หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 141-1 โทสะของหมิงซิว
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 141-1 โทสะของหมิงซิว
ตอนที่ 141-1 โทสะของหมิงซิว
ตกกลางคืน เฉียวเวยเรียกปี้เอ๋อร์กับพวกอากุ้ยสองสามีภรรยามาหา
ชีเหนียงถามขึ้นว่า “ฮูหยิน ดึกป่านนี้มีเรื่องสำคัญอันใดต้องการสั่งพวกเราหรือเจ้าคะ”
เฉียวเวยหันไปมองทั้งสามคนแล้วบอกว่า “ไม่ใช่ข่าวดีอะไรหรอก คืนนี้จะมีมือสังหารกลุ่มหนึ่งมาเยี่ยมเยียน ข้าต้องการให้พวกเจ้าเตรียมตัวไว้ก่อน”
ทั้งสามคนได้ยินคำว่ามือสังหาร สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันควัน
แต่เมื่อนึกถึงอาการบาดเจ็บของเฉียวเจิงก็เหมือนจะเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว
“ฝีมือ…คนครอบครัวนั้นหรือ” อากุ้ยถามอย่างอึกอัก
คนครอบครัวนั้นจะเหี้ยมเกินไปแล้วหรือไม่ รังแกพ่อกับลูกสาวจนกลายเป็นเช่นนี้แล้วยังไม่พอ ยังจะฆ่ากันให้ตายอีก!
เฉียวเวยไม่ตอบ นางไม่ได้จงใจปิดบังชาติกำเนิดของตนกับทั้งสามคน ในเมื่อนางไม่ตอบ ทั้งสามคนจึงเดาได้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางเอ่ยต่อว่า “เป้าหมายของพวกเขาคือข้ากับท่านพ่อของข้า หากพวกเจ้าไม่เป็นฝ่ายไปหาเรื่องพวกเขาก็น่าจะปลอดภัย”
ชีเหนียงเอ่ยอย่างจริงใจ “เวลาเช่นนี้ พวกเราจะปกป้องแต่ตนเองได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ”
เฉียวเวยจึงตอบว่า “เจ้ากับปี้เอ๋อร์ปกป้องตนเอง แต่อากุ้ยข้ามีเรื่องใช้เขา”
อากุ้ย ‘ทีเวลาเช่นนี้กลับคิดถึงข้า! ตอนจ่ายเงินเดือนเล่า!’
เฉียวเวยเหมือนมองทะลุความคิดของเขา จึงยิ้มละไมกล่าวขึ้นว่า “หากพ้นภัยคืนนี้ไปได้ จะตกรางวัลให้เจ้าก้อนใหญ่”
เช่นนี้ค่อยพอใช้ได้หน่อย
อากุ้ยว่า “ฮูหยินเชิญสั่งมาเถิด ต้องการให้ข้าทำอย่างไร”
เฉียวเวยสั่งว่า “ชีเหนียง เจ้าอุ้มจงเกอร์ไปอยู่ที่ห้องของวั่งซูก่อน คืนนี้เจ้ากับปี้เอ๋อร์คอยคุ้มกันเด็กทั้งสามคนไว้ มีจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูอยู่ พวกเขาย่อมไม่กล้าทำอันตราย คงไม่ทำสิ่งใดกับพวกเจ้า”
ชีเหนียงกับปี้เอ๋อร์พยักหน้า
อากุ้ยจับประเด็นสำคัญได้ในทันที “เหตุใดพวกเขาจึงไม่ลงมือกับจิ่งอวิ๋นและวั่งซู…”
“ไม่ต้องถามเหตุผล” เฉียวเวยขัดเขา แล้วกล่าวกับชีเหนียงกับปี้เอ๋อร์ต่อ “ไม่ว่าได้ยินเสียงอะไร พวกเจ้าก็จงอย่าออกมา”
ทั้งสองคนมองตากันและกัน แล้วพยักหน้าช้าๆ “เจ้าค่ะ”
“แล้วนายท่านจะทำอย่างไรเจ้าคะ” ชีเหนียงถาม
เฉียวเวยหรี่ตาลง “ข้ากับอากุ้ยจะจัดการเอง พวกเจ้าไปก่อนเถิด”
ทั้งสองคนถอยออกไป
ชีเหนียงไปอุ้มจงเกอร์ที่นอนหลับอุตุอยู่ในห้องไปไว้บนเตียงหลังใหญ่ของวั่งซู จิ่งอวิ๋นตกใจตื่น ลืมตาขึ้นมาเห็นชีเหนียงกับจงเกอร์ก็สะลึมสะลือถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
ชีเหนียงยิ้มอย่างอ่อนโยน “อากุ้ยเหมือนจะเป็นอีสุกอีใสด้วย เกรงว่าจะมาติดจงเกอร์เข้า จึงให้จงเกอร์มานอนฝั่งนี้คืนหนึ่ง”
“อ้อ” จิ่งอวิ๋นหาวแล้วหลับตาลง
ชีเหนียงลงกลอนประตูจนเรียบร้อย จากนั้นหยิบมีดหั่นผักที่ห่อผ้าไว้สองเล่มออกมาจากแขนเสื้อ ปี้เอ๋อร์ตกใจสะดุ้งโหยง กดเสียงเบาถามว่า “ชีเหนียง เจ้าทำอะไร”
ชีเหนียงสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง กุมหน้าอกที่หัวใจกำลังเต้นตุ้บๆ เอาไว้ “ป้องกันตัว”
ภายในห้องของเฉียวเจิง เฉียวเวยเทเสื้อผ้าที่อยู่ในหีบออกมาจนหมด อากุ้ยที่อยู่ด้านข้างหวาดวิตกเล็กน้อย เดินไปเดินมาอยู่บนพื้น
“กลัวหรือ” เฉียวเวยถาม
อากุ้ยถลึงตาใส่เฉียวเวย “ผู้ใดกลัว ข้าเป็นห่วงชีเหนียงต่างหาก”
หีบถูกเทออกมาจนโล่ง เฉียวเวยปูฟูกนุ่มชิ้นหนึ่งไว้ด้านใน “วางใจเถิด คนกลุ่มนั้นหากไม่จำเป็นก็ไม่ไปกวนจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูแน่”
แม้จีอู๋ซวงทนเห็นนางไม่ได้ แต่ไม่มีเจตนาร้ายต่อหมิงซิวกับลูกทั้งสองคนแม้แต่น้อย จุดนี้นางสังเกตเห็นตั้งแต่ยามอยู่เรือนสี่ประสานแล้ว
อากุ้ยไม่ทราบว่าอีกฝ่ายมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ จึงถามต่ออย่างไม่วางใจ “สถานการณ์แบบไหนที่เรียกว่าจำเป็น”
“หากตามหาข้ากับบิดาของข้าไม่พบ คิดว่าพวกเราไปซ่อนอยู่ในห้องนั้น” เฉียวเวยตอบ จากนั้นอุ้มเฉียวเจิงที่สลบไสลอยู่ลงมาวางในหีบอย่างแผ่วเบา
อากุ้ยหน้าถอดสี “แล้วท่านยังจะซ่อนนายท่านไว้อีกหรือ”
เฉียวเวยเหล่มองเขาอย่างเย็นชา “ทำไม ชีวิตผู้หญิงของเจ้าสำคัญ แล้วชีวิตบิดาข้าไม่สำคัญหรือ”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น…” อากุ้ยหน้าแดง “ข้าเป็นห่วงชีเหนียงเกินไปเท่านั้น”
เฉียวเวยใช้มีดสั้นเจาะรูบนหีบแล้วปิดฝาหีบลง จากนั้นเลือกเสื้อผ้าเก่าของเฉียวเจิงชุดหนึ่งโยนไปให้อากุ้ย “สวมเสีย”
อากุ้ยเปลี่ยนชุดอย่างยอมจำนนต่อโชคชะตา
เฉียวเวยเรียกเสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์เข้ามาหา เจ้าตัวน้อยทั้งสองติดอาวุธพร้อมออกศึก
จูเอ๋อร์ถือหนังสติ๊กของจิ่งอวิ๋นมาพร้อมกับลูกกระสุน ลูกกระสุนทำมาจากขี้ผึ้งแข็ง ยิงถูกตัวไม่เจ็บเท่าใดนัก แต่ด้านในมีบางสิ่งที่สยบศัตรูได้ชะงัด
ส่วนเสี่ยวไป๋ ตัวมันร้อยพิษไม่กล้ำกราย เฉียวเวยจึงทายาพิษไว้ทั่วกรงเล็บกับขนของมัน ที่ฟันก็ทาไว้นิดหน่อย
เสี่ยวไป๋เกือบจะเลียยาพิษอย่างเอร็ดอร่อยแล้ว แต่มันอดทนเอาไว้
หลังจากนั้นเฉียวเวยก็มองท้องนภาสีดำสนิทที่ไม่เห็นแสงจันทร์แม้สักเสี้ยว “ข้าดูจากดวงดาวบนฟ้า…”
“เจ้าดูดาวเป็นด้วยหรือ” อากุ้ยทำหน้าไม่เชื่อ
เฉียวเวยยิ้มละไม “คุณชายผู้คาบช้อนทองโตมาอย่างเจ้าย่อมไม่เข้าใจ”
เฉียวเวยกล่าวจบ ก็ไปที่สวนด้านหลัง โยนถังไม้ให้อากุ้ยสองใบ “ขนน้ำไปไว้ในสระ”
อากุ้ยไม่เข้าใจว่าที่แท้นางกำลังจะทำสิ่งใดกันแน่ แต่ก็ยังตักน้ำไปไว้ในสระด้วยกันกับนาง ต่อจากนั้นอากุ้ยก็เห็นนางอุ้ม ‘เชือกประหลาด’ มัดหนึ่งออกมาจากบ้าน ใส่ปลายด้านหนึ่งไว้ในสระ ส่วนอีกด้านหนึ่งส่งให้จูเอ๋อร์ ให้จูเอ๋อร์ผูกไว้บนยอดไม้
…
“หัวหน้าค่าย หัวหน้าค่าย” บนเขาวายุทมิฬ ตู้ซานเชียนหมอบอยู่ในพงหญ้า ใช้กระบอกวิเศษที่ปล้นมาจากพ่อค้าผู้เคยเดินทางไปเยือนตะวันตกเฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวของทางคฤหาสน์ กระบอกนี้ไม่รู้ว่าไว้ใช้ทำสิ่งใด แต่มองสถานที่ห่างไกลได้ชัดยิ่งนัก “พี่ใหญ่พวกเขามีลิงมาเพิ่มตัวหนึ่ง”
หัวหน้าค่ายนอนอยู่ข้างตัวเขาอย่างเกียจคร้าน ปากคาบหญ้าหางสุนัขก้านหนึ่งเอาไว้ มองท้องนภาโค้งสีดำสนิท “วันนี้เหตุไฉนมิมีแสงจันทร์หนอ ดวงดาวก็ไม่มี”
ตู่ซานเชียนเล่าอย่างตื่นเต้น “ลิงตัวนั้นปีนต้นไม้แล้ว! ท่านดูสิ พี่ใหญ่! ข้าพนันว่านั่นจะต้องเป็นลิงตัวเมียตัวหนึ่ง!”
“คืนเดือนมืดลมสงัดไร้ดารา เงินตราน้ำมันข้าวสารหามีไม่ มิขอลาภยศสรรเสริญให้เกริกไกร ขอแต่แป้งสาลีสักสามกระบวย” หัวหน้าค่ายผู้เปี่ยมพรสวรรค์ร่ายบทกวีขบขันฉบับค่ายโจรภูเขาออกมา ทุกครั้งในเวลาเช่นนี้เขามักจะคิดถึงอาหารรสโอชะที่เสี่ยวเว่ยเคยนำกลับมาเป็นพิเศษ นับตั้งแต่เสี่ยวเว่ยถูกเปิดโปงความลับ เขาก็ไม่นำอาหารจากคฤหาสน์กลับมาอีก พอขาดน้ำมันเข้าหน่อย ก้อนไขมันบนร่างเขาก็เริ่มรังเกียจรังงอนเขาแล้ว
ตู้ซานเชียนตบหัวไหล่ของหัวหน้าค่าย “หัวหน้ารีบดูเร็ว พวกเขาเริ่มทำงานกันอีกแล้ว ครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะทำอันใด จะฝังทองคำหรือไม่”
“ฝังทองหรือ” หัวหน้าค่ายกระตือรือร้นขึ้นมา
ตู้ซานเชียนกล่าวว่า “พวกเขาท่าทางลับๆ ล่อๆ จะต้องกำลังฝังทองเป็นแน่ หัวหน้าค่าย พวกเราไปขโมยกันเถิด! ขโมยได้แล้วจะได้ไปซื้อเนื้อกิน! ข้าอยากกินเนื้อน้ำแดง! แล้วก็ลูกชิ้นหัวสิงโต! ดีที่สุดขอห่านย่างตัวใหญ่ๆ อีกสักสองตัว!”
หัวหน้าค่ายกลืนน้ำลาย “เรียกเสี่ยวเว่ยหรือยัง”
ตู้ซานเชียนบอกว่า “เขาดูแลเวยเหมิ่งอยู่แหนะ ไม่ต้องเรียกเขาหรอก” สาเหตุสำคัญก็เพราะกลัวเจ้าหนูคนนี้จะหันไปเข้ากับฝ่ายศัตรูอีก ครั้งก่อนพวกเขาอุตส่าห์จับตัวประกันกับได้สูตรมาแล้ว เสี่ยวเว่ยกลับบีบบังคับให้พวกเขาปล่อยคนไป เจ้าหนูคนนี้ไม่ผ่านคุณสมบัติของความเป็นโจร!
ตู้ซานเชียนเอ่ยต่อว่า “ขโมยทองแล้ว พวกเราก็ถือโอกาสไปขโมยยาให้เวยเหมิ่งด้วย”
หัวหน้าค่ายตกลงอย่างยินดีปรีดา แล้วเรียกกับเจียงเสี่ยวซื่อที่ไม่รู้ว่าเหม่ออะไรอยู่ด้านหลัง “เจียงเสี่ยวซื่อ ไป!”
เจียงเสี่ยวซื่อสายตาไม่ค่อยดีนัก เขาคว้าเชือกป่านบนพื้นยัดเข้ามาในตะกร้า “งูไผ่เขียว ไปกันเถิด!”
งูไผ่เขียวที่ถูกทิ้งไว้ที่เดิม “…”
…
ในป่ามืดทึบ มือสังหารกลุ่มหนึ่งซุ่มซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ เมื่อก่อนยามรับภารกิจเช่นนี้ ส่งมือสังหารสองคนไปก็พอแล้ว แต่ได้ยินมาว่าสตรีนางนี้ฝีมือไม่ธรรมดา พวกเขาจึงส่งกำลังพลชั้นยอดมากกว่าครึ่งที่ประจำอยู่เมืองหลวงออกมา
มือสังหารหมายเลขหนึ่งหักกิ่งไม้แล้วขีดเส้นบนพื้น “เป้าหมายครั้งนี้มีทั้งหมดสองคน เป็นบิดากับบุตรสาว บุรุษอายุสี่สิบเอ็ดปี พูดสำเนียงเมืองหลวง หลายปีที่ผ่านมาระเหเร่ร่อนอยู่ข้างนอก เพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงได้ไม่กี่วัน สตรีอายุราวยี่สิบปี สูงห้าฉื่อ หน้าตาสะสวย อาจเรียกได้ว่างดงามเป็นเลิศ แล้วเหมือนจะรู้วิชาแพทย์อยู่บ้าง ลงมือโหดเหี้ยมนัก ฝีมือก็ยอดเยี่ยม เอาล่ะ ตอนนี้พวกเรามาดูภาพเหมือน”
ทุกคน ‘มีภาพเหมือนเจ้าก็บอกตั้งแต่แรกสิ’
มือสังหารหมายเลขหนึ่งคลี่ภาพเหมือนออก
ทุกคนอาศัยแสงจากมุกราตรีมอง ทันใดนั้นก็เกือบจะสำลัก
หัวโตหูกาง จมูกชี้ฟ้า ใบหน้าเต็มไปด้วยก้อนเนื้อ อัปลักษณ์เช่นนี้ยังเรียกว่างามเป็นเลิศอีกหรือ
“อะแฮ่ม!” มือสังหารหมายเลขหนึ่งเก็บภาพเหมือน “หัวหน้าฐานบัญชาการมอบภาพเหมือนที่นายจ้างให้มากับหัวหน้าพรรคไปแล้ว นี่เป็นภาพที่หัวหน้าฐานวาดออกมาจากความทรงจำของตนเอง สรุปก็คือสตรีนางนั้นพิเศษอยู่บ้าง พวกเจ้าเห็นนางแวบแรกก็จะรู้ว่าเป็นนางแน่นอน”
“ผู้ชายไม่มีภาพเหมือนหรือ” มือสังหารหมายเลขสองถาม
มือสังหารหมายเลขหนึ่งตอบ “ไม่มี แต่เขาก็ระบุตัวง่ายมากเช่นกัน อย่างแรกที่ข้าเพิ่งบอกไป เขาอายุราวสี่สิบต้นๆ”
…
“หัวหน้าค่าย หัวหน้าค่าย ท่านเร็วหน่อยได้หรือไม่ ท่านช้าเช่นนี้ ฟ้าสางพวกเราก็ยังไปไม่ถึง! นี่เดินลงเนินมิใช่เดินขึ้นเนินเสียหน่อย ท่านก็หอบเช่นนี้แล้วหรือ” ตรงไหล่เขาของเขาวายุทมิฬ ตู้ซานเชียนหันหลังกลับไปมองหัวหน้าค่ายที่ตนทิ้งไว้ด้านหลังไกลโพ้น แล้วขมวดคิ้วบ่น
หัวหน้าค่ายจับลำต้นของต้นไม้ หอบหายใจไม่ทัน “เจ้าเด็กเวร…ตนเองอายุน้อยแล้วยอดเยี่ยมมากใช่หรือไม่…รอเจ้าอายุถึงสี่สิบ…ข้าขอบอกเจ้า…เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก…”
…
มือสังหารหมายเลขหนึ่งกล่าวต่อว่า “แล้วนายจ้างยังบอกอีกว่า เขาบาดเจ็บที่ศีรษะ”
“โอ้ย!” หัวหน้าค่ายสับขาไล่ตามตู้ซานเชียนกับเจียงเสี่ยวซื่อ แต่แล้วเรื่องร้ายก็บังเกิด ไม่รู้ว่าเขาชนถูกอะไรเข้า คนจึงกลิ้งหลุนๆ เหมือนลูกแตงโมลงไปด้านล่าง กลิ้งไปจนชนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งถึงหยุด
หัวหน้าค่ายกุมหน้าผาก เจ็บจนสูดปากเสียงดัง
“หัวหน้าค่ายท่านเป็นอย่างไรบ้าง” ตู้ซานเชียนวิ่งมาหาแล้วเพ่งสายตามอง “โอ๊ะ! ศีรษะท่านแตกแล้ว!”
…
มือสังหารหมายเลขหนึ่งเอ่ยต่อ “ข้ายังสืบข่าวมาอีกเล็กน้อย บนเขามีคนงานอยู่สี่คน สองคนในนั้นเป็นบุรุษ คนหนึ่งอายุราวสามสิบปีนามว่าอากุ้ย คนหนึ่งอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีนามว่าเสี่ยวเว่ย สตรีคนนั้นยุ่งอยู่กับการจัดการพวกเรา คงไม่มีเวลาดูแลบิดาของนาง นางจะต้องส่งสองคนนี้ไปคุ้มกันเขาแน่ อย่าเพิ่งตัดความเป็นไปได้ที่พวกเขาอาจจะคุ้มกันเขาย้ายไปยังที่ปลอดภัย”
เขาเพิ่งเอ่ยจบ มือสังหารอายุน้อยที่อยู่ในลำดับสุดท้ายก็ชี้ไปยังตีนเขาแล้วกล่าวขึ้นว่า “พวกท่านดูนั่น!”
ทุกคนมองตามไป ก็เห็นบุรุษหนุ่มสองคนกำลังประคองบุรุษอีกคนหนึ่งเดินไปข้างหน้าอย่างยากลำบากอยู่ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดดั่งสีน้ำหมึก
บุรุษที่อยู่ตรงกลางอายุสี่สิบต้นๆ ศีรษะได้รับบาดเจ็บ บุรุษสองคนด้านข้าง คนหนึ่งอายุราวสามสิบปี อีกคนอายุราวสิบเจ็ดถึงสิบเก้าปี นั่นไม่ใช่เป้าหมายลำดับหนึ่งที่พวกเขาตามหากันหรอกหรือ
มือสังหารหมายเลขหนึ่งยิ้มหยัน “เห็นหรือไม่ข้าบอกว่าอะไร พวกเขาจะคุ้มกันเป้าหมายย้ายไปยังที่ปลอดภัยใช่หรือไม่ น่าเสียดาย มาพบกับมือสังหารพรรคโลหิตพิฆาต ติดปีกก็ยากหนีพ้น!”
มือสังหารหมายเลขหนึ่งทิ้งมือสังหารส่วนหนึ่งไว้รอคำสั่งที่เดิม ส่วนคนที่เหลือพุ่งตามเขาออกไป!
ฝ่ายหัวหน้าค่ายหลังจากศีรษะกระแทกหินจนหัวแตกเลือดอาบ พวกเขาก็จำเป็นต้องทิ้งแผนการขโมยทองกับขโมยยา เปลี่ยนเป็นเดินทางกลับค่ายวายุทมิฬ ผู้ใดจะคาดคิดว่าเพิ่งหมุนตัวกลับก็ถูกคนชุดดำที่มีไอสังหารแผ่ออกมาทั่วร่างกลุ่มหนึ่งขวางทางเอาไว้
ในฐานะโจรภูเขารุ่นที่สิบเอ็ดแห่งค่ายวายุทมิฬ ที่ผ่านมามีแต่พวกเขาดักขวางทางผู้อื่น ผลัดถึงตาผู้อื่นมาขวางทางพวกเขาตั้งแต่เมื่อใด
หัวหน้าค่ายปวดหัว จึงตวาดเสียงเข้ม “วันนี้ข้าไม่อยากเปิดกิจการ หากรู้จักสถานการณ์ก็รีบไสหัวไปให้พ้นเสีย!”
มือสังหารทั้งหลายเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า เงียบอยู่พักใหญ่ จู่ๆ ก็หัวเราะฮ่าๆ นายท่านตกยากคนหนึ่งสั่งให้พวกเขาไสหัวไป พวกเขาเป็นมือสังหารของพรรคโลหิตพิฆาต มีแต่ตาเฒ่าบ้านนอกที่มิเคยพบเห็นโลกจึงจะไม่ทราบความร้ายกาจของพวกเขา!
มือสังหารหมายเลขหนึ่งส่งสัญญาณมือ “สังหารเป้าหมายลำดับหนึ่ง ผู้ที่ขัดขวาง สังหารไม่เว้น!”
มือสังหารทั้งหลายได้รับคำสั่งก็เหวี่ยงดาบและกระบี่พุ่งเข้าไป
โจรภูเขาทั้งหลายคิดไม่ถึงว่าคนกลุ่มนี้บอกจะฆ่าก็ฆ่า แล้วแต่ละคนยังถือดาบจริงอาวุธจริง ทำท่าจะลงมือโหดเหี้ยมเด็ดขาด เหมือนอยากจัดการให้พวกเขาถึงที่ตาย
นี่ทำเกินไปแล้วนะ ปกติพวกเขาดักปล้นยังเพียงปล้นของไม่ฆ่าคนเลย
พวกสารเลวกลุ่มนี้มาจากที่ใด บอกจะฆ่าก็ฆ่า
หัวหน้าค่ายนับว่าวรยุทธ์ไม่เลว แต่น่าเสียดายศีรษะบาดเจ็บอยู่ พลังจึงลดน้อยลงอย่างมาก
ตู้ซานเชียนใช้พิษเป็นหลัก เขาลอบโจมตีได้ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง แต่ยามผจญศัตรูซึ่งหน้า ฝีมือแค่พอใช้ได้เท่านั้น
ส่วนเจียงเสี่ยวซื่อ สายตาของเจ้าหมอนี่แม้แต่งูกับเชือกยังแยกไม่ออก ยิ่งไม่ต้องหวังว่าเขาจะแยกออกว่าผู้ใดเป็นศัตรู ผู้ใดเป็นมิตร
หัวหน้าค่ายเพิ่งจัดการมือสังหารคนหนึ่งคว่ำ หันกลับมาเห็นเจียงเสี่ยวซื่อถูกคนล้อมอยู่ จึงรีบไปช่วยเจียงเสี่ยวซื่อออกมา
เจียงเสี่ยวซื่อกลับคิดว่าเขาเป็นมือสังหาร หนึ่งหมัดประเคนเข้าตรงแผลที่ลำบากนักกว่าเลือดจะหยุดไหลของเขา
หัวหน้าค่ายโกรธจัด “เจียงเสี่ยวซื่อ! เจ้าตาไม่ดีหรือไร!”
เวรกรรม ก็เขาตาไม่ดีจริงๆ นี่…
คนน้อยสู้คนมากมิได้ กำลังคนต่างกันเกินไป แขนของตู้ซานเชียนถูกกระบี่ฟันเข้าหนึ่งแผล หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงสู้ไม่ไหว ช้าเร็วต้องจบชีวิตแน่
หัวหน้าค่ายล้วงนกหวีดชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วเป่าสุดแรง!
เจินเวยเหมิ่งผู้สะลึมสะลืออยู่สะดุ้งตื่นลุกขึ้นมานั่ง “หัวหน้าค่ายมีอันตราย!”
เสี่ยวเว่ยหาวหวอด “ท่านฝันไปแล้วกระมัง ข้าไม่เห็นได้ยินอะไร พวกท่านได้ยินหรือไม่”
ทุกคนส่ายหน้า
เจินเวยเหมิ่งเบิกตาโต “ดังอีกแล้ว! หัวหน้าค่ายมีอันตรายจริงๆ!”
“หัวหน้าค่ายไม่ได้ดูดาวอยู่ข้างนอกหรือ อันตรายอะไร” เสี่ยวเว่ยหาวหวอด เดินออกไปที่ประตูอย่างมึนๆ “หัวหน้าค่าย เจินเวยเหมิ่งบอกว่าท่าน…เอ๋ หัวหน้าค่ายเล่า”
หัวหน้าค่ายหายไปแล้ว ตู้ซานเชียนกับเจียงเสี่ยวซื่อก็หายไปด้วย
ทุกคนระแวดระวังขึ้นมาทันใด เพ่งสมาธิเงี่ยหูฟัง แล้วก็ได้ยินเสียงนกหวีดจากตนเขาจริงๆ
โจรภูเขาหน้าตาเหี้ยมหาญคนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า “บัดซบ! กล้าทำร้ายหัวหน้าค่ายของพวกข้า! พี่น้องทั้งหลาย ไปจัดการมัน!”
โจรภูเขาสิบกว่าถึงยี่สิบคน ยกเว้นเจินเวยเหมิ่งที่ล้มป่วยลุกไม่ขึ้น ต่างหยิบดาบเล่มโตเฮละโลกันลงไปจากภูเขา
“เจ้าฟังสิ มีเสียงดัง!” ภายในห้องของเฉียวเจิงด้านในคฤหาสน์ จู่ๆ เฉียวเวยก็เปิดปากขึ้นมา
อากุ้ยเงี่ยหูฟัง “มีเสียงอาวุธ เหมือนจะอยู่ที่ตีนเขา”
พวกเฉียวเวยอยู่บนเขาจึงได้ยินเสียงขาดๆ หายๆ แต่ชาวบ้านในหมู่บ้านล้วนถูกปลุกให้ตื่นกันหมด
หัวหน้าหมู่บ้านสวมเสื้อตัวหนึ่ง ด้านล่างสวมแต่กางเกงตัวในเพียงตัวเดียว เปิดประตูบ้านอกมาพร้อมกับสีหน้าลนลาน เขายื่นศีรษะออกมามอง แล้วก็ถูกประกายดาบเงากระบี่อันดุดันเหล่านั้นทำเอาขวัญผวาตัวสั่น หุบประตูปิดทันควัน ร่างกายพิงกับบานประตู “มารดาช่วยข้าด้วย นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดมีคนมามากมายเช่นนี้ แล้วยังใช้ดาบอีก”
ป้าหลัวก็ตกใจเช่นเดียวกัน นางสวมรองเท้าจะเดินไปข้างนอก
“ท่านแม่ ท่านทำอะไร” หลัวหย่งจื้อดึงนางเอาไว้
ป้าหลัวสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตอบว่า “ข้าจะไปดูว่าเกิดเรื่องอะไรกับน้องสาวเจ้าหรือเปล่า”
หลัวหย่งจื้อขมวดคิ้ว “ด้านนอกอันตรายเกินไป ท่านรออยู่ที่บ้าน ข้าจะไปดูเอง”
“ข้าจะไปเอง!”
“ชุ่ยอวิ๋น พาแม่ข้าเข้าไป!”
ชุ่ยอวิ๋นลากป้าหลัวเข้ามาในบ้าน
หลัวหย่งจื้อถือมีดหั่นผักเล่มหนึ่ง เร้นกายเข้าไปในความมืดอย่างเงียบเชียบ เพียงครู่เดียวก็ย้อนกลับมา บอกป้าหลัวว่า “ไม่เห็นน้องสาว เหมือนจะเป็นโจรภูเขากลุ่มหนึ่งสู้กับมือสังหารกลุ่มหนึ่ง คงจะเป็นโจรภูเขาพวกนั้นดันไปปล้นคนที่ไม่สมควรปล้นเข้า ผู้อื่นเลยหามือสังหารมาแก้แค้นพวกเขา”
ป้าหลัวโล่งอก “ไม่ใช่เสี่ยวเวยก็ดีแล้ว”
บนภูเขาอีกฝั่งหนึ่ง เฉียวเวยถืออาวุธเดินออกจากบ้าน
อากุ้ยไล่ตามมา แล้วถามอย่างกังวล “ฮูหยินท่านคิดจะทำอะไร ไม่ได้ยินเสียงพวกเขาสู้กันอย่างดุเดือดปานนั้นหรือ ตอนนี้บุกออกไปอันตรายอย่างยิ่ง!”
เฉียวเวยหรี่ตา “คนกลุ่มนั้น ไม่แน่อาจจะเป็นคนที่จะมาสังหารข้าคืนนี้”
อากุ้ยขมวดคิ้ว “นั่นแล้วอย่างไร ให้คนอีกกลุ่มขวางไว้ก่อน ลดกำลังของพวกเขา รอตอนพวกเขาขึ้นเขามา เจอกับดักที่พวกเราวางไว้อีก โอกาสชนะย่อมมากขึ้น”
เฉียวเวยอธิบายว่า “การที่พวกเรา ‘เฝ้าตอไม้รอกระต่าย’ เป็นเพราะไร้ทางเลือก ไม่รู้ร่องรอยของอีกฝ่ายจึงไม่ทราบว่าจะต้องลงมือโจมตีจากทางไหน แต่ตอนนี้รู้แล้ว ย่อมพลาดโอกาสอันดีไปไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นศัตรูของศัตรูก็คือมิตร ตอนนี้พวกเราบุกออกไปย่อมมิต้องสู้เพียงลำพัง”
อากุ้ยมีนิสัยชอบตั้งรับ เขาไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดของเฉียวเวย เทียบกับการบุกโจมตี เขายินดีจะตั้งรับมากกว่า แต่เฉียวเวยเป็นเจ้านายของเขา เขาไม่ฟังก็ไม่ได้
ทั้งสองคนพาเสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์วิ่งลงจากเขา
โจรของค่ายวายุทมิฬแห่กันออกมาจนหมด พวกเขากำลังต่อสู้กับมือสังหารอย่างดุเดือด พวกมือสังหารสู้ไปพลางก็ฉงนงงงวยไปด้วย รู้สึกว่าเป้าหมายเหมือนจะแปลกๆ ชอบกล!
เจ้าลิงกังคนนี้เป็นนายท่านตระกูลขุนนางคนหนึ่งจริงหรือ!
แล้วไหนว่าพูดสำเนียงเมืองหลวงอย่างไรเล่า แต่พวกเขาฟังแล้วเหมือนจะไม่ใช่เช่นนั้นนะ!
“โคดพ่อโคดแม่สันดาน! เวนตะไล! บักห่ากินหัว! กล้าลอบจู่โจมบิดา บิดาจะตบบ้องหูพวกเจ้า!”
หัวหน้าค่ายฟาดฝ่ามือใส่บ้องหูของมือสังหารคนหนึ่งจนตัวปลิว
เมื่อได้เห็นฝีมือของเขา ในที่สุดเหล่ามือสังหารก็รู้ว่าตนเองลอบโจมตีผิดคนแล้ว แต่จนปัญญาที่พวกเขาทำพี่น้องของผู้อื่นบาดเจ็บเสียแล้ว ต่อให้พวกเขายอมเลิกราแต่โดยดี แต่ผู้อื่นคงไม่ยอมแล้ว
ทั้งสองฝั่งต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่อีกฝ่ายอย่างไรเสียก็เป็นมือสังหารที่ผ่านการฝึกฝนมา เริ่มแรกบรรดาโจรภูเขาอาศัยจำนวนคนที่ได้เปรียบครองความเหนือกว่าอย่างหวุดหวิด แต่หลังจากต่อสู้รุกรับกันหลายรอบโจรภูเขาทั้งหลายก็หมดเรี่ยวแรงจนค่อยๆ ตกเป็นรอง
“ฮูหยิน ท่านดู! นั่นเสี่ยวเว่ย! เจ้าหนูคนนี้พาคนมาช่วยพวกเรา!” อากุ้ยชี้เงาร่างผอมบางร่างหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างยากจะปิดบังความซาบซึ้งใจ
เขาดูแคลนเสี่ยวเว่ยมาตลอด แต่เวลานี้เขากลับรู้สึกว่าเงาร่างของเสี่ยวเว่ยที่อยู่ในสายตาดูยิ่งใหญ่นัก เขาตัดสินใจว่านับจากนี้จะดีกับเสี่ยวเว่ย!
เสี่ยวเว่ยทำหน้ามึนงง หัวหน้าค่ายทำอะไรของเขา หาเรื่องพวกคนฝีมือร้ายกาจกลุ่มนี้ทำอะไร คนเหล่านี้ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นมือสังหาร พวกเขาสู้ได้เสียที่ไหนเล่า
เสี่ยวเว่ยเพิ่งหลบกระบี่คมกริบที่มือสังหารสักคนฟันเข้าใส่ ขณะที่กำลังจะแกว่งดาบเข้าประจันหน้า ด้านหลังก็มีมือสังหารอีกคนหนึ่งย่องเข้ามาอย่างเงียบเชียบ แล้วยกกระบี่ขึ้นฟันลงมาหาศีรษะของเสี่ยวเว่ยอย่างแรง!
เคร้ง!
มีดเลาะกระดูกเล่มหนึ่งขวางคมกระบี่ของเขาเอาไว้
เสี่ยวเว่ยหันกลับมา ดวงตาทอประกาย “ฮูหยิน?”
ฮูหยินรีบมาช่วยเขา ฮูหยินดีต่อเขาเช่นนี้ เขากลับคิดจะปล้นทองของฮูหยิน เขาช่างไร้มโนธรรมจริงๆ!
เฉียวเวยเตะมือสังหารที่ลอบจู่โจมเสี่ยวเว่ยจนกระเด็น “นิ่งทำอะไร อยากตายหรือ”
เสี่ยวเว่ยได้สติกลับมา ยกดาบขึ้นพุ่งเข้าใส่มือสังหาร
เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ก็เข้าร่วมวงต่อสู้อย่างดุเดือดด้วย
เสี่ยวไป๋ประจันหน้ากับศัตรู ส่วนจูเอ๋อร์ลอบโจมตี ร่วมมือกันได้อย่างไม่มีช่องโหว่
มีมือสังหารถูกกระสุนดีดโดนอีกคนแล้ว เขาสูดผงสลายกำลังเข้าไปในจมูกอย่างไม่รู้ตัว ทันใดนั้นร่างกายก็ไร้เรี่ยวแรงลงไปกองกับพื้น
มือสังหารหมายเลขสองเห็นว่าไม่ชอบมาพากลจึงใช้ลมปราณทะยานไปทางต้นไม้ใหญ่ ใช้กระบี่ฟันกิ่งไม้ในฉับเดียว!
จูเอ๋อร์ตกใจร้องเจี๊ยกเสียงดัง!
มือสังหารหมายเลขสองกำลำคอของจูเอ๋อร์เอาไว้ด้วยมือเดียว หนังสติ๊กของจูเอ๋อร์ร่วงไปแล้ว ลูกกระสุนก็กระจัดกระจาย แขนขาแกว่งไกวอยู่กลางอากาศ ลิ้นจุกปาก ตาเหลือกลอย ท่าทางทรมานยิ่งนัก!
ทว่ามือสังหารแต่เดิมก็ไร้ความเมตตา หากเป้าหมายสิ้นใจแล้วยังต้องซ้ำอีกหนึ่งดาบ นับประสาอะไรกับลิงน้อยที่แสร้งตายตัวนี้ มือสังหารหมายเลขสองยกกระบี่ขึ้นแทงเข้าใส่หน้าอกของจูเอ๋อร์
ชั่วพริบตานั้น ประกายแสงสีขาวก็พุ่งเข้ามาดุจสายฟ้าแลบ
มือสังหารรู้สึกว่าเบื้องหน้าขาวโพลนไปวูบหนึ่ง จากนั้นลำคอของเจ็บแปลบคล้ายถูกบางสิ่งขย้ำ
เขากุมบาดแผลแล้วยกมือขึ้นมาดู โลหิตเป็นสีดำสนิท…
มีพิษ!
“เจ้าสุนัขตัวนี้มี…”
ไม่รอให้เขาเตือนสหายทั้งหลาย เสี่ยวไป๋ก็ตะปบเขาอย่างโหดเหี้ยมอีกหนึ่งกรงเล็บ เขาตาเหลือกหงายหลังล้มตึงกับพื้น
ทว่าชัยชนะคงอยู่เพียงชั่วครู่ มือสังหารที่ซุ่มซ่อนอยู่ในป่าเริ่มรับรู้ถึงสถานการณ์ผิดปกติ จึงทยอยกันลงมาจากเนินเขา
พวกมือสังหารแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพ รับมือคนสองคนก็กินแรงมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่ามีมาเป็นโขยง
เฉียวเวยเคยลิ้มรสฝีมือขององครักษ์จวนอ๋องมาแล้ว วรยุทธ์ของมือสังหารกลุ่มนี้เหนือกว่าองครักษ์ชิงอีเว่ย แต่ด้อยกว่าองครักษ์ชื่ออีเว่ย รับมือยากอย่างยิ่ง
เฉียวเวยมองเมฆดำที่ลอยอยู่เหนือศีรษะ ดวงตาฉายแววดุดัน “ขึ้นเขา!”
โจรภูเขาทั้งหลายวิ่งตามนางขึ้นไปบนภูเขา
คฤหาสน์ที่เค้นสมองแทบแตกหาวิธีเล็ดลอดเข้าไป ตอนนี้กลับได้เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย
เฉียวเวยพาทุกคนไปยังสระน้ำในสวนดอกไม้ แล้วชี้ถังบนพื้น “สาดใส่พวกเขา!”
หัวหน้าค่ายงุนงง “นี่พริกป่นไม่ใช่หรือ”
เฉียวเวยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “นี่ไม่ใช่พริกป่นธรรมดา หากเข้าตาจัดการไม่ดีอาจตาบอดได้ ดังนั้นพวกเจ้าอย่าเผลอสาดใส่ตัวเองจะดีที่สุด แล้วก็รอประเดี๋ยวอย่าสู้จนติดลม หากข้าบอกให้ไป ก็จงรีบตามข้าเข้าไปในบ้าน!”
โจรทั้งหลายพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงแล้วแบกถังไม้ขึ้นมา ซุ่มอยู่สองฝั่งรอคำสั่ง
มือสังหารพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
เฉียวเวยกับโจรทั้งหลายยกถังไม้ขึ้นสาดใส่อีกฝ่ายอย่างจัง!
มือสังหารที่พุ่งมาด้านหน้าสุดถูกสาดทั้งตัว ใบหน้า ลำคอ ในดวงตา…แสบร้อนไปหมด
มือสังหารทั้งหลายรีบกระโจนลงไปในสระน้ำด้านข้าง วักน้ำขึ้นล้าง
“ไป!”