หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 149-1 ชนะอย่างงดงาม
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 149-1 ชนะอย่างงดงาม
ตอนที่ 149-1 ชนะอย่างงดงาม
“ช้าก่อน”
เสียงทุ้มเข้มเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับที่รถเข็นคันหนึ่งถูกคนเข็นเข้ามา เฉียวจ้งชิงผู้วางสีหน้าสุขุมนั่งอยู่บนรถเข็น ใบหน้าซีดขาวดูอ่อนแรง
ตระกูลเฉียวกับผู้อาวุโสทั้งหลายต่างได้ยินเรื่องที่เขาถูกทำร้ายแล้ว เพียงแต่ไม่ทราบว่าเขาถูกแทงจนบาดเจ็บในหอคณิกาเพราะแย่งชิงสตรีกับผู้อื่น ตอนนี้เห็นเขาแบกสังขารอันบาดเจ็บมาก็เกิดความรู้สึกทนมิได้อยู่เล็กน้อย
“เจ้ามาทำอันใด” สวีซื่อถามอย่างกังวล
เฉียวจ้งชิงค้อมกายให้บิดามารดาและผู้อาวุโสทั้งหลายเป็นการคารวะก่อน หลังจากนั้นจึงหันไปมองพ่อลูกที่อยู่ตรงกลาง แล้วเอ่ยอย่างไม่ยอมให้ว่า “ท่านลุงใหญ่กลับบ้านแต่เดิมเป็นเรื่องน่ายินดี ผู้ใดจะคิดว่าจะเกิดเป็นเรื่องไม่น่ายินดีเช่นนี้ จ้งชิงขออภัยผู้อาวุโสทุกท่านแทนน้องสาว”
เฉียวเวยแค่นหัวเราะออกมาคำหนึ่ง นี่จะด่านางว่าไม่รู้ความอ้อมๆ สินะ จะว่าไปแล้วนี่คงเป็นบุตรชายคนโตของเรือนรอง ลูกพี่ลูกน้องคนโตของนางนามว่าเฉียวจ้งชิง
ดูจากสภาพบาดเจ็บปางตายของเขา คงไม่ใช่ว่าเด็กน้อยเคราะห์ร้ายที่ถูกหมิงซิวสั่งสอนไปนิดหน่อยก็คือเขาหรอกนะ
เฉียวจ้งชิงถูกรอยยิ้มในแววตาของเฉียวเวยทำเอารู้สึกอึดอัดทั้งตัว ห้าปีก่อนเฉียวเวยยังเป็นเพียงคุณหนูผู้หยิ่งยโส มีดีแต่เปลือก ไส้ในขี้ขลาดขี้กลัว ตอนนี้กลับเหมือนผลัดร่างเปลี่ยนกระดูก ไม่มีสภาพอย่างวันวานแม้แต่น้อย
เฉียวจ้งชิงหรี่ตา “เจ้าคือยัยหนูจริงหรือ”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ใช่แล้ว พี่ใหญ่ ไม่พบกันนาน ตั้งแต่จากกันสบายดีนะ”
พี่ใหญ่หรือ น้องสาวคนนี้ไม่เคยเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ นางคิดว่าตนเองเป็นลูกหลานสายตรงของตระกูล พวกเขาลูกอนุเหล่านี้จึงไม่คู่ควรเป็นพี่น้องของนาง
แน่นอนเขาฟังออกว่าคำเรียกพี่ใหญ่คำนี้เอ่ยออกมาอย่างขอไปที แต่นิสัยของเฉียวเวยตรงจนเหมือนกับท่อนเหล็ก ไม่เคยยอมงอ ยิ่งไม่มีทางเสแสร้งมีไมตรีเรียกเขาว่าพี่ใหญ่
ดูท่าทานแม่จะพูดไม่ผิด น้องสาวคนนี้เปลี่ยนไปจริงๆ นางไม่เหมือนกับห้าปีก่อนแล้ว
เฉียวจ้งชิงเอ่ยตอบด้วยสีหน้าอ่อนโยน “น้องสาวมาวันนี้ อยากจะมาทวงตำแหน่งเจ้าตระกูลแทนท่านลุงใหญ่หรือ”
เฉียวเวยยิ้มละไม “ใช่ แล้วจะทำไม พี่ใหญ่ก็สนใจด้วยหรือ อ้อ จริงสินะ พี่ใหญ่เป็นบุตรชายคนโตของท่านอารอง หากบิดาข้าไม่กลับมา พี่ใหญ่ก็จะได้สืบต่อตำแหน่งเจ้าตระกูลจากอารอง การปรากฏตัวของข้ากับบิดาข้าทำลายผลประโยชน์ของพี่ใหญ่”
ไม่ใช่เพียงนิสัยที่เปลี่ยน ฝีปากก็ร้ายกาจขึ้นด้วย บ่าวนามวั่งไฉผู้นั้นคอยชี้แนะอยู่ด้านข้างหรือไร นี่ใช่เพียงผลัดร่างเปลี่ยนกระดูกเสียที่ไหน เหมือนเปลี่ยนเป็นคนอื่นเลยต่างหาก!
เฉียวจ้งชิงกดความรู้สึกประหลาดใจลงไป แล้วเอ่ยวาจาด้วงท่าทางถ่อมตัวเยี่ยงวิญญูชน “ข้าไม่เห็นด้วยที่บิดาของข้าจะต้องยอมลงจากตำแหน่งเจ้าตระกูลก็จริง แต่เหตุผลไม่ได้เป็นเพราะข้าเห็นแก่ประโยชน์ของตนเองดังที่น้องสาวพูด ข้าคิดว่าบิดาของข้ามิได้มีความผิดแต่อย่างใด เขามิใช่คนสั่งให้ท่านลุงใหญ่ออกไปท่องเที่ยว แล้วเขาก็มิได้ทำร้ายท่านลุงใหญ่จนเป็นตายไม่ทราบชัด แล้วเขาก็ยิ่งไม่ใช่คนที่ทำให้ท่านลุงใหญ่หายตัวไปสิบห้าปีโดยไม่สนใจไยดีตระกูลเฉียว ยามท่านลุงใหญ่มิอาจแบกรับภาระหน้าที่เจ้าตระกูล บิดาของข้าก้าวออกมาค้ำจุนเสาหลักของตระกูลเฉียวเอาไว้ ตระกูลเฉียวมีวันนี้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะความดีความชอบของบิดาข้า ดังนั้นตำแหน่งเจ้าตระกูลจึงมิอาจส่งมอบคืนให้ได้”
เฉียวเวยหัวเราะเยาะหยัน “ไม่พบกันหลายปี พี่ใหญ่เหตุไฉนจึงชอบยกเหตุผลไม่เข้าท่าขึ้นมาเช่นนี้ พี่ใหญ่ท่านรู้หรือไม่ว่าคำพูดของตนฟังดูแล้วน่าขันยิ่งนัก จะให้เปรียบก็เหมือนข้าใช้เงินซื้อเหลาสุรามาแห่งหนึ่ง จากนั้นจ้างผู้ดูแลคนหนึ่งมาทำงานให้เหลาสุรา พอผู้ดูแลทำให้กิจการใหญ่โตรุ่งเรือง เหลาสุราแห่งนี้ของข้าจะกลายเป็นของผู้ดูแลหรือ ใต้หล้ามีเรื่องเช่นนี้เสียที่ไหน”
สตรีน่าชัง กล้าเอาบิดาของเขาไปเปรียบกับผู้ดูแลร้านชั้นต่ำคนหนึ่งหรือ!
เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่สิ ข้ายกตัวอย่างเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะนัก น่าจะพูดเช่นนี้มากกว่า…เหลาสุราของข้ามีผู้ดูแลแล้ว มีเสมียนแล้ว มีพ่อครัวแล้ว ทุกคนต่างเก่งกาอย่างยิ่ง ข้าไม่อยู่ก็ไม่ส่งผลต่อการทำงานในเหลาสุรา แต่หลังจากข้าหายตัวไป ดันมีคนไล่ผู้ดูแลของข้าออก ไล่เสมียนของข้าออก ไล่พ่อครัวของข้าออก แล้วเอาคนของตนเองเสียบเข้ามาแทน กินของข้า ดื่มของข้า ใช้ของข้า นั่งเสพสุขจากของของข้า ตอนนี้ข้ากลับมาแล้ว เขากลับบอกข้าว่าเหลาสุราเป็นของเขาแล้ว นี่มิใช่เหตุผลไม่เข้าท่าหรือไร”
“เฉียวซื่อ” ในที่สุดเฉียวจ้งชิงก็คงใบหน้านิ่งสงบไว้ไม่อยู่
เฉียวเวยไม่หวาดกลัวเพลิงโทสะของเขาแม้แต่น้อย “เป็นอะไร ข้าพูดผิดหรือ หรือว่าพี่ใหญ่ฟังไม่เข้าใจ ถ้าเช่นนั้นก็ดี ข้าจะพูดให้ชัดอีกสักหน่อย หอหลิงจือเป็นของบิดามารดาข้าใช่หรือไม่ สูตรยาเป็นของบิดามารดาข้าใช่หรือไม่ ไม่มีหอหลิงจือ พวกท่านจะได้กินหอยเป่าฮื้อ ปลิงทะเล หูฉลาม กระเพาะปลาหรือ ไม่มีสูตรยา อารองจะเข้าสำนักหมอหลวงได้หรือ อ้อ พูดถึงสำนักหมอหลวง ข้าก็นึกขึ้นมาได้ สูตรยาที่รักษาองค์ชายเผ่าซยงหนีว์นั่นเหตุใดจึงเหมือนสูตรยาในมือบิดาข้าทุกประการ อารองท่านบอกข้าสิ”
เฉียวเย่ว์ซานหน้าแดงก่ำเหมือนตับหมู
เฉียวเวยเดินวนในห้องเงียบๆ รอบหนึ่ง “แล้วก็ ตอนแรกที่บิดามารดาข้าเกิดเรื่อง พวกท่านแม้แต่ศพก็ยังไม่ตามหา เพียงจับเสื้อผ้ายัดใส่โลงก็ฝังคนลงดิน รีบร้อนจนแทบรอไม่ไหวเช่นนี้ ข้าคิดว่าพวกท่านมีจุดประสงค์ซ่อนเร้นได้หรือไม่”
เฉียวจ้งชิงแววตาเย็นยะเยือก “ผู้ใดมีจุดประสงค์ซ่อนเร้น สถานการณ์ในตอนนั้น ทุกคนต่างคิดว่าพวกเขาไม่มีโอกาสรอดกลับมาแล้วทั้งนั้น”
เฉียวเวยยิ้มแต่คล้ายไม่ยิ้ม “คิดว่าหรือ ความเป็นความตายของคนสองคนใช้ความรู้สึกมาสรุปได้ตั้งแต่เมื่อใด”
เฉียวจ้งชิงบื้อใบ้
เรื่องในตอนนั้น หากจะบอกว่าเรือนรองไม่มีความปรารถนาส่วนตัวแอบแฝงอยู่เลยย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ยามนั้นเรือนรองคิดว่าเฉียวเจิงกับเสิ่นซื่อประสบเคราะห์ร้ายจริงๆ หลังจากนั้นเมื่อ ‘รอ’ ยาวนานถึงสิบปีแล้วเฉียวเจิงกับเสิ่นซื่อยังไม่กลับมา พวกเขาจึงยิ่งมั่นใจว่าทั้งสองคนตายแล้ว ต่อมายามขับไล่เฉียวเวยออกจากตระกูลจึงไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้เมื่อย้อนคิดดู เหตุใดพวกเขาจึงต้องรอผ่านไปสิบปีถึงแน่ใจ นั่นก็เพราะตั้งแต่ต้นพวกเขาคลางแคลงและไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายตายไปแล้วมิใช่หรือ
หากไม่ถูกเฉียวเวยชี้ แม้แต่ตัวพวกเขาเองก็ไม่ตระหนักถึงจุดนี้
ผู้อาวุโสทั้งหลายถกเถียงกันอย่างดุเดือด
ฝั่งที่มีผู้อาวุโสรองเป็นแกนนำยืนกรานให้เรือนรองคืนของทุกอย่าง ทั้งตำแหน่งเจ้าตระกูล กิจการของเรือนใหญ่รวมถึงสินเดิมของเสิ่นซื่อ ผู้อาวุโสหกกับผู้อาวุโสเจ็ดคิดว่ากิจการกับสินเดิมล้วนคืนให้ได้ แต่ตำแหน่งเจ้าตระกูลต้องรอหารือกันก่อน ผู้อาวุโสสี่กับผู้อาวุโสห้ายืนกรานว่าจะรับเฉียวเจิงกลับเข้าจวนโหว ไม่แบ่งแยกเขาเรา แล้วให้ลูกหลานเรือนรองคอยดูแลเขายามแก่เฒ่า ทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่เลวแล้ว
ผู้อาวุโสรอง “แต่เดิมก็เป็นของนายท่านใหญ่ ตอนนี้นายท่านใหญ่กลับมาแล้ว ก็สมควรคืนให้แก่เจ้าของ พวกเจ้าอย่าเอาเรื่องของเฉียวซื่อเมื่อตอนนั้นมาโยนใส่หัวนายท่านใหญ่ด้วย เรื่องนั้นไม่เกี่ยวข้องกับนายท่านใหญ่สักนิด ตอนนี้เรื่องที่คุยกันคือเรื่องกิจการของตระกูล!”
ผู้อาวุโสสี่โต้ว่า “อะไรเรียกไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่ใช่ลูกสาวที่เขาสั่งสอนมาหรือไร”
ผู้อาวุโสรองแย้ง “เฮ้อ ข้าจำได้ว่าก่อนยัยหนูจะอายุห้าขวบเป็นเด็กดียิ่งนัก หลังจากถูกเรือนรองเลี้ยงดู นิสัยจึงยิ่งดื้อรั้นขึ้นทุกที”
ผู้อาวุโสสี่ว่า “ผู้อื่นเลี้ยงลูกให้ เขายังจะมาโทษว่าผู้อื่นเลี้ยงไม่ดีอีกหรือ”
อี้เชียนอินมองเฉียวเวยด้วยสีหน้าจนปัญญา นี่มันสับสนวุ่นวายอะไรกัน ออกนอกประเด็นไปเร็วเกินไปแล้ว
แต่ยังดีที่ผู้อาวุโสรองดึงประเด็นกลับมาได้ “พูดไปแล้วเรื่องนี้ เหตุใดข้าได้ยินมาว่าซีเอ๋อร์มีเรื่อง ‘ไม่เหมาะสม’ บางอย่างกับยิ่นอ๋องตอนอยู่บนเขา องค์ชายรองลงไม้ลงมือสู้กับยิ่นอ๋องเสียยกใหญ่ นี่ก็เป็นนายท่านใหญ่สั่งสอนออกมาหรือไร”
เรื่องนี้เรือนรองเป็นฝ่ายผิดอย่างหนักหนาสาหัส เฉียวเวยเคยมีความสัมพันธ์กับยิ่นอ๋อง เฉียวอวี้ซีก็ยังจะไปล่อลวงยิ่นอ๋องอีก นี่ถึงจะหน้าไม่อายของจริง
เฉียวเย่ว์ซานกับสวีซื่อกุมหน้าผาก ปิดบังแววตากระดากอายในดวงตาเอาไว้
ผู้อาวุโสรองตบโต๊ะ “ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องอื่น พูดถึงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็พอ ตำแหน่งเจ้าตระกูลเป็นของนายท่านใหญ่ ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น!”
ผู้อาวุโสสี่เถียง “เจ้าจะหมายความว่าที่นายท่านรองตรากตรำมาหลายปีนี้เอาไปให้สุนัขกินหรือไร”
ผู้อาวุโสหกแยกคนสองคนที่ร่ำๆ จะเข้าห้ำหั่นกัน “พวกเจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ถอยกันคนละก้าว ตำแหน่งเจ้าตระกูลเป็นของนายท่านรอง กิจการกับสินเดิมคืนให้นายท่านใหญ่”
“อาศัยอะไรต้องถอยก้าวหนึ่ง!” ผู้อาวุโสรองกับผู้อาวุโสสี่โพล่งออกมาเป็นเสียงเดียว
สามฝ่ายปะทะคารมกันอย่างดุเดือด ห้องรับรองจวนเจียนจะระเบิด
อี้เชียนอินลูบปลายคาง
เฉียวเวยขยับมาบังเขาทันควัน จากนั้นถลึงตาใส่เขาอย่างไม่ให้ถูกผู้ใดจับได้ เขาเส้นเลือดในสมองแตกจนถือตะเกียบยังไม่ไหว ทำได้เพียงเคาะกระดิ่ง แล้วยังกล้าลูบปลายคางอีกหรือ!
อี้เชียนอินเก็บมืออย่างว่องไว แล้วเผยแววตาคลุมเครือซับซ้อนออกมา จับจ้องผู้อาวุโสที่กำลังพองขนกลุ่มนั้น
ในตอนที่ห้องรับรองใกล้จะถูกผู้อาวุโสทั้งหลายพลิกคว่ำ เซวียมามาก็ประคองเมิ่งซื่อเดินเข้ามา
เฉียวเย่ว์ซานกับสวีซื่อรีบลุกขึ้น
ทุกคนเห็นทั้งสองคนลุกขึ้นยืน จึงหันกลับมามองแล้วก็เห็นเมิ่งซื่อ
เมิ่งซื่อเป็นมารดาบังเกิตเกล้าของเฉียวเย่ว์ซานกับนายท่านสาม แม้อายุจะเกือบหกสิบปีแล้ว แต่ดูแลสุขภาพดี จึงแลดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงอยู่ไม่น้อย ผิวพรรณแดงระเรื่อมีน้ำนวล ดวงตาเป็นประกายสุกใส ยังคงมองออกว่ายามสาวเป็นยอดคนงามคนหนึ่ง
รูปโฉมกับชั้นเชิง นางไม่ขาดสักสิ่งจึงให้กำเนิดบุตรชายสองคนในจวนตระกูลใหญ่ แล้วเดินทีละก้าวจนมานั่งในตำแหน่งเช่นวันนี้สำเร็จ
สายตาของเมิ่งซื่อจับบนร่างพ่อลูกเรือนใหญ่ นางฟังอยู่ด้านนอกมานาน เมื่อแน่ใจตัวตนของทั้งสองคนแล้ว ความตกตะลึงรุนแรงจึงค่อยทุเลาลง นางหลบเลี่ยงสายตาคมกริบดุดันของเฉียวเวยอย่างไม่รู้ตัว “เจิงเกอร์ เจ้ามีชีวิตรอดกลับมา ข้าดีใจยิ่งนัก”
อี้เชียนอินมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย
นางเอ่ยต่อ “เรื่องที่ผ่านไปแล้ว โต้เถียงกันไปก็ไร้ความหมาย ยามนั้นมารดาของเจ้าให้กำเนิดเจ้าแต่ไม่มีน้ำนม เจ้าจึงได้กินน้ำนมของข้าเติบใหญ่ขึ้นมา น้องรองของเจ้าไม่ได้กินน้ำนมสักหยด ทั้งหมดล้วนป้อนให้เจ้า แม้ข้ามิใช่มารดาบังเกิดเกล้าของเจ้าก็ถือเป็นมัวมัวของเจ้า ตอนเจ้ายังเล็กชอบเรียกข้าว่า ‘แม่เล็ก’ เจ้าบอกว่าแม่เล็กฟังดูใกล้ชิดกว่าอี๋เหนียง ในใจข้าเจ้ากับเย่ว์ซานล้วนเป็นลูกของข้า”
ปลายหางตาของอี้เชียนอินเหลือบมองเฉียวเวยที่อยู่ด้านข้าง สถานการณ์นี้มันอะไรกัน
เฉียวเวยตอบในใจ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน! ยายแก่ที่ไหนบุกมาแทรก
ซิ่วไฉเฒ่ารู้จักเมิ่งซื่อ แต่ไม่รู้ว่าเมิ่งซื่อเคยให้น้ำนมเฉียวเจิง อย่างไรเสียเฉียวเจิงก็โตจนอายุปูนนั้นแล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดเอาแต่พูดว่าตอนยังเล็กเขาเคยกินน้ำนมของผู้ใด หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ถ้าเช่นนั้นหญิงชราผู้นี้ก็มีน้ำหนักที่จะพูดแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่ากระซิบ “มัวมัวมีฐานะสูงมากในราชวงศ์ต้าเหลียง ยิ่งเป็นชนชั้นสูงก็ยิ่งปฏิบัติต่อมัวมัวดี มีบางคนเลี้ยงดูมัวมัวยามชราและทำพิธีศพให้ นางเป็นแม่บังเกิดเกล้าของนายท่านสามกับนายท่านรอง แล้วเมื่อนับดูแล้วก็เท่ากับเป็นแม่เลี้ยงของนายท่านอยู่ครึ่งหนึ่งด้วย”
เฉียวเวยรำคาญคนที่อาศัยความอาวุโสมาข่ม เอาบุญคุณเล็กน้อยยามเก่าก่อนมาผูกมัดผู้อื่นไว้ด้วยคุณธรรมมากที่สุด หากจะให้พูดอย่างไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือตระกูลเฉียวไม่มีปัญญาจ้างมัวมัวหรือไร จึงต้องเอาศัตรูความรักคนหนึ่งมาให้นมบุตรของตนเอง ท่านย่าของนางโง่เขลาเพียงใดจึงทารุณตนเองเช่นนั้น แปดส่วนคงจะเป็นสตรีนางนี้ใช้อุบายนางจิ้งจอกอันใดต่อหน้าเหล่าไท่เหยียล่ะสิ เหล่าไท่เหยียจึงอุ้มลูกมาให้นางป้อนนมเลี้ยงดู ทำเช่นนี้แล้วยังมีหน้ามาทวงบุญคุณกับเฉียวเจิงว่าลูกชายนางไม่ได้กินน้ำนมอีกหรือ
ซิ่วไฉเฒ่าส่งสายตาให้เฉียวเวย บอกเฉียวเวยว่าอย่าบุ่มบ่าม
“เจิงเอ๋อร์…” เมิ่งซื่อหันไปมองอี้เชียนอิน
อี้เชียนอิน ข้าควรทำสีหน้าเช่นไร
เฉียวเวย เจ้าใบหน้าเป็นอัมพาตอยู่ยังจะต้องทำสีหน้าอะไรอีก
อี้เชียนอิน แววตาเล่า
เฉียวเวย อารมณ์ซับซ้อน มองไม่ออก
ติ๊ง!
อี้เชียนอินเผยแววตาที่แม้แต่ตนเองก็ยังไม่เข้าใจว่ารู้สึกเช่นไรออกมา
เมิ่งซื่อกลับไม่มองเขาแม้แต่น้อย นางล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา “เจ้ากับเย่ว์ซานล้วนเป็นลูกชายของข้า ข้าไม่ลำเอียงเข้าข้างผู้ใด ทว่าตำแหน่งเจ้าตระกูลมีเพียงหนึ่ง จำต้องตัดสิน ข้าขอพูดสักประโยคต่อหน้าผู้อาวุโสทุก่าน ผู้ใดมีคุณสมบัติเหมาะกับการนั่งบนตำแหน่งเจ้าตระกูลที่สุด ให้ดูกันที่ความสามารถ!”
ผู้อาวุโสทั้งหลายมองหน้ากัน
ผู้อาวุโสใหญ่ถามว่า “ไม่ทราบว่าคำพูดนี้ของเหล่าฮูหยินหมายความเช่นไร”
เมิ่งซื่อตอบว่า “ตอนเหล่าไท่เหยียยังมีชีวิตอยู่ ข้าเคยได้ยินเขาบอกว่าภูเขาด้านหลังศาลบรรพชนมีเขตต้องห้ามอยู่แห่งหนึ่ง ภายในเขตต้องห้ามมีสมุนไพรชื่อว่าหญ้าจันทร์ขาวขึ้นอยู่ ได้ยินว่าสมุนไพรชนิดนี้มีสรรพคุณช่วยให้เลือดไหลเวียนและขจัดพิษ ในอดีตบรรพบุรุษของตระกูลเฉียวเคยใช้หญ้าชนิดนี้รักษาโรคเนื้อเน่าในหมู่บ้าน นับจากนั้นจึงสร้างชื่อจนโด่งดัง กล่าวได้ว่าหญ้าชนิดนี้เป็นสมุนไพรประจำตระกูลเฉียว ผู้ใดเด็ดหญ้าจันทร์ขาวที่สมบูรณ์ต้นหนึ่งออกมาได้ก่อน ผู้นั้นก็จะเป็นเจ้าตระกูลคนต่อไป ไม่ทราบว่าทุกท่านคิดเห็นเช่นไร”
ทุกคน…เงียบกันถ้วนหน้า
มิใช่เพราะอื่นใด แต่เป็นเพราะว่าภูเขาด้านหลังศาลบรรพชนเป็นป่าภูตผีที่อันตรายซุ่มซ่อนรอบด้านแห่งหนึ่ง มิเคยมีผู้ใดมีชีวิตรอดออกมาจากที่แห่งนั้น ก็เพราะว่ามีคนในตระกูลเข้าไปเก็บสมุนไพรแล้วเสียชีวิตมากเกินไป นับตั้งแต่รุ่นบิดาของเหล่าไท่เหยียจึงให้มันเป็นเขตต้องห้าม
การไปเก็บสมุนไพรด้านในนั้นก็ไม่ต่างอันใดกับไปตาย
เมิ่งซื่อยิ้มกล่าวว่า “เป็นอะไรไป ไม่กล้าหรือ หากพวกเจ้าสองฝ่ายไม่มีผู้ใดกล้า ถ้าเช่นนั้นตำแหน่งเจ้าตระกูลก็ผลัดกันเป็นก็แล้วกัน เจ้าเป็นสามปี ข้าเป็นสามปี”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างขบขัน “โถ เมิ่งเหล่าไท่ไท่ ท่านคิดคำนวนมาดีเสียจริงนะ ท่านเป็นสามปี ข้าเป็นสามปี รอหลังจากทั้งสองคนอายุครบร้อยปีแล้ว ผู้ใดจะสืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลต่อเล่า”
เมิ่งซื่อตอบอย่างมีเหตุผลยิ่ง “ย่อมต้องเป็นหลายชายคนโตของตระกูลเฉียว”
เฉียวเวยชะงัก “ข้าไม่มีคุณสมบัติสืบทอดหรือไร”
เมิ่งซื่อยิ้มหยัน “เจ้าเป็นสตรี ย่อมมิอาจสืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลได้ แล้วยิ่งกว่านั้นเจ้าก็ถูกขับออกจากตระกูลไปแล้ว”
“พูดมาพูดไปก็ยังวางแผนเพื่อเรือนรองอยู่ดี!” เฉียวเวยปัดฝุ่นบนฝ่ามือที่ความจริงไม่มีอยู่ “ดี เก็บสมุนไพรก็เก็บสมุนไพรสิ”
“คุณหนู!” ซิ่วไฉเฒ่าตกตะลึง “เขตต้องห้ามอันตราย! เข้าไปแล้วจะไม่ได้ออกมา!”
เมิ่งซื่อเสียดสี “หากกลัว จะยอมแพ้จากการแข่งก็ได้ ถ้าเช่นนั้นตำแหน่งเจ้าตระกูลนับจากนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเจ้าแล้ว”
เฉียวเวยมองนางอย่างไม่หวาดกลัวสักนิด “หากข้าชนะเล่า”
เมิ่งซื่อยิ้มอย่างหยิ่งยโส “หากเจ้าชนะ อารองของเจ้าย่อมมอบตำแหน่งเจ้าตระกูลให้ แล้วยังจะคืนของทั้งหมดของเรือนใหญ่ให้รวมทั้งสินเดิมของมารดาเจ้าด้วย”
เฉียวเวยเอ่ยขึ้นว่า “พูดปากเปล่าไร้หลักฐาน ต้องเขียนเป็นลายลักษณ์ไว้เป็นหลักฐาน”
เมิ่งซื่อเรียกให้คนนำกระดาษกับพู่กันมา แล้วให้ผู้อาวุโสใหญ่เขียนเงื่อนไขของการประลองหนนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างลงนามและประทับลายนิ้วมือบนเงื่อนไข ผู้อาวุโสทุกคนเป็นพยาน หนนี้จะตัดสินผลแพ้ชนะกันจริงๆ แล้ว
“ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงเสนอให้เข้าไปในเขตต้องห้ามเล่า” หลังจากกลับมาถึงเรือนของเมิ่งซื่อ เฉียวเย่ว์ซานก็ขมวดคิ้วถาม
เมิ่งซื่อให้สาวใช้กับหญิงรับใช้ถอยออกไป เหลือเพียงพ่อลูกสองคน เมิ่งซื่อจึงตอบว่า “แม่ทำเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อเจ้าหรือ เฉียวเจิงกลับมาแล้ว เจ้าคิดจริงหรือว่าเจ้าจะรักษาตำแหน่งเจ้าตระกูลเอาไว้ได้ สาวน้อยคนนั้นก่อเรื่องเก่งนัก หากวันใดก่อเรื่องอะไรขึ้นมา พวกเราคงนึกเสียใจที่ไม่เลือกทางอื่น มิสู้ฉวยโอกาสนี้จัดการเรื่องให้จบเสีย!”
เฉียวเย่ว์ซานถอนหายใจอย่างเป็นทุกข์ “เขตต้องห้ามอันตรายเกินไป ท่านคิดบ้างหรือไม่ว่าหากข้าเข้าไปแล้วอาจจะไม่ได้กลับออกมาอีก”
เมิ่งซื่อบ่น “ลูกโง่ แม่จะทำร้ายเจ้าได้อย่างไร หลังจากเข้าไป เจ้าก็อย่าเดินเข้าไปด้านในต่อ รออยู่ตรงนั้น ให้พวกเขาเข้าไปหา”
เฉียวเย่ว์ซานงุนงง “ความหมายของท่านแม่ก็คือ…”
เฉียวจ้งชิงตอบแทน “ความหมายของท่านย่าก็คือในภูเขาอันตราย หากระหว่างพวกเขาตามหาสมุนไพรพบเรื่องโชคร้ายขึ้นมา ถ้าเช่นนั้นบิดาผู้โชคดีรอดมาได้ย่อมเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด”
หนังตาของเฉียวเย่ว์ซานกระตุกอย่างแรง “นี่จะเกินไปหรือไม่…”
“เกินไปหรือ พวกเขาไม่ใช่ไม่รู้เสียหน่อยว่ามันอันตราย รู้ทั้งรู้ว่าบนเขามีเสือแต่ดันขึ้นเขาไปหาเสือ ย่อมโทษผู้อื่นไม่ได้แล้ว” เฉียวจ้งชิงตอบอย่างเย็นชา
เฉียวเย่ว์ซานขมวดคิ้ว “หากพวกเขาหาพบขึ้นมาเล่า”
ดวงตาเฉียวจ้งชิงทอประกายเย็นยะเยือกวูบหนึ่ง “ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็รอที่ทางเข้า แย่งสมุนไพรมาก็ได้เหมือนกัน! ไม่ได้มีกฎว่าจำเป็นต้องเก็บมาเองเสียหน่อย ผู้ที่นำสมุนไพรออกมาจากภูเขาคนแรก ผู้นั้นจึงจะเป็นผู้ชนะ”
…