หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 111-2 ลูกชายได้รับการถ่ายทอดจากเขา
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 111-2 ลูกชายได้รับการถ่ายทอดจากเขา
ตอนที่ 111-2 ลูกชายได้รับการถ่ายทอดจากเขา
อากุ้ยกับกู้ชีเหนียงยกไข่เป็ดที่ซื้อวันนี้ขึ้นเกวียน เมื่อเห็นตะกร้าที่เต็มไปด้วยไข่เป็ด พวกเขาคิดว่าเฉียวเวยจะทำกิจการค้าไข่เค็ม แต่เมื่อพวกเขาตามเฉียวเวยไปซื้อด่างชนิดที่กินได้สองร้อยชั่ง เกลือสองร้อยชั่ง ชาดำหนึ่งร้อยชั่ง ขี้เถ้าหนึ่งร้อยชั่ง พวกเขาก็ไม่คิดเช่นนั้นแล้ว
“อากุ้ย เจ้าคิดว่าฮูหยินต้องการทำสิ่งใด” กู้ชีเหนียงถามเสียงเบา
อากุ้ยขมวดคิ้ว “ไม่รู้สิ อย่างไรเสียพรุ่งนี้ก็จะรู้เอง เจ้ากังวลอะไร”
“ก็จริง” กู้ชีเหนียงไม่พูดอะไรอีก
อากุ้ยตระหนักว่าน้ำเสียงที่ตนใช้ไม่ค่อยดีนักจึงรีบขอโทษ “เจ้าอย่าโกรธข้านะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะดุเจ้า ข้าแค่ร้อนจึงหงุดหงิด”
กู้ชีเหนียงยิ้มอย่างเขินอาย “ข้าไม่โกรธเจ้า”
ทั้งสองเคยเป็นอาชายกับสะใภ้ในตระกูลเดียวกันมาก่อน มันไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ครองคู่กัน พวกเขาจึงทะนุถนอมกันมาก อากุ้ยไม่รังเกียจเรือนร่างที่ผ่านชายอื่นมาแล้วของนาง นางก็ดีใจเหลือจะกล่าวแล้ว จะโกรธได้อย่างไร
เฉียวเวยลอบถอนหายใจเบาๆ สวรรค์ใจร้ายแกล้งสุนัขโดดเดี่ยวอีกแล้ว!
หลังจากซื้อส่วนผสมจนครบ เฉียวเวยก็ไปสั่งชั้นวางของอีกแถวหนึ่งกับโถหมักอีกห้าสิบโถ เฉียวเวยไม่สามารถเอาของกลับไปได้หมด ดังนั้นนางจึงจ่ายค่าจัดส่งเพื่อให้พวกเขาไปส่งในตอนบ่าย
เพราะซื้อของมากเกินไป ทำให้ตอนขากลับนั่งรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อไม่ได้ เฉียวเวยจึงไปเช่ารถม้าคันหนึ่งมาจากร้านเช่า
หลังจากขึ้นไปบนภูเขาขนสินค้าลงแล้ว เฉียวเวยก็ให้อากุ้ยกับกู้ชีเหนียงอยู่จัดระเบียบโรงงาน ส่วนตัวเองไปที่หมู่บ้านเก็บแกลบกับขี้เถ้าในหมู่บ้าน เมื่อก่อนตอนที่ทำส่งให้หรงจี้ ใช้แกลบและขี้เถ้าจากบ้านสกุลหลัวก็เพียงพอแล้ว แต่เดือนนี้ต้องทำหนึ่งหมื่นฟองจึงจำเป็นต้องไปซื้อจากที่อื่นจำนวนมาก โชคดีที่แกลบกับขี้เถ้าไม่ใช่ของมีราคานัก เพราะมีกันแทบทุกบ้าน
“ของพวกนี้มีราคาที่ไหนกัน เจ้าต้องการเท่าไร เจ้าก็เอาไปเลย!” แม่ของเอ้อร์โก่วจื่อกล่าว
เฉียวเวยยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่ได้ต้องการเพียงเล็กน้อย แต่ต้องการทั้งหมด”
“ให้เจ้าหมดก็ได้ มันไม่มีราคาขนาดนั้น!” แม่ของเอ้อร์โก่วจื่อได้เงินค่าแรงจากเฉียวเวยหลายตำลึงแล้ว นางรู้สึกว่าตัวเองได้รับมามากเกินไปจึงรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง
เฉียวเวยกล่าวว่า “เอาของท่านไปเปล่าๆ อาจจะไม่เป็นไร แต่ถ้าคนอื่นรู้เข้าว่าของสิ่งนี้เอามาให้ข้าก็มิได้เงินแต่อย่างใด วันหน้าหากพวกเขาคร้านจะเก็บไว้ให้ข้าจะทำอย่างไรเล่า พวกเขาอาจคิดว่าเผาทิ้งเสียให้สิ้นเรื่องดีกว่าก็ได้”
แม่ของเอ้อร์โก่วจื่อคิดตามก็รู้สึกว่าอาจเป็นเช่นนั้นจริง จึงกล่าวว่า “เอาเช่นนี้ ข้าไม่เอาเงินจากเจ้า และข้าจะไม่บอกใคร”
เฉียวเวยยิ้ม “ข้าขอรับความหวังดีของพี่สาวด้วยใจ แต่ข้าเอาของจากท่านโดยไม่จ่ายเงินไม่ได้ หากท่านอยากช่วยข้าจริงๆ ไว้ข้าทำงานไม่ทันแล้วข้าจะมาขอให้ท่านช่วย”
แม่ของเอ้อร์โก่วจื่อจึงกล่าวว่า “เรื่องนี้จะไปยากอะไร ถึงเวลาเจ้าบอกมาเท่านั้นพอ!”
เฉียวเวยซื้อในราคาชั่งละสองอีแปะ ไม่มีแกลบข้าว แกลบข้าวฟ่างก็ใช้ได้ แต่ในหมู่บ้านแห่งนี้นอกจากนางแล้วไม่มีผู้อื่นปลูกข้าวฟ่างอีก ดังนั้นทั้งหมดจึงมีแต่แกลบข้าว เรื่องนี้ทำให้เฉียวเวยฉุกคิดได้เรื่องหนึ่ง ข้าวฟ่างที่นางปลูกมีประโยชน์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือจะได้แกลบข้าวฟ่างมาเปล่าๆ
เฉียวเวยรวบรวมแกลบและขี้เถ้าจากพืชได้ทั้งหมดห้าสิบชั่ง อย่าเห็นว่ามันหนักแค่ห้าสิบชั่ง เพราะความจริงแล้วพวกมันเบา ต้องใช้พื้นที่ในการเก็บมาก ต้องบรรจุหลายกระสอบจึงจะใส่หมด
หลัวหย่งจื้อรับซื้อกุ้งกลับมาแล้ว เขาขนข้าวของของนางใส่ในเกวียน “จะต้องหาซื้ออะไรอีกหรือไม่ น้องสาว”
“ในหมู่บ้านของเรามีใครสานเข่งหรือไม่” เฉียวเวยถาม
หลัวหย่งจื้อตอบว่า “มีสิ พ่อตาของสวีต้าจ้วงอย่างไรเล่า!”
เฉียวเวยตกใจเล็กน้อย “ต้าจวงแต่งงานแล้วหรือ”
“แต่งแล้ว”
เฉียวเวยขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ “ตั้งแต่เมื่อใด ทำไมข้าจึงไม่รู้”
หลัวหย่งจื้ออธิบายว่า “ตอนเจ้าไปซื้อทาสที่เมืองหลวงแล้วพักในเมืองหลวงหนึ่งคืน ก่อนจะกลับมาในวันรุ่งขึ้นนั่นอย่างไร แต่งกันคืนนั้นแหละ เขาไม่ได้จัดงานใหญ่ อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงที่หนีความลำบากมาจากต่างเมืองพร้อมกับกับพ่อขาพิการ ไม่ค่อยสนิทสนมคุ้นเคยกับพวกเรา ต้าจ้วงจึงจัดงานเลี้ยงเพียงสองโต๊ะที่บ้านของตน มีหัวหน้าหมู่บ้านกับผู้เฒ่าในหมู่บ้านไม่กี่คนที่ไปร่วม แม้แต่มารดาของข้าก็ไม่ได้ไป!”
เฉียวเวยแสดงสีหน้าว่าเข้าใจ “เป็นเช่นนี้เอง” นี่มันการแต่งงานสายฟ้าแลบฉบับสมัยโบราณ
หลัวหย่งจื้อส่ายศีรษะ “พ่อตาของเขามีฝีมือดี วันนั้นข้าไปซื้อเข่งกุ้งจากเขา ฝีมือนั้นอย่าบอกใครเชียว!”
หลัวหย่งจื้อเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว มิค่อยเอ่ยถึงผู้ใด กล่าวชมยิ่งไม่มี
เฉียวเวยเริ่มสนใจแล้ว นางจึงไปบ้านสกุลสวีกับหลัวหย่งจื้อ
สตรีนางนั้นค่อนข้างขี้อาย เมื่อนางเห็นพวกเขาจากไกลๆ นางก็เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในห้องครัว ส่วนสวีต้าจ้วงกำลังลับมีดอยู่ในลานบ้าน
“ต้าจ้วง!” หลัวหย่งจื้อยิ้มแย้มทักทายเขา
สวีต้าจ้วงมองเฉียวเวยที่อยู่ถัดจากหลัวหย่งจื้อด้วยความประหลาดใจ “ทำไมพวกเจ้าถึงมาที่นี่ได้”
“น้องสาวของข้าต้องการซื้อเข่งจากพ่อตาของเจ้า! น้องสาวอยากได้เท่าไรหรือ” หลัวหย่งจื้อหันไปมองเฉียวเวย
เฉียวเวยนึกครู่หนึ่งก็พูดเหมือนกำลังขบคิดไปด้วย “สักสามสิบใบก่อน แล้วค่อยลองดูว่าพอหรือไม่”
สวีต้าจ้วงไปคุยกับพ่อตาที่สวนหลังบ้านแล้วออกมาบอกพวกเฉียวเวยว่า “เขาบอกว่าไม่มีปัญหา จะทำเสร็จภายในไม่กี่วัน”
เฉียวเวยนึกได้ว่าพ่อตาของเขาขาพิการ ไม่รู้ว่าร่างกายเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วหรือไม่ นางจึงบอกว่า “ข้าไม่รีบ ท่านให้เขาค่อยๆ ทำ ส่งของมาให้ภายในอีกสิบห้าวันก็พอ”
ตอนบ่ายพ่อค้าได้ขนโถห้าสิบใบและชั้นวางหนึ่งแถวไปส่งยังภูเขา เมื่อเห็นคลังสินค้าว่างเปล่าเต็มไปด้วยโถ ชั้นวางของและอุปกรณ์ทำอาหารที่เรียงรายเป็นระเบียบเรียบร้อย เฉียวเวยก็รับรู้ถึงความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ในใจของนาง มีทั้งความพอใจ มีทั้งความตื่นเต้น
เช้าวันรุ่งขึ้น โรงงานจึงเริ่มทำงาน
ขั้นตอนการผลิตไข่เยี่ยวม้าไม่ซับซ้อน ขั้นแรกคั่วเกลือแล้วบดให้ละเอียด จากนั้นผสมปูนขาวกับน้ำ เมื่อแยกผงแล้วกรองหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นใส่ชาดำในน้ำเปล่าปริมาณพอเหมาะ เติมเกลือลงไปในหม้อ แล้วต้มจนเดือด จากนั้นใส่ปูนขาว ด่างและแกลบหรือแกลบข้าวฟ่าว ผสมกันจนเป็นเนื้อเหนียวข้น แล้วนำไปเคลือบผิวไข่เป็ดไว้
เฉียวเวยยื่นถุงมือให้พวกเขาตามลำดับ “มันกัด อย่าใช้มือทาเคลือบไข่เป็ดโดยตรง”
ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกับรับถุงมือมา
เฉียวเวยสาธิตให้ทั้งสองคนดู ทั้งสองคนทำงานเร็วมาก ประเดี๋ยวเดียวพวกเขาก็หุ้ม ‘เปลือกชั้นนอก’ ให้ไข่เป็ดได้ขนาดใหญ่และสม่ำเสมอ
เฉียวเวยคำนวณไว้แล้ว ไข่เป็ดหนึ่งร้อยฟองต้องใช้เกลือประมาณสามชั่ง ปูนขาวสามชั่ง ด่างกินได้สามชั่ง ชาดำหนึ่งชั่ง หากมากเกินไปหรือน้อยเกินไปจะส่งผลต่อรสชาติ
“ฮูหยิน พวกเรากำลังทำสิ่งใดอยู่เจ้าคะ” กู้ชีเหนียงอดไม่ได้ที่จะถาม
เฉียวเวยไม่คิดปิดบังพวกเขา นางจึงกล่าวว่า “ไข่เยี่ยวม้า”
“เอ๊ะ ไข่เยี่ยวม้าหรือ” กู้ชีเหนียงพูดไม่ออก นางรู้จักไข่เยี่ยวม้า หลังจากที่เฉียนฮูหยินซื้อตัวไปเป็นทาส นางทำงานเป็นผู้ช่วยในครัวอยู่พักหนึ่ง เคยเห็นพ่อครัวทำอาหารจานนี้ พ่อครัวบอกนางให้ทำอย่างระมัดระวัง เพราะนี่คือไข่เทพที่ถือกำเนิดจากธรรมชาติ เกิดจากเป็ดในทะเลสาบเซียน ราคาสูงถึงฟองละสองร้อยอีแปะ บอกให้พวกนางระมัดระวัง ห้ามทำแตก
งานเลี้ยงเมื่อวานก็มีไข่เยี่ยวม้า นางได้ชิมสองสามคำ รู้สึกว่ารสชาติดีมาก นางคิดว่ามันเป็นเป็ดจากทะเลสาบเซียนจริงๆ นึกไม่ถึงว่าฮูหยินของตนจะเป็นผู้ทำขึ้นมา
เฉียวเวยอธิบายว่า “พวกเจ้าเคลือบเปลือกไข่เสร็จแล้วให้นำใส่โถแล้วปิดผนึก เขียนอักษรได้หรือไม่”
กู้ชีเหนียงส่ายศีรษะ
อากุ้ยตอบว่า “ข้าเขียนเป็น”
เฉียวเวยเกือบลืมไปว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นนายท่านรองของจวนขุนนาง การอ่านเขียนคงไม่ใช่ปัญหา ดังนั้นนางจึงบอกเขาว่า “หลังจากปิดผนึกแล้ว ให้เขียนวันที่ไว้ตรงที่ปิดผนึก ข้าจะไปตัดกระดาษ”
หลังจากพูดจบ เฉียวเวยก็เดินออกจากคลังสินค้า
กู้ชีเหนียงพูดอย่างมีความสุข “ไม่คิดว่าคนที่ทำไข่เยี่ยวม้าจะเป็นฮูหยิน ฮูหยินมีความสามารถจริงๆ!”
อากุ้ยพูดด้วยท่าทางเฉยเมย “ก็แค่ทักษะการหลอกลวงเท่านั้น ไข่เป็ดดิบ แต่โม้ว่าเป็นไข่เทพ ต้นทุนต่ำขนาดนั้น แต่ขายข้างนอกถึงฟองละสองร้อยอีแปะ หน้าเงินจริงๆ ทั้งตัวมีแต่กลิ่นเงิน! “
สิ่งที่ผู้มีการศึกษาหยามเหยียดมากที่สุดคือพ่อค้าวาณิช ระหว่างขุนนาง บัณฑิต ชาวนากับพ่อค้า พ่อค้ามีสถานะต้อยต่ำที่สุด
กู้ชีเหนียงกล่าวอย่างไม่พอใจ “ทำการค้าก็เป็นเช่นนี้ ของหายากจึงจะมีราคาแพง เจ้าดูอย่างลิ้นจี่สิ แถวบ้านพวกเราขายชั่งละไม่เท่าไร พอไปถึงเมืองหลวงกลับเพิ่มราคาขึ้นอีกตั้งเท่าไร”
นางชอบเฉียวเวย เพราะเฉียวเวยใช้ชีวิตอย่างที่นางเฝ้าฝันปรารถนา ในโลกใบนี้คงไม่มีสตรีนางใดไม่อยากเป็นอิสระ ได้ทำตามใจตัวเองและมีความคิดของตนเองเหมือนเฉียวเวย ไม่เหมือนสตรีนางอื่นที่เป็นได้เพียงสมบัติในครอบครองของบุรุษไปชั่วชีวิต “กว่าฮูหยินจะมีวันนี้คงไม่ง่าย แม่ม่ายคนหนึ่งต้องเลี้ยงลูกสองคน แต่ก็ยังสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวให้เจริญรุ่งเรืองได้เช่นนี้…เจ้าดูข้าสิ ก็นับว่าเป็นม่ายเช่นกัน แต่ข้าเลี้ยงดูตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดูแลจงเกอร์”
อากุ้ยพูดอย่างอบอุ่น “เจ้าไม่จำเป็นต้องเลี้ยงดูตัวเอง เจ้ามีข้า ข้าจะดูแลเจ้าและจงเกอร์เอง”
“อืม” กู้ชีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า
ตอนบ่ายเฉียวเวยถือโถที่บรรจุไข่เยี่ยวม้าไปที่หรงจี้ นางไม่ได้แวะมานานแล้ว สีหน้าของเถ้าแก่หรงดูบึ้งตึงเล็กน้อย “แหมๆ ลมอะไรพัดเถ้าแก่รองมาถึงนี่ได้ เถ้าแก่รองยังไม่ลืมหรงจี้หรอกหรือ”
เห็นแก่อั่งเปาก้อนโตกับหมูทองคำตัวน้อย เฉียวเวยจึงไม่คิดหยุมหยิมกับเขา นางคลี่ยิ้มตอบว่า “ก็ข้าย้ายเข้าบ้านใหม่อย่างไรเล่า จึงได้ยุ่งอยู่หลายวัน”
เถ้าแก่หรงดีดลูกคิดเล่น แล้วพูดอย่างฮึดฮัด “ข้าว่าเจ้ากำลังหลบหน้าผู้ใดอยู่มากกว่า”
“รู้แล้วยังจะถามอีก” เฉียวเวยส่งไข่ให้เสี่ยวลิ่วเอาไปเก็บ “ระยะนี้คุณหนูผู้ดีนั่นยังมาข้าอีกหรือไม่”
เถ้าแก่หรงหน้ามุ่ยแล้วบอกว่า “มาที่นี่สองครั้ง แต่ทุกครั้งเจ้าก็ไม่อยู่ ต่อมาคงล้มเลิกความตั้งใจจึงไม่กลับมาอีก”
ตัวหลัวจื่ออวี้ก็เป็นคนแปลก ว่าที่สามีของตนมี ‘เมียกับลูก’ อยู่ข้างนอก แต่นางไม่คิดวิธีจัดการว่าที่สามี แต่กลับมาพูดพร่ำเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาแม่ลูกเข้าไปอยู่ในจวนอ๋อง
“บ้านใหม่ไม่เลวนี่ เสี่ยวเฉียว” เถ้าแก่หรงเอ่ยชม ประโยคนี้พูดด้วยความจริงใจ
เฉียวเวยพูดติดตลกว่า “เทียบกับคฤหาสน์อันหรูหราของเถ้าแก่หรงได้ที่ไหน เมื่อไรท่านจะเชิญพวกเราไปเยี่ยมชมคฤหาสน์หลังใหญ่โตของท่านบ้างเล่าเจ้าคะ”
ให้ไปเจอแม่เสือร้ายคนนั้นในบ้านเขาน่ะหรือ อย่าเลย ถ้าเจอกันนางไม่ขย้ำเสี่ยวเฉียวทิ้ง ก็คงขย้ำเขาทิ้งแทน
“เถ้าแก่หรง ลูกค้ามาตามอาหารขอรับ” เสี่ยวลิ่วเอาไข่เยี่ยวม้าไปเก็บ แล้วเดินมารายงาน
ในที่สุดเถ้าแก่หรงก็นึกเรื่องสำคัญออก เขาหันไปมองเฉียวเวยแล้วพูดว่า “จริงสิ ร้านเรามีแขกประหลาดคนหนึ่งมาเยือน ทานเสร็จแล้วก็ถามว่าผู้ใดเป็นคนทำ ข้าลากพ่อครัวเหอออกไปแสดงตัว เขาก็ไม่เชื่อ บอกว่าต้องเป็นผู้หญิงสิ เจ้าคงไม่ได้เคยไปทำอาหารจานเดียวกันนี้ที่อื่น แล้วบังเอิญว่าเขาได้ทานกระมัง”
เฉียวเวยจ้องเถ้าแก่หรง “ข้าไม่เคยทำ! เว้นแต่เขาจะเคยมาทานข้าวที่บ้านของข้า”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าออกไปดูหน่อย ดูว่ารู้จักกันหรือไม่ แต่เจ้าอย่าเพิ่งปรากฏตัว ขืนเจอโจทก์เก่าคงจบไม่สวย”
“ข้ารู้แล้ว”
เฉียวเวยกับเถ้าแก่หรงขึ้นไปชั้นบน แล้วเหลือบมองอย่างเงียบเชียบอยู่ตรงประตู เขาเป็นชายวัยกลางคนท่าทางสง่างามคนหนึ่ง หน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก เสื้อผ้าอาภรณ์มิดูโอ้อวด แต่ทั้งหมดล้วนทำมาจากวัสดุที่ราคาแพงอย่างยิ่ง
เถ้าแก่หรงขยิบตาให้เฉียวเวย จากนั้นทั้งสองก็ลงไปชั้นล่าง เถ้าแก่หรงถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
เฉียวเวยส่ายศีรษะ “ข้าไม่รู้จัก เขามาที่หรงจี้ตั้งแต่เมื่อใด”
เถ้าแก่หรงลูบปลายคาง “ตั้งแต่วันที่ไปปรุงพระกระยาหารถวายฮ่องเต้ช่วงก่อนหน้านี้กระมัง ช่วงนั้นยุ่งเรื่องวังหลวง ข้าจึงลืมบอกเจ้า ข้าลองครุ่นคิดดูแล้ว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมาขโมยตัวแม่ครัวของพวกเราก็ได้ เพราะเรื่องที่เจ้ามาทำอาหารที่หรงจี้ก็ไม่ใช่ความลับอะไร พ่อครัวหวงออกไปแล้ว คนปากมากอย่างเขาจะหุบปากได้หรือ เกรงว่าคนทั้งเมืองคงรู้แล้วว่าหรงจี้มีแม่ครัวหญิง”
เฉียวเวยคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าน่าจะเป็นสาเหตุนั้น เนื่องจากนางไม่รู้จักอีกฝ่าย นางจึงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
เฉียวเวยซื้อปลาไนตัวใหญ่สองตัวจากตลาดนัด แล้วหิ้วปลาไนกลับหมู่บ้าน
อีกด้านหนึ่ง สวี่ซื่อผู้ไม่ได้ข่าวใดๆ มาเป็นเวลานานก็เริ่มทรมานใจอีกครั้ง ไม่ใช่อะไร แต่เพราะจู่ๆ สวี่ซื่อเจี๋ยที่พวกเขาคัดเลือกมาอย่างดีบอกว่าจะลาออกไม่ยอมทำงานต่อแล้ว
พวกเขานัดพบกันที่หอเย่ว์หม่าน สวีซื่อนั่งอยู่ด้านหลังฉากบังลม หลินมามาที่ห้องโถงด้านหน้าพูดกับสวี่ซื่อเจี๋ยว่า “เจ้าเป็นอะไร อยู่ดีๆ ไยจึงมาบอกว่าจะไม่ทำแล้ว ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ถ้าเจ้าทำให้นางแต่งงานด้วยได้ เงินสินเดิมสองพันตำลึงจะเป็นของเจ้า นอกจากนี้ยังมีร้านธัญพืชกับร้านขายผ้าด้วย”
ร้านขายธัญพืชและร้านขายผ้าเป็นร้านที่เสิ่นซื่อซื้อไว้เล่นๆ เมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เวลานั้นยังพอได้กำไรอยู่บ้าง แต่เมื่อเสิ่นซื่อจากไปก็ไม่มีคนดูแล หลายปีมานี้กิจการจึงซบเซาจนรายได้แทบไม่พอกับรายจ่าย การทิ้งพวกมันจึงไม่ต่างจากการโยนห่อผ่าเน่าๆ สองห่อทิ้ง แน่นอนว่าหลินมามาจะไม่ยอมบอกให้สวี่ซื่อเจี๋ยทราบ
ตอนแรกสวี่ซื่อเจี๋ยยอมเสี่ยงทำเรื่องเลวทรามต่ำช้านี้ก็เพราะว่าเห็นแก่ร้านค้าสองแห่งนั้นและเงินจำนวนมหาศาล แต่ตอนนี้เขาไม่ต้องการทำมันแล้ว “หลินมามา เสี่ยวเฉียวเป็นคนดี พวกท่านอย่าคิดทำร้ายนางอีกเลย”
หลินมามาอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ นังแพศยาเฉียวซื่อช่างมีความสามารถมากจริงๆ เพียงไม่กี่วันก็ทำให้สวี่ซื่อเจี๋ยออกหน้าพูดแทนนางได้ หลินมามาระงับความโกรธและพูดกับสวี่ซื่อเจี๋ยอย่างอ่อนโยน “ข้ารู้ว่านางเป็นคนดี ดังนั้นข้าจึงต้องการหาครอบครัวที่ดีให้นาง”
“ขยะอย่างข้า ถือเป็นครอบครัวที่ดีได้หรือ” ไม่ใช่ว่าสวี่ซื่อเจี๋ยดูถูกตัวเอง แต่เขารู้จักตัวเองดี แม้แต่พ่อของเขายังคิดว่าเขาไม่ต่างจากคนไร้ประโยชน์ คนที่มองคนขาดอย่างหลินมามา จะไม่เห็นเชียวหรือว่าเสี่ยวเฉียวเป็นเหมือนเมฆบนท้องฟ้า ส่วนเขาเป็นเพียงเศษดินโคลนบนพื้น
“บอกความจริงกับข้ามา เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่” หลินมามาไม่เชื่อว่าเจ้าหนุ่มนี่จะมีจิตใต้สำนึกขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพียงนี้
สวี่ซื่อเจี๋ยลังเลครู่หนึ่งก็พูดอึกอักว่า “พวกท่าน…พวกท่านรู้หรือไม่ว่าผู้ชายของเสี่ยวเฉียวคือใคร ข้าหมายถึงพ่อของเด็ก”
“ใคร”
สวี่ซื่อเจี๋ยกล่าวด้วยความหวาดผวา “ยิ่นอ๋อง”