หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 145-1 ครองรัก ชิงสมบัติคืน (กลาง)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 145-1 ครองรัก ชิงสมบัติคืน (กลาง)
ตอนที่ 145-1 ครองรัก ชิงสมบัติคืน (กลาง)
ตกกลางคืน สวีซื่อนั่งรถม้ากลับจวนในสภาพน่าเวทนา
รถม้าแล่นเข้าประตูใหญ่แล้วจอดตรงประตูชั้นใน
หลินมามากระโดดลงจากรถม้าแล้ววางม้านั่งไม้ ก่อนจะเลิกม่านขึ้น “ฮูหยิน”
ผ่านไปครู่หนึ่งก็ไม่มีเสียงเคลื่อนไหว
หลินมามาเร่งเสียงให้ดังขึ้นอีก “ฮูหยิน ฮูหยิน”
ในที่สุดสวีซื่อก็ได้สติคืนมา นางก้มตัวเดินออกมาจากรถม้า จากนั้นวางมือลงบนแขนของหลินมามา เหยียบบนเก้าอี้อย่างหวาดๆ แต่ไม่รู้เป็นอย่างไร เท้าจึงเหยียบพลาด คนล้มลงมาชนอ้อมแขนของหลินมามาอย่างแรง หลินมามาถูกชนจนเซไปสองก้าว เกือบจะล้มลงบนพื้น “ฮูหยิน! ฮูหยินท่านไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ”
สวีซื่อตั้งหลักใหม่ แล้วนวดศีรษะที่วูบดับไปเบาๆ “ข้าไม่เป็นอะไร เข้าไปเถิด”
เมื่อครู่หลังจากสอบถามที่อยู่ของเฉียวอวี้ซีจากในหมู่บ้าน สวีซื่อก็พุ่งออกไปประหนึ่งมีดบิน หลินมามาไล่ตามอย่างไรก็ไล่ตามไม่ทัน เมื่อหลินมามาปีนขึ้นมาถึงคฤหาสน์บนไหล่เขาอย่างยากลำบาก สวีซื่อก็เดินออกมาจากตัวคฤหาสน์แล้ว
สีหน้าของสวีซื่อย่ำแย่อย่างยิ่ง
หลินมามาถามว่าสวีซื่อได้พบคุณหนูใหญ่หรือไม่ แล้วได้พบคุณหนูใหญ่เฉียวหรือไม่ สวีซื่อล้วนไม่ตอบสักคำ
ตลอดทางที่กลับเมืองหลวงสวีซื่อเงียบอย่างยิ่ง เงียบจนหลินมามาหวาดกลัว
หลินหมามาไม่กล้าถามมากอีก กลัวว่าหากไม่ระวังอาจพูดอะไรไปจุดโทสะของนางเข้า
สวีซื่อเดินเข้าไปในเรือนหลักของตระกูลเฉียว
อากาศตอนกลางคืนไม่เย็นไม่ร้อน สายลมอ่อนชวนให้คนชื่นใจ
ฮูหยินสามกับฮูหยินสี่นั่งชมจันทร์อยู่ในศาลาของสวนดอกไม้น้อย นายท่านสามกับนายท่านรองล้วนเป็นเลือดเนื้อของเมิ่งซื่อ นายท่านสี่เป็นลูกของอนุภรรยาอีกคนหนึ่ง ฮูหยินสามไม่ถูกกับสวีซื่อเพราะความริษยา ส่วนฮูหยินสี่รู้จักรักษาเอาตัวรอดมาตลอด เหตุเพราะว่าเรือนของนางมิว่าอย่างไรก็ไม่มีวันได้เป็นเจ้าตระกูล นางจึงไม่เคยล่วงเกินผู้ใดแล้วก็ไม่เคยประจบผู้ใดเช่นกัน
ทั้งสองคนล้วนมองเห็นสวีซื่อแล้ว
สวีซื่อไม่เคยเห็นฮูหยินสี่ในสายตา ฮูหยินสี่จึงไม่ทำให้ตัวเองต้องอับอายด้วยการเป็นฝ่ายไปทักทายก่อน
ฮูหยินสามรู้ว่าสวีซื่อเห็นนางแล้ว แต่ไม่ยอมทักสวีซื่อ
แต่วันนี้ทั้งสองดันพบว่าสวีซื่อไม่ค่อยเหมือนยามปกตินัก คล้ายกับว่า…วิญญาณหลุดลอยออกจากร่างไปอยู่หน่อยๆ
ฮูหยินสามนึกสนใจขึ้นมาครามครัน นางยิ้มกว้างหันไปมองพี่สะใภ้รองของตนเอง “พี่สะใภ้รอง ดึกดื่นป่านนี้ ไปไหนเพิ่งกลับมาเล่าเจ้าคะ ไปซื้อยาให้จ้งชิงหรือ เป็นเช่นไร แผลของจ้งชิงดีขึ้นบ้างหรือไม่ ท่านหมอบอกหรือไม่ว่าจ้งชิงจะฟื้นเมื่อใด”
ก้าวเท้าของสวีซื่อหยุดชะงัก นางขยำผ้าเช็ดหน้า แล้วยกยิ้มอย่างหยิ่งยโส “จ้งชิงจะฟื้นหรือไม่ก็ผลัดไม่ถึงตาเรือนสามของพวกเจ้าได้ส่วนแบ่ง เจ้าทะเล่อทะล่ามายุ่งอะไรด้วย”
เฉียวเจิงตายไปแล้ว เฉียวเย่ว์ซานเป็นเจ้าตระกูลคนปัจจุบัน บุตรชายของเฉียวเย่ว์ซานถึงจะเป็นหลานชายคนโตสายหลักของตระกูล ต่อให้จ้งชิงไม่อาจสืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลต่อได้ ก็ยังมีเฉียวอวี้ฉี นับอย่างไรก็ตกไปไม่ถึงศีรษะของคุณชายรอง
ฮูหยินสามโดนย้อนก็ค้อนควัก แล้วเลิกสนใจสวีซื่อ
พอสวีซื่อเดินจากไปไกลแล้ว ฮูหยินสามจึงพูดขึ้นมาอย่างริษยา “เย่อหยิ่งอะไรนัก คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่านางวางแผนอะไรไว้ เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดเสิ่นซื่อให้กำเนิดบุตรสาวสุดที่รักออกมาแล้วจึงไม่ตั้งครรภ์อีก นั่นไม่ใช่เพราะใครบางคนใจอำมหิตวางยาเสิ่นซื่อหรือ! นางคิดว่าหากเสิ่นซื่อไม่มีบุตรชาย ย่อมต้องยกตำแหน่งเจ้าตระกูลให้บุตรชายของนาง ฮ่ะๆ นางไม่คิดเสียบ้างว่าลูกชายนางจะมีบุญถึงหรือเปล่า ตอนนี้กรรมตามสนองแล้วสินะ สมน้ำหน้า!”
สวีซื่อที่อยู่ด้านหน้าหยุดนิ่งทันใด
ฮูหยินสี่รีบทำมือบอกฮูหยินสาม “ชู่”
ฮูหยินสามกลอกตา “นางทำได้แต่ข้าพูดไม่ได้หรือ คนทำ ฟ้าย่อมเห็น หากนางไม่วาดหวังอยากได้สิ่งที่ไม่สมควรวาดหวัง สวรรค์จะลงโทษบุตรชายของนางหรือไร ไม่ถูกสิๆ ข้าพูดผิดแล้ว ใช่ลงโทษแต่บุตรชายของนางเสียที่ไหนเล่า ลงโทษทั้งบุตรชายกับบุตรสาวของนางชัดๆ! แต่งงานไปเผ่าซยงหนีว์ จิ๊ๆ ชีวิตนี้เกรงว่าคงไม่ได้กลับมาบ้านมารดาอีกแล้ว!”
บนทางเส้นน้อยมืดสนิท สวีซื่อกำหมัดแน่น
หลินมามามองนางอย่างหวาดกลัว “ฮูหยินสามทำเกินไปแล้วจริงๆ คำพูดเหลวไหลเช่นนี้ยังกล้าพูด ท่านอย่าเก็บไปใส่ใจเลย นางก็คุมปากไม่อยู่เช่นนี้”
สวีซื่อรู้นิสัยของน้องสะใภ้สามดี ไม่มีเรื่องก็ชอบก่อเรื่อง คงกลัวว่าใต้หล้าจะวุ่นวายไม่พอ วันๆ ไม่หาเรื่องทางนั้นก็หาเรื่องทางนี้ ต้องก่อเรื่องจนคนทั้งจวนหันสายตามามองที่ตัวนางจึงจะพอใจ
หากเป็นยามปกติ สวีซื่อก็คงไม่เก็บมาใส่ใจ แต่วันนี้เพิ่งโมโหจากฝั่งเฉียวเวย จิตใจแตะอยู่ริมขอบเหวของการพังทลาย เมื่อมาถึงขั้นนี้ สิ่งกระตุ้นใดๆ เพียงนิดเดียวก็เหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทับอูฐล้ม
สวีซื่อหมุนตัวกลับมาอย่างเย็นชา พุ่งเข้ามาในศาลาพร้อมกับไอสังหารเต็มเปี่ยม คว้าคอเสื้อของฮูหยินสามแล้วเงื้อมือตบหนึ่งฉาด!
ฮูหยินสามถูกตบจนเจ็บแปลบ ใบหน้าครึ่งซีกบวมเป่ง รอยนิ้วหลายนิ้วปรากฏชัด
ฮูหยินสี่ตกใจจนลุกพรวด
ฮูหยินสามกุมหน้า มองสวีซื่ออย่างไม่อยากเชื่อ “ท่านตบข้าหรือ ท่านกล้าตบข้าหรือ”
สวีซื่อมองนาง แววตาดุดัน “ข้าตบเจ้าแล้วเป็นอะไร หากกล้าพูดจาไร้มารยาทอีก ข้าไม่เพียงแต่จะตบเจ้า แต่จะไล่เจ้าออกจากตระกูล เจ้าเชื่อหรือไม่!”
ฮูหยินสี่มองฮูหยินสามแวบหนึ่ง จากนั้นก็ได้ยินฮูหยินสามตวาด “ท่านยังจะกล้าขับไล่ข้าอีกหรือ ท่านขับไล่คนจนเสพติดแล้วใช่หรือไม่ ตอนนั้นขับไล่คุณหนูใหญ่เฉียวที่เลี้ยงมากับมือ ข้าก็สมควรเดาได้แล้วว่าท่านมันไร้หัวใจไร้คุณธรรม! กินของบิดามารดาผู้อื่น ใช้ของบิดามารดาผู้อื่น แล้วยังยึดบรรดาศักดิ์กับทรัพย์สมบัติของบิดามารดาผู้อื่นไป แต่สุดท้ายแม้แต่บุตรสาวคนเดียวของผู้อื่นก็ไม่ปล่อยไว้! ตอนนี้ท่าน ก็จะไม่ปล่อยข้าไว้ด้วยสิ! วันหน้า ท่านก็คงไม่ปล่อยเรือนของน้องสี่ไว้เหมือนกันใช่หรือไม่!”
ดันลากฮูหยินสี่ลงมาด้วยแล้ว!
ฮูหยินสี่หมดคำจะพูดยิ่งนัก
ยามปกติสวีซื่อควบคุมตนเองได้ดี ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับฮูหยินสาม แต่ไม่ได้หมายความว่านางกลัวอีกฝ่าย “ข้าจะปล่อยหรือไม่ปล่อยผู้ใดไว้เกี่ยวอันใดกับเจ้า อย่าพูดเสียเหมือนกับว่าเมื่อตอนนั้นเจ้าบริสุทธิ์นักเลย การตัดสินใจขับไล่ออกจากตระกูลข้าเป็นคนทำคนเดียวหรือ พวกเจ้าคนไหนไม่พยักหน้าบ้างเล่า”
ฮูหยินสามหน้าแดง “นั่นไม่ใช่เพราะท่านบีบบังคับหรือไร”
สวีซื่อเสียงดัง “ถ้าเช่นนั้นข้าบังคับให้เจ้าไสหัวออกไปจากตระกูลเฉียว เจ้าจะไปหรือไม่ไป”
“อะไรกัน เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เฉียวเย่ว์ซานเดินมาจากทางเส้นน้อย เขาเข้าเวรดึกมาทั้งคืน กลางวันก็จัดการกับกรณีศึกษา วุ่นวายจนป่านนี้เพิ่งได้กลับมา
ฮูหยินสามหันไปมองเฉียวเย่ว์ซานที่เดินเข้ามาในศาลาอย่างน่าสงสาร “พี่รอง พี่สะใภ้รองตบข้า!”
“เจ้าตบน้องสะใภ้สามหรือ” เฉียวเย่ว์ซานถามสวีซื่ออย่างเคร่งขรึม
สวีซื่อตอบว่า “ใช่”
เฉียวเย่ว์ซานขมวดคิ้ว “เจ้ารู้จักทำตัวเป็นพี่สะใภ้บ้างหรือไม่”
มุมปากของฮูหยินสามยกโค้งอย่างลำพอง
สวีซื่อสะอิดสะเอียนเหมือนกับกลืนแมลงวัน นางถลึงตาใส่ฮูหยินสาม น่าเสียดายมีพี่รองหนุนหลัง ฮูหยินสามจึงไม่กลัวนางแล้ว สวีซื่อหันไปมองเฉียวเย่ว์ซานแล้วย้อนถามว่า “ท่านจะไม่ถามข้าสักคำหรือว่าเหตุใดข้าจึงตบนาง”
เฉียวเย่ว์ซานตอบอย่างไม่เสียเวลาคิด “ไม่ว่าเพราะเหตุใดก็ไม่สมควรลงมือตบตีคน น้องสะใภ้สาม พี่รองขออภัยเจ้าแทนพี่สะใภ้รองของเจ้าด้วย จ้งชิงบาดเจ็บหนัก พี่สะใภ้รองของเจ้าอารมณ์ไม่ดีจึงหุนหันพลันแล่นไปเสียหน่อย ขออภัยเจ้าด้วย”
คำสุดท้ายเห็นชัดว่าพูดกับฮูหยินสาม
ฮูหยินสามตอบอย่างเข้าอกเข้าใจ “ข้าเข้าใจพี่รอง ไม่เป็นอะไร เพียงบวมเท่านั้น”
เฉียวเย่ว์ซานสั่งบ่าวรับใช้ “ยังไม่รีบหยิบยาจินชวงให้ฮูหยินสามอีก”
หลินมามารีบขานตอบ “เจ้าค่ะ!”
“พี่รอง ข้าประคองพี่สะใภ้สามกลับไปก่อน ยาจินชวงรบกวนหลินมามานำไปมอบให้ที่เรือนพี่สะใภ้สามแล้วกัน” ฮูหยินสี่พูด
เฉียวเย่ว์ซานพยักหน้า ฮูหยินสี่ประคองฮูหยินสามจากไป
บ่าวรับใช้ทั้งหลายถอยออกไปห่างสามจั้งอย่างรู้จักสถานการณ์ยิ่งนัก
สายตาของเฉียวเย่ว์ซานมองบนใบหน้าของสวีซื่ออย่างเย็นชา ในหัวใจมีเปลวเพลิงลุกโหมขึ้นมา เขาวิ่งวุ่นเหน็ดเหนื่อยอยู่ข้างนอกมาตลอดทั้งวัน กลับมาบ้านอยากจะรู้สึกสบายมีความสุข มีบุตรที่ว่านอนสอนง่าย มีภรรยาที่ยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน แต่เหตุใดนางจึงไม่รู้ความเช่นนี้
น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้นอีก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเพิ่งได้แต่งตั้งเป็นโหว บุตรสาวก็กำลังจะกลายเป็นพระชายาแห่งเผ่าซยงหนีว์ คนมากมายเท่าใดอิจฉาข้า ต้องการจับจุดอ่อนของข้า ในเวลาสำคัญเช่นนี้ เจ้าสมควรอยู่กับบ้านดีๆ อย่าหาเรื่องร้ายอะไรมาให้ข้าอีก!”
สวีซื่อถูกรังแกมาจากข้างนอก กลับมาบ้านยังถูกน้องสะใภ้เหน็บแหนม คิดว่าสามีจะออกหน้าแทนตนเอง ปลอบโยนตนเองสักสองสามคำ แต่เขากลับตำหนินางโดยที่ไม่พิจารณาถูกผิดแม้แต่น้อย นางโกรธแทบตายแล้ว “เหตุใดท่านจึงเป็นเช่นนี้เสมอ เกิดเรื่องขึ้นท่านก็รู้จักแต่ตำหนิข้าหรือ ท่านเป็นสามีของข้า เหตุใดท่านไม่ใส่ใจข้าบ้าง นางจงใจซ้ำเติมเคราะห์ร้ายของข้า ท่านเตือนนางให้วันหน้ายามพบหน้าข้าเคารพกันให้มากหน่อยสักคำ มันยากนักหรือไร ท่านรู้หรือไม่ว่านางด่าข้าว่าอะไร นางด่าข้าว่าริษยาเสิ่นซื่อจนทำร้ายเสิ่นซื่อให้มีลูกไม่ได้อีก! ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ ข้ายอมรับว่าข้าอิจฉาเสิ่นซื่อ เคยหวังในใจให้นางเกิดเรื่อง แต่ข้าไม่เคยคิดจะไปทำอะไรนางจริงๆ สักหน่อย!”
ยามนั้นนางยังอายุน้อย ใจไม่กล้าพอจะทำเรื่องเลวทราม เจตนาร้ายมากที่สุดที่นางมีต่อเสิ่นซื่อก็คือการก่นด่าสาปแช่งให้เกิดเรื่องกับนางลับหลังเท่านั้น แต่การวางยาพิษทำร้ายเสิ่นซื่อให้ตั้งครรภ์ไม่ได้อีก นางไม่เคยทำจริงๆ
นางมองเฉียวเย่ว์ซานอย่างเสียใจ “สามีของผู้อื่นมีแต่กลัวภรรยาจะเป็นทุกข์ แต่ท่านกลัวว่าข้าจะมีความสุข! ข้าเหมือนล่อวิ่งไปมาในบ้านตระกูลเฉียวของพวกท่าน วิ่งวุ่นทีหนึ่งก็ยี่สิบปี แม่สามีตั้งกฎเกณฑ์กับข้าอย่างไรข้าก็อดทน น้องสะใภ้เล่นงานข้าอย่างไรข้าก็อดทน แต่สุดท้ายแล้วข้าได้อะไรบ้าง สามีไม่รักข้า แม่สามีไม่เชื่อถือข้า แม้แต่น้องสะใภ้ก็ว่ากล่าวเสียดสีข้า ตอนแรกข้าคงตาบอดแล้วถึงแต่งเข้ามาในตระกูลเฉียวของพวกท่าน!”
“ยิ่งพูดยิ่งเหลวไหล!” เฉียวเย่ว์ซานโมโห
สวีซื่อโพล่งอย่างอัดอั้นตันใจ “ตอนพี่สะใภ้ใหญ่อยู่ยังดีเสียกว่า!”
ตอนเสิ่นซื่อปกครองบ้าน เรือนรองกับเรือนสามรวมตัวเป็นพวกเดียวกัน ส่วนสามีของนางก็ประพฤติตนอย่างระมัดระวัง ใส่ใจนางอย่างยิ่ง แม้แต่แม่สามีก็เห็นนางดีเพราะนางเกลียดชังเสิ่นซื่อมากเกินไป
นึกย้อนดูแล้วหลายปีที่ผ่านมา นอกจากเกียรติยศจอมปลอมกับเงินทองนิดหน่อย ตนเองก็ไม่ได้มีชีวิตดีมากกว่าแต่ก่อน
หากเสิ่นซื่อยังอยู่ นางต้องไม่ปล่อยให้ซีเอ๋อร์แต่งงานไปไกลถึงเผ่าซยงหนีว์แน่…
นางเป็นสตรีที่ฉลาดเฉลียวและแข็งแกร่ง ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนหาหนทางได้
สวีซื่อกุมศีรษะ เหตุไฉนข้าจึงคิดเช่นนี้ ข้าร้อนรนจนเลอะเลือนแล้วจริงๆ
สองสามีภรรยาแยกย้ายกันอย่างไม่พอใจ เฉียวเย่ว์ซานเดินไปที่ห้องของอนุภรรยาเหมย สวีซื่อนอนไม่หลับจึงเดินไปที่ห้องของบุตรชาย
เฉียวจ้งชิงลืมตามองหลังมุ้งสีดำสนิท
ม่านตาของสวีซื่อหดเล็กลง “จ้งชิง เจ้าตื่นแล้วหรือ”
เฉียวจ้งชิงพยักหน้าอย่างอ่อนแรง “ข้าตื่นแล้ว”
สวีซื่อรีบกุมมือบุตรชาย “เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่ดีนัก” ตั้งแต่เอวลงไปไม่มีความรู้สึกสักนิด
สวีซื่อเอ่ยอย่างยากจะเก็บความยินดี “เจ้าบาดเจ็บ แผลคงจะเจ็บ แม่จะไปเรียกคนเอายาระงับปวดมาให้!”
เฉียวจ้งชิงดึงสวีซื่อไว้ “ไม่ต้องขอรับท่านแม่ ประเดี๋ยวข้านอนหลับก็หายแล้ว วันนี้ท่านแม่ขึ้นเขาไปดูน้องสาว น้องเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” เขาได้ฟังจากหลินมามาแล้วว่าเฉียวเวยคือผู้บุกเบิกที่ดินร้างคนนั้น
สวีซื่อทั้งโกรธทั้งเสียใจ “นางใจอสรพิษโดยแท้ นางเอาความแค้นทั้งหมดไปโยนใส่ศีรษะของน้องสาวเจ้า กลั่นแกล้งน้องสาวเจ้า น้องสาวเจ้าถูกทรมานจนแทบไม่เหลือสภาพความเป็นคน ข้าขอให้นางปล่อยน้องสาวของเจ้า แต่นางกลับจะให้ข้าเอาสมบัติของเรือนใหญ่กับสินเดิมของมารดานางมาแลก! ผู้ใดบอกนางว่ามารดาของนางมีสินเดิม นางรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”
แววตาของเฉียวจ้งชิงฉายประกายเย็นชาวูบหนึ่ง “รู้ได้อย่างไรไม่สำคัญ ตอนนี้จะช่วยน้องสาวกลับมาอย่างไรจึงจะเป็นเรื่องสำคัญ นางไม่ใช่คนตระกูลเฉียวตั้งนานแล้ว ยังจะวาดหวังสมบัติของตระกูลเฉียวอีก เพ้อฝันไปแล้ว!”
สวีซื่อเช็ดน้ำตา “แต่สินเดิมของมารดานาง…”
“สินเดิมของมารดานางก็เป็นของตระกูลเฉียว นางอาศัยอะไรมาแตะ” เมื่อคิดถึงบางสิ่ง เฉียวจ้งชิงก็กล่าวอีกว่า “ใช่แล้วท่านแม่ ท่านขึ้นเขาไปแล้วเห็นท่านลุงใหญ่อีกหรือไม่”
สวีซื่อขมวดคิ้ว “ไม่เห็น ลูก ท่านลุงใหญ่ของเจ้ายังมีชีวิตอยู่จริงหรือ ไม่ใช่แม่ตาลายมองผิดหรือ”
เฉียวจ้งชิงตอบด้วยความจริง “ท่านแม่ ผีย่อมบาดเจ็บไม่ได้”
ดังนั้นบุรุษคนนั้น…ก็คือเฉียวเจิงจริงๆ ขมับของสวีซื่อฉับพลันปวดตุ้บๆ เฉียวเจิงกลับมาแล้วจริงๆ แล้วคนของหอหลิงจือยังทำร้ายเฉียวเจิงจนบาดเจ็บอีก หากเรื่องนี้เล่าลือออกไป…นางไยไม่ตายแน่แล้ว
เฉียวจ้งชิงปลอบประโลม “ท่านแม่อย่าเพิ่งกังวล เขาถูกทำร้ายที่ศีรษะอย่างแรง โอกาสมีชีวิตรอดไม่มากนัก ขอเพียงเขาพูดไม่ได้ก็ไม่อาจพิสูจน์ตัวตนของตนเองได้ พวกเรากัดฟันบอกว่าเป็นตัวปลอมก็พอแล้ว”
สวีซื่อทบทวนความทรงจำอย่างละเอียดก็แน่ใจว่าไม่เห็นร่างของเฉียวเจิงในคฤหาสน์จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าตายแล้วหรือป่วยอยู่ “ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว น้องสาวเจ้าฝั่งนั้นข้าจะคิดหาวิธี เจ้าจำได้หรือไม่ว่าผู้ใดทำร้ายเจ้าจนกลายเป็นเช่นนี้”
เฉียวจ้งชิงส่ายหน้า “มืดเกินไป ข้ามองไม่ชัด”
สวีซื่อลังเล แล้วถามอย่างกังวล “ลูกชาย ตอนเจ้าอยู่ในเมืองหลวงได้ล่วงเกินผู้ใดหรือไม่”
เฉียวจ้งชิงตอบ “ท่านแม่ก็รู้จักข้า ข้าไม่ทำตัวเป็นศัตรูกับผู้อื่นง่ายๆ”
ถ้าเช่นนั้นเป็นฝีมือพวกคนในหอคณิกาพวกนั้นจริงหรือ สวีซื่อว่าอย่างฉุนเฉียว “เจ้าจะวิ่งไปสถานที่ไม่ดีเช่นนั้นทำอะไร เจ้าไม่รู้หรือว่าหากถูกคนพบเข้า ผลจะเป็นอย่างไร”
เฉียวจ้งชิงเงียบงัน เขาถูกคนยุจึงไป แน่นอนว่าสาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะความตั้งใจของเขาไม่แน่วแน่พอ แต่เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นปกติ บัณฑิตในสำนักศึกษา ขุนนางในราชสำนัก ผู้ใดบ้างไม่เคยเข้าไปในย่านเริงรมย์ ทุกคนทราบดีแต่ทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ ผู้ใดจะวิ่งไปฟ้องกับฝ่าบาทจริงๆ
ดังนั้นเขาจึงไม่เคยคิดว่าจะมีอันตราย แต่ยามนี้เมื่อคิดทบทวนอีกหน น่ากลัวว่าเรื่องทั้งหมดจะเป็นกับดักตั้งแต่ต้น
เขาเพิ่งว่าจ้างพรรคโลหิตพิฆาตให้ลอบสังหารพ่อลูกของเรือนใหญ่ ไม่ทันไรเขาก็ถูกผู้อื่นลอบสังหาร หากจะบอกว่าสองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน เขาไม่เชื่อเด็ดขาด
ก่อคดีสังหารคนในเมืองหลวงแล้วยังหนีรอดไปได้อย่างหมดจด เรือนใหญ่ย่อมไม่มีความสามารถเช่นนี้
เรื่องหนนี้เป็นคำเตือนจากคนผู้นั้นถึงเขา ให้เขาอย่ากระทำบุ่มบ่ามอีก มิฉะนั้นหนนี้เป็นขาของเขา หนหน้าคงจะเป็นชีวิตของเขา
…
หลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง เช้าตรู่กับพลบค่ำก็เริ่มมีไอเย็นเล็กน้อย
จีหมิงซิวนั่งอ่านฎีกาที่ขุนนางเบื้องล่างส่งมาอยู่ในห้องหนังสือ ไม่ผิดจากที่คาด ฎีกามากกว่าครึ่งต่อว่าเขา เหตุผลที่ต่อว่าก็ประหลาดสารพัด แม้แต่เรื่องเขายังไม่แต่งงานก็กลายเป็นประเด็นให้ผู้อื่นตำหนิ
“เหอะ ลูกข้าก็มีแล้ว รอวันไหนสักวันจะจูงออกมาเดินเที่ยว เอาให้พวกเจ้าตาบอด”
“นายท่าน อากาศเย็นแล้ว ห่มผ้าคลุมสักผืนเถิดเจ้าค่ะ” ลี่ว์จูหยิบผ้าคลุมกันลมผืนหนึ่งเข้ามา
จีหมิงซิวไม่กลัวความหนาวเย็นจึงยกมือ “ไม่ต้อง เอาออกไปเถิด”
ลี่ว์จูจนปัญญา “เจ้าค่ะ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกัดผิงกั่วเดินเข้ามา พิงกรอบประตูอย่างเอ้อระเหยลอยชาย
“เป็นอย่างไร” จีหมิงซิวถามเรียบๆ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถอนหายใจ “อนาถยิ่งนัก อนาถยิ่งนัก อนาถยิ่งนัก! แม่หนูคนนั้นจัดการคนตระกูลเฉียวเสียน่าเวทนาจริงๆ! ข้าแทบจะทนมองไม่ได้แล้ว อยากจะสอดขาเข้าไปจริงๆ เรื่องน่าสะใจเช่นนี้กลับไม่เรียกข้าไป แม่หนูช่างไม่รู้จักไมตรี”
จีหมิงซิวไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา “พูดไร้สาระให้มันน้อยๆ หน่อย ข้าไม่ปล่อยจีอู๋ซวงหรอก”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถูกพูดแทงใจดำก็กัดผิงกั๋วอย่างคับแค้น
“นายน้อย นายน้อย!” ไห่สือซานวิ่งกระหืดหระหอบเข้ามาในเรือนสี่ประสาน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองเขาอย่างประหลาดใจ “เสี่ยวไห่จื่อ เหตุใดเจ้าจึงมีสภาพเช่นนี้เล่า”
“ข้า รถม้าข้าพัง ข้าจึงวิ่งมา!” ไห่สือซานตอบ แล้วแย่งผิงกั่วของเขา กัดด้านที่เขายังไม่ทันกัดเสียงดัง “หิวน้ำจะตายแล้ว!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเหล่มองเขา “เจ้าไม่ได้อยู่เจียงหนานหรอกหรือ เหตุใดวิ่งมาเมืองหลวง”
“ข้า…” ไห่สือซานมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ย แล้วหันไปมองนายน้อย เห็นนายน้อยไม่หลบเลี่ยงเยี่ยนเฟยเจวี๋ย เขาจึงหอบหนักๆ แล้วกล่าวว่า “ระยะนี้ข้ากำลังไล่ตามหาร่องรอยของหมอพเนจรคนนั้นอยู่ไม่ใช่หรือ ข้าหาพบแล้ว หาพบว่าเขามาเมืองหลวง!”
“หมอพเนจรอะไร” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถาม
ไห่สือซานอธิบาย “ก็คนที่เป็นพยานได้ว่าคุณหนูใหญ่เฉียวไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ คืนนั้นคุณหนูใหญ่เฉียวกับนายน้อยอยู่ด้วยกัน ไม่ได้อยู่กับยิ่นอ๋อง”
“อ้อ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมึนงง เขาก็ไม่รู้ว่าตนเองกำลังมึนงงเรื่องอะไร
ไห่สือซานกล่าวต่อว่า “หากตามหาเขาพบก็พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณหนูใหญ่เฉียวได้ ความจริงเรื่องชาติกำเนิดของเด็กทั้งสองคนก็จะกระจ่างแก่ใต้หล้า เดิมทีข้าไล่ตามร่องรอยของเขาจนใกล้จะหาเขาพบแล้ว แต่ไม่รู้เป็นอย่างไร พอเขาเข้ามาในเมืองหลวงก็ราวกับสลายหายไป หาไม่พบอีก”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระทืบเท้า “คนสำคัญเช่นนี้เจ้าดันทำหาย! ไห่สือซานเจ้าจะไปทำมาหากินอะไรได้”
ไห่สือซานถูกต่อว่าต่อหน้าก็มองเขาอย่างรังเกียจ แล้วโยนผิงกั๋วที่กัดแล้วให้เขา เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็โยนกลับไปอย่างเดียดฉันท์ ไห่สือซานจึงโยนเข้าไปในตะกร้า
“เจ้ามีภาพเหมือนของเขาหรือไม่” จีหมิงซิวถาม
ไห่สือซานพยักหน้า หยิบภาพเหมือนภาพหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อกว้าง
จีหมิงซิวคลี่ออกดู หว่างคิ้วค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน “เขาเองหรือ”
“นายน้อยรู้จักหรือขอรับ” ไห่สือซานฉงน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเหลือบมองภาพเหมือนแล้วหัวเราะฮ่าๆ “เพียงรู้จักที่ไหนเล่า นี่มันท่านพ่อตาของนายน้อยชัดๆ!”
ไห่สือซานตกตลึง “อะไรนะ ท่านพ่อตา ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่ว่า…ไม่ใช่ว่าบิดาของคุณหนูใหญ่เฉียวยังอยู่หรือ เขายังไม่ตายหรือ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลูบคาง “จะให้เล่าก็ยาว”
ไห่สือซานขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นที่นายน้อยพูดว่าสายไปก้าวหนึ่งเมื่อครู่ หมายความว่าอย่างไร”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถอนหายใจอย่างหม่นหมอง “เขาถูกคนตีหัวจนหลับไม่ตื่น ตอนนี้เจ้าไม่ต้องพูดถึงว่าให้เขาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของบุตรสาวเขาหรอก แม้แต่เดินกลับตระกูลเฉียวไปสั่งสอนพวกลูกกระต่ายฝูงนั้น เขาก็ทำไม่ได้”
ไห่สือซานทุบกำปั้นลงบนกำแพง!
เมื่อคิดอะไรได้ ไห่สือซานก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “จีอู๋ซวงเล่า วิชาแพทย์ของเขาสูงส่งปานนั้น เขาไปดูนายท่านผู้เฒ่าแล้วหรือยัง”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองท้องฟ้า
…