ว พวกเขาอ้าแขนออกอย่างรวดเร็ว เมื่อครู่โดนหัวหน้าพรรคเฉียวเหยียบจนฝ่ามือชาไปหมด ตอนนี้ยังไม่หายดีเลยจึงต้องใช้ไหล่แทน
คราวนี้เฉียวเวยโยนวั่งซูออกไปก่อน พอโยนออกไปเสร็จกลับไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวทางด้านนั้น…
เพื่อความปลอดภัย เฉียวเวยจึงเหวี่ยงเฉินต้าเตาข้ามไปดูก่อน
เมื่อเห็นหวาเซิงกับอาอู่ที่โดนก้นของวังซูกระแทกจนล้มคว่ำ เฉินต้าเตาก็ปาดเหงื่อเย็นๆ ไม่เสียทีที่ข้าเป็นหัวหน้าพรรค เพียงรู้สึกว่าแขนทั้งสองข้างสูญเสียความรู้สึกไปเท่านั้น…
จิ่งอวิ๋นตัวเบามาก ขนาดเฉินต้าเตาเอาตัวมารองเป็นเบาะให้จิ่งอวิ๋นก็ไม่รู้สึกเจ็บอะไร
เฉียวเวยที่ฉวยตั่งพับมาจากห้อง เอาตั่งพับมาตั้งแนบกับผนัง จากนั้นก็กระโดดออกมา
แล้วนางก็โยนอาอู่กับหวาเซิงที่หมดสติอยู่เข้าไปในรถม้า ให้เด็กๆ เข้าไปนั่งในรถม้า จากนั้นเฉียวเวยก็ฝังเข็มที่แขนของเฉินต้าเตาอีกหลายจุด จนกระทั่งความรู้สึกกลับมาแล้วก็ให้เขาขับรถม้า ส่วนตัวเองก็กระโดดขึ้นรถและจากไปทันที
ยิ่นอ๋องวิ่งเข้าห้องน้ำเจ็บแปดหน เมื่อทนไม่ไหวแล้ว จึงพูดกับอามั่วว่า “ไปที่ห้องหนังสือของข้า ลิ้นชักตัวที่สองด้านซ้ายมือของโต๊ะอ่านหนังสือ มียาแก้ท้องร่วงที่หมอหลวงให้ข้าไว้เมื่อคราวที่แล้วอยู่ เจ้าไปนำมา!”
อามั่วรีบไปหายาทันที ยิ่นอ๋องกินยาแล้วก็ยังต้องเข้าห้องน้ำอีกเจ็ดแปดครั้งอาการถึงดีขึ้น ส่วนองครักษ์ที่เหลือไม่โชคดีนัก แต่ในช่วงเวลานี้ ยิ่นอ๋องไม่มีเวลาไปสนใจอะไรมาก เพราะจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูหายตัวไปแล้ว!
“ท่านอ๋อง! ข้าน้อยพบตั่งตัวนี้อยู่ใต้กำแพงด้านทิศใต้!” อามั่วนำตั่งพับที่เฉียวเวยหยิบฉวยจากห้องหนังสือไปให้ยิ่นอ๋อง
ดวงตาของยิ่นอ๋องหรี่ลงทันที “ข้าคิดว่าหลิวเฉวียนตกหลุมพรางล่อเสือออกจากถ้ำของพวกเขาเสียอีก ไม่นึกเลยว่าพวกเขาจะอยู่ที่กำแพงด้านทิศใต้จริงๆ!”
ยิ่นอ๋องเป็นคนขี้ระแวง หากขันทีหลิวจงใจช่วยปกปิดเรื่องเฉียวเวย บอกว่าเฉียวเวยไม่ได้อยู่ที่กำแพงด้านทิศใต้ เกรงว่ายิ่นอ๋องอาจค้นกำแพงด้านทิศใต้ทันที แต่หากบอกยิ่นอ๋องอย่างชัดเจนว่าเขาเห็นเฉียวเวยที่กำแพงด้านทิศใต้ ในทางกลับกัน ยิ่นอ๋องจะสงสัยว่าเป็นกลอุบายของเฉียวเวยที่เจตนาจะอำพรางสายตาของขันทีหลิว
เพราะขันทีหลิวรู้ใจเจ้านายของตนถึงได้ใช้กลอุบายเท็จเป็นจริง จริงเป็นเท็จเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้เฉียวเวยพาตัวเจ้านายน้อยไปได้เท่านั้น แต่ยังปัดมลทินให้พ้นตัวอย่างไม่ด่างพร้อย
อย่างไรสิ่งที่เขาพูดก็เป็นความจริง! แต่ท่านอ๋องไม่เชื่อเอง!
ยิ่นอ๋องพาคนออกไปตามทันที
ม้าในจวนอ๋องย่อมมิใช่ม้าพันธุ์เลว หนึ่งคนแข็งแรงคู่กับหนึ่งม้ากำยำ เมื่อเทียบกันแล้ว รถม้าที่ลากโดยม้าผอมแห้งสองตัวของเฉินต้าเตาย่อมทำความเร็วได้ไม่น่าพอใจนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีสามบุรุษ หนึ่งหญิงสาวกับสองเด็กน้อยนั่งอยู่บนรถม้าด้วย มีสัมภาระหนักอึ้งเช่นนี้ การจะถูกม้าฝีเท้าดีของยิ่นอ๋องตามทันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว
รถม้าแล่นไปตามถนนที่ว่างเปล่า ทิ้งบ้านสองแถวที่เงียบงันไว้ข้างหลังอย่างรวดเร็ว
เด็กทั้งสองอยู่ในภาวะตึงเครียดมาตลอดทั้งวัน เมื่อกลับมาอยู่ข้างกายเฉียวเวยในที่สุดพวกเขาก็โล่งใจจึงสะลึมสะลือหลับใหลไป
เฉียวเวยกอดลูกไว้ในอ้อมแขนของนางแล้วเปิดม่านดูด้านหลัง เห็นยิ่นอ๋องนำหมู่ทหารองครักษ์ไล่ตามมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน “ต้าเตา พวกเขาใกล้จะตามทันแล้ว!”
“มารดามันเถอะ! เร็วขนาดนี้เชียว!” เฉินต้าเตาฟาดแส้อย่างดุเดือด เมื่อม้าได้รับความเจ็บปวด มันจึงออกวิ่งอย่างสุดกำลัง
ทางนี้เร่งความเร็ว ด้านยิ่นอ๋องก็เร่งความเร็วเช่นกัน ม้าที่เขาขี่เป็นม้าฝีเท้าดีที่วิ่งได้ไกลนับพันลี้ มันโผนทะยานเร็วราวกับลำแสงสีแดงเข้ม เพียงพริบตาเดียวก็วิ่งมาจนเกือบจะทันกับรถม้าของเฉินต้าเตา
“เฉียวเวย ข้าแนะนำให้เจ้าลงมาเสียแต่โดยดี!”
เฉียวเวยสาดน้ำชาร้อนๆ จากกาออกไปนอกหน้าต่าง!
ยิ่นอ๋องตบอานม้าด้วยฝ่ามือ ยืมแรงส่งกระโดดขึ้นบนฟ้า น้ำชาจึงสาดพลาดราดรดบนอานม้าแทน หยดน้ำหลายหยดกระเด็นโดนตัวม้า ม้าสูญเสียการควบคุม วิ่งเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่ง
เมื่อยิ่นอ๋องสูญเสียม้า เขาพลันโกรธจัด ปลายเท้าสะกิดบนหลังคารถม้าครั้งหนึ่งก็เหินมาหยุดอยู่ตรงหน้าม้าของเฉินต้าเตา
เฉินต้าเตาตกใจกับคนที่โผล่มากะทันหันจนขนลุก คิดจะกระชับบังเหียนเปลี่ยนทิศทางก็สายเกินไปเสียแล้ว รถม้ากำลังจะพุ่งชน
ยิ่นอ๋องยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางสายลม เมื่อรถม้ากำลังจะชน เขาก็ยื่นมือออกไปจับหัวม้าไว้!
อีกด้านหนึ่ง องครักษ์ชิงอีเว่ยสองนายโยนขอเกี่ยวเหล็กออกไปเกี่ยวเข้ากับรถม้าอย่างเข้าขา
ด้านหน้ายันไว้ ส่วนด้านหลังก็ดึงไว้ รถม้าจึงถูกบังคับให้หยุด แรงเฉื่อยมหาศาลทำให้อาอู่กับหวาเซิงที่นอนอยู่บนพื้นกระเด็นออกไป เฉินต้าเตากระแทกเข้ากับบั้นท้ายของม้า เฉียวเวยอุ้มเด็กสองคนไว้ โดยที่เกือบจะตกลงมาเช่นกัน แต่โชคดีที่นางยันเท้ากับวงกบประตูไว้ได้
ยิ่นอ๋องปล่อยมือ มองไปยังรถม้าด้วยแววตาแข็งกร้าว “เฉียวซื่อ เจ้ากล้าหาญมาก ถึงกับกล้าลอบเข้าจวนอ๋องและลักพาตัวลูกของข้า! แถมยังวางยาข้ากับองครักษ์ ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!”
ให้สวรรค์เป็นพยาน เฉียวเวยไม่รู้เรื่องปัสสาวะวางยาของเสี่ยวไป๋เลย นางเพียงขอให้เสี่ยวไป๋ไปดูว่าลูกชายกับลูกสาวของนางอยู่ข้างในหรือไม่ ไปดูว่าว่าขันหลิวโกหกหรือไม่ แล้วนางค่อยลอบสังหารทีละคน…ล้อเล่นน่า เรื่องเช่นนั้นหากถูกจับได้คงถูกประหาร แล้วนางจะสั่งให้ลูกชายนางทำเรื่องพรรค์นั้นได้เช่นไร
แต่ตอนนี้นางเดาได้แล้วว่าเป็นฝีมือลูกชาย
ในใจแอบยกย่องความฉลาดของลูกชายเงียบๆ ขณะเดียวกันก็แอบสงบนิ่งไว้อาลัยให้กับความซวยของยิ่นอ๋องอย่างเงียบๆ
ถูกลูกชายของนางทำร้ายถึงสองครั้งสองครา แต่กลับไม่เคยสงสัยลูกชายของนางเลยแม้แต่น้อย ความเฉลียวฉลาดนี้ช่างน่าประทับใจมาก
“ข้าวางยาท่านแล้วจะทำไม ท่านเข้าใจไว้เสียด้วยว่าจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเป็นลูกของข้า พวกเขาไม่เกี่ยวอะไรกับท่าน! ท่านอย่าคิดว่าตัวเองเก่งกาจถึงเพียงนั้น หลับนอนแค่คืนเดียวจะทำให้ข้าตั้งท้องถึงสองคนเชียวหรือ! อีกอย่างหลับนอนจริงหรือไม่ล้วนเป็นคำกล่าวอ้างของท่านฝ่ายเดียว ข้าไม่ยอมรับด้วย!”
ยิ่นอ๋องกำหมัดแน่น “เจ้าจำไม่ได้ แล้วลบสิ่งที่เจ้าเคยกระทำได้หรือไร”
เฉียวเวยถามกลับ “ข้าจำไม่ได้ แล้วท่านจงใจปั้นน้ำเป็นตัวบังคับให้ข้ายอมรับได้หรือ”
“เฉียวซื่อ!” ยิ่นอ๋องตะโกน!
เฉียวเวยดึงมีดสั้นออกมา “ข้าขอเตือนท่าน อย่าได้คิดแย่งลูกของข้าไปอีก!”
ดวงตาของยิ่นอ๋องถมึงทึง “ดูเหมือนว่าเจ้าจะดื้อรั้นให้ได้ เดิมทีข้าเห็นแก่ลูก ตั้งใจจะยกโทษให้เจ้าสักครั้ง แต่ตอนนี้ ไม่จำเป็นแล้ว! จับนางไว้! อย่าทำร้ายเด็ก”
“ขอรับ!”
องครักษ์ชิงอีเว่ยสี่นายล้อมรถม้า ส่วนทหารอีกแปดนายถือดาบโอบล้อมไว้อีกชั้น เมื่อมีองครักษ์ชิงอีเว่ยอยู่ด้วย ส่วนมากพวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นอยู่แล้ว แต่หากมีปลาหลุดอวนออกไป พวกเขาก็จะจับตัวไว้ทันที
เฉินต้าเตาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชิงอีเว่ยเลยด้วยซ้ำ อามั่วกดเบาๆ ก็กดโดนจุดสำคัญของเขา จากนั้นอามั่วก็ดึงม่านขึ้น “ล่วงเกินฮูหยินแล้ว”
เฉียวเวยวางลูกๆ ไว้บนเสื้อที่ปูอยู่บนพื้น นางกำมีดสั้นไว้แน่น พายุอันเย็นเฉียบโหมกระหน่ำอยู่ในดวงตาคู่นั้น