หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 183-2 กลับบ้าน
ตอนที่ 183-2 กลับบ้าน
คณะของพวกเขาเดินขึ้นเนินกันไป ด้านหลังมีคนกลุ่มใหญ่เดินตามกันเป็นแถวยาว ไม่เพียงแต่ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ หากดูดีๆ จะเห็นว่าตรงหางแถวมีชาวบ้านที่มาจากในตัวเมืองด้วย ใครๆ ก็อยากเห็นบารมีของใต้เท้าอัครเสนาบดีและอยากเห็นด้วยว่าสตรีที่เลอโฉมแห่งแคว้นนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร ถึงได้แต่งงานกับอัครเสนาบดีได้
และสิ่งที่ได้เห็นก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง คู่ครองที่เหมาะสมกันเช่นนี้ เป็นคู่สร้างคู่สมกันโดยแท้
เฉียวเจิงนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน ชีเหนียงเตรียมน้ำชาเอาไว้ คอยรับใช้อยู่ด้านข้าง
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยโขกศีรษะคารวะผู้เป็นบิดา จูเอ๋อร์นั่งทำหน้าทำตาอยู่บนตำแหน่งนายหญิง
เฉียวเวยเลยจับมันโยนออกไปนอกประตู!
เฉียวเจิงดื่มน้ำชาจากลูกเขย ยิ้มแย้มถามว่าเฉียวเวยเป็นอย่างไรบ้าง
เฉียวเวยนั่งลงข้างกายบิดาแล้วบอกแต่เรื่องน่ายินดี “ดีมากทีเดียว กินดีอยู่ดี นอนสบาย ท่านเล่า? ข้าไม่อยู่บ้าน ท่านไม่ชินเลยใช่หรือไม่ เสียใจหรือยังที่ให้ข้าแต่งงานออกไปเร็วเพียงนี้”
เฉียวเจิงเอ่ยทอดถอนใจ “ก็ใช่น่ะสิ เสียใจแล้ว ทำอย่างไรดี ทิ้งสามีเจ้าแล้วกลับมาอยู่ที่นี่ดีหรือไม่”
เฉียวเวยตอบรับทันควัน “ดีสิ!”
จีหมิงซิว “…”
ป้าหลัวขึ้นมาที่บ้านแล้วเอาหมูทองที่เฉียวเวยนำกลับมาไปแบ่งให้กับชาวบ้านทั้งหลาย ทุกคนพอได้เห็นหมูทองก็รู้ทันทีว่าเสี่ยวเฉียวเป็นที่รักใคร่ยามอยู่ในจวนอัครเสนาบดียิ่งนัก
เนื้อย่างจากจวนอัครเสนาบดีเนื้อแน่นรสชาติดี มีมันแทรกในปริมาณพอเหมาะ ไม่นานก็ถูกแบ่งไปจนหมดเกลี้ยง
พี่น้องจิ่งอวิ๋นเล่นกับเอ้อร์โก่วจื่อขึ้นไปถึงบนเนินแล้วไปหาจงเกอร์ พวกเขาเอาของดีๆ ที่นำมาด้วยจากจวนอัครเสนาบดีไปแบ่งให้เพื่อนเล่นทั้งสอง
“นี่คือขนมเปี๊ยะพุทราป่า ไม่เหมือนกับที่ขายอยู่ข้างนอก พุทราข้างในเม็ดใหญ่และหวานที่สุดเลย นี่เป็นขนมรังนกกรอบ นี่คือขนมเป๋าฮื้อ…” จิ่งอวิ๋นเอาของจากในถุงหนังสือออกมาวางเต็มโต๊ะ แล้วแบ่งให้เอ้อร์โก่วจื่อกับจงเกอร์
ตรงสนามหญ้าด้านนอก เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ก็กำลังแลกเปลี่ยนของขวัญกันอยู่เช่นกัน
จูเอ๋อร์หยิบเสื้อที่เย็บข้ามคืนจนเสร็จออกมาคลุมลงบนตัวเสี่ยวไป๋เบาๆ หลังจากชื่นชมเสร็จก็ยกหัวแม่มือให้
เสี่ยวไป๋พยักหน้าแล้วหยิบดอกไม้ดอกใหญ่จากตะกร้าด้านหลังออกมาติดบนศีรษะให้จูเอ๋อร์
เจ้าตัวน้อยทั้งสองพอใจกับของขวัญในจินตนาการที่ให้กันอย่างมาก
ในเรือนเล็ก เสี่ยวเว่ยได้พบกับปี้เอ๋อร์
“เจ้า เจ้าสวยขึ้นนะ” เสี่ยวเว่ยเอ่ยทั้งหน้าแดงๆ
ชุดของสาวใช้ในจวนอัครเสนาบดีงดงามดูแพงกว่าคุณหนูตระกูลใหญ่ทั่วไปเสียอีก ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง ปี้เอ๋อร์มีพื้นฐานที่ไม่เลว จะไม่สวยขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากได้อย่างไร
แต่คำพูดเช่นนี้จะออกมาจากปากบุรุษที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร
ปี้เอ๋อร์อายจนหน้าแดง “อีตาลามก!”
เสี่ยวเว่ยรีบอธิบาย “ไม่ใช่นะ ข้า…ข้าพูดความจริง เจ้าสวยขึ้นทุกวันจริงๆ…”
มุมปากปี้เอ๋อร์กระตุกขึ้นเล็กน้อย นางพยายามกดมันกลับลงมาแล้วเอารองเท้าคู่หนึ่งจากห่อผ้าออกมาให้ “อะ ให้”
เสี่ยวเว่ยตกใจ “ทำให้ข้าหรือ”
ปี้เอ๋อร์ตะคอกใส่ว่า “ฝันไปเถอะย่ะ! ใครเค้าทำให้เจ้ากัน ข้าทำให้พ่อข้า แต่ทำเล็กไป เขาใส่ไม่ได้ เจ้าอยากใส่ก็ใส่ ไม่ใส่ก็โยนทิ้งไป!”
“ข้าใส่ๆ!” เสี่ยวเว่ยรีบสลัดรองเท้าที่ขาดเป็นรูสามรู เจินเวยเหมิ่งเย็บให้แล้วก็ขาดอีก เย็บอีกก็ขาดอีกของตนออกจากเท้าทันที บนเขาอากาศหนาว หัวแม่โป้งของเขาหนาวจนแดงก่ำไปหมด เขาใส่รองเท้าที่ปี้เอ๋อร์ทำให้ ไม่เล็กไม่ใหญ่กำลังพอดี ทั้งสบาย ทั้งอบอุ่น
“ยังมีอีกคู่หนึ่ง” ปี้เอ๋อร์โยนรองเท้าอีกคู่หนึ่งลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เสี่ยวเว่ยยิ้มด้วยความยินดี เอารองเท้าอีกคู่ขึ้นมากอด “ปี้เอ๋อร์เจ้าช่างดีเหลือเกิน”
ปี้เอ๋อร์หน้าแดง มองข้อเท้าที่เปลือยเปล่าของอีกฝ่าย “ใส่อย่างนี้ทำรองเท้าเสียง่ายนะ”
“เช่นนั้นต้องใส่อย่างไร” เสี่ยวเว่ยถอดรองเท้าออก “ข้าไม่ใส่ก็แล้วกัน ข้าวางเอาไว้!”
ปี้เอ๋อร์หัวเพราะพรืดออกมา
พอนางหัวเราะ เสี่ยวเว่ยก็หัวเราะแหะๆ ตามบ้าง
ปี้เอ๋อร์หุบยิ้ม ถลึงตาใส่เขา “ตาทึ่ม!”
ปี้เอ๋อร์หยิบรองเท้าสี่คู่ออกมาจากห่อผ้า สองคู่เป็นแบบสองชั้น ตรงกลางไม่มีนุ่นบุ ใส่ในช่วงเวลานี้กำลังดี อีกสองคู่เป็นแบบมีบุข้างใน ตรงกลางยัดนุ่นเอาไว้ ใส่ในหน้าหนาวเท้าจะไม่เย็น
เสี่ยวเว่ยกอดรองเท้าที่แสนอบอุ่นเอาไว้ ในใจก็พลอยอบอุ่นไปด้วย
ตอนกลางวัน ทุกคนมานั่งล้อมโต๊ะกินข้าวกันอยู่ในห้อง
ป้าหลัวย่างไก่ตัวหนึ่ง ในชามมีน่องไก่อยู่สองน่อง เฉียวเวยคีบน่องหนึ่งใส่จานวั่งซู เตรียมจะคีบอีกน่องหนึ่งให้จิ่งอวิ๋น แต่เฉียวเจิงกลับไวกว่า คีบน่องไก่ขึ้นมา เฉียวเวยคิดว่าเขาจะเอาให้จิ่งอวิ๋น ใครจะรู้ว่าเขาจะคีบให้นาง
เฉียวเวยไม่เข้าใจ
เฉียวเจิงเลยอธิบายว่า “เจ้ารักลูกสาวเจ้า ข้ารักลูกสาวข้าบ้างไม่ได้หรือ”
เฉียวเวยพลันแสบจมูก
พอกินข้าวเสร็จ จีหมิงซิวก็ไปเล่นหมากล้อมเป็นเพื่อนพ่อตา เขายังคงใคร่ครวญอย่างหนักว่าจะแพ้อย่างไรให้อีกฝ่ายไม่รู้ตัว เพื่อไม่ให้พ่อตาจับได้และไม่ทำให้ชนะง่ายจนเกินไป พวกเขาเล่นกันไปหลายตา เหนื่อยสมองกว่าอ่านฎีกาทั้งวันเสียอีก
เฉียวเวยเรียกชีเหนียงมาหาแล้วถามเรื่องสภาพการภายในโรงงาน
ทุกอย่างในโรงงานเรียบร้อยดี มีแค่พวกหัวแหลมบางคนอาศัยว่าเฉียวเวยไม่อยู่ลอบออกไปอู้งาน ถูกชีเหนียงจับได้จึงต่อว่าอย่างหนักไปยกหนึ่ง พร้อมทั้งหักเงินค่าแรงสามวันด้วย
คนพวกนั้นนึกเจ็บแค้น จึงอาศัยจังหวะที่ชีเหนียงไปซื้อวัตถุดิบที่ตลาด เข้าไปขวางชีเหนียงไว้กลางทุ่งนา อากุ้ยตามมาทันจึงจัดการสั่งสอนเจ้าเศษเดนพวกนั้นไปหนึ่งยก ตั้งแต่นั้นมาเลยไม่มีใครกล้าก่อเรื่องอีกเลย
ชีเหนียงยินดีเปิดรับความคิดแบบเฉียวเวย แต่เนื้อแท้ข้างในแล้วนางยังคงรักษาความเป็นสตรีแบบดั้งเดิมไว้อยู่ สตรีไม่ว่าอย่างไรก็จำเป็นต้องมีบุรุษเคียงข้าง
อากุ้ยเป็นคนจิตใจไม่เลวร้าย มีแค่นิสัยที่ออกจะน่ารังเกียจไปบ้าง เฉียวเวยคิดว่าหากตนได้ผู้ชายเช่นนี้ คงได้โมโหตายแน่ แต่ชีเหนียงไม่ใช่นาง
ความรักก็เหมือนคนดื่มน้ำ จะร้อนหรือเย็นมีเพียงตัวเองเท่านั้นที่รู้
ช่วงเวลาครึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาท้องฟ้าก็เริ่มมืดสลัว
เฉียวเจิงยืดเหยียดแขน “นั่งมาทั้งบ่ายจนเอวข้าขาข้าปวดไปหมดแล้ว! เอาล่ะ พวกเจ้ากลับกันไปเถอะ!”
จีหมิงซิววางตัวหมากในมือ เฉียวเวยช่วยเก็บกระดานหมากให้อย่างเรียบร้อย
เฉียวเจิงดึงกล่องตัวหมากในมือนางไป “เอาล่ะๆ วางไว้ที่นี่แหละ เดี๋ยวข้าเก็บเอง นี่ก็ดึกแล้ว พวกเจ้าเดินทางกันดึกดื่นไม่สะดวก รีบออกกันเสียแต่เดี๋ยวนี้เถอะ”
เฮ่อ เหตุใดวันๆ หนึ่งถึงได้สั้นเพียงนี้
เฉียวเวยมองไปทางเฉียวเจิงด้วยใจที่ไม่เบิกบาน เวลานี้เขาดูสดชื่นแจ่มใส แต่ตรงใต้ต้ากลับมีรอยคล้ำให้เห็น คิดดูแล้วสองวันนี้เขาคงนอนไม่หลับกระมัง เฉียวเวยเลื่อนสายตาไปมองยังศีรษะบิดา ไม่รู้ว่าตนรู้สึกไปเองหรือไม่ แต่นางคิดว่าตนเห็นผมขาวอยู่หลายเส้นทีเดียว “ท่านพ่อ ผมท่านยุ่งหมดแล้ว เดี๋ยวข้าหวีให้นะ”
เฉียวเจิงชะงักไปก่อนจะยิ้มเอ่ยว่า “ยากนะที่ลูกสาวจะกตัญญูเช่นนี้”
เฉียวเวยหยิบหวีออกมาจากลิ้นชัก ดึงปิ่นออกจากศีรษะเขาแล้วปล่อยเส้นผมดำขลับลงมาค่อยๆ บรรจงหวี
นางไม่ได้คิดไปเอง เขามีผมขาวแล้วจริงๆ
เขาเพิ่งอายุสี่สิบกว่าปี เหตุใดผมขาวจึงมาเร็วเพียงนี้…
ในใจเฉียวเวยรู้สึกไม่สู้ดีนัก หลังจากหวีผมให้เฉียวเจิงเสร็จ นางก็เสียบปิ่นกลับให้เช่นเดิม “หากท่านคิดถึงข้า ก็ให้คนไปบอกข้าได้ ข้าจะพาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูกลับมาเยี่ยมท่าน”
เฉียวเจิงระบายยิ้มอบอุ่น “ข้ารู้แล้ว ไปเถอะ”
ท้องฟ้ามืดสลัวลงเรื่อยๆ ได้เวลาต้องไปแล้วจริงๆ
จีหมิงซิวโอบบ่านางไว้ เอ่ยเสียงเบาว่า “ไปกันเถอะ วันหน้าค่อยกลับมาเยี่ยมท่านพ่อพวกเรากันใหม่”
อีกด้านหนึ่ง ซาลาเปาน้อยทั้งสองก็บอกลาเพื่อนของตนอย่างอาลัยอาวรณ์ ไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะได้พบกันเมื่อไร พวกเด็กๆ ทำใจกันยากยิ่งนัก
ตอนแรกมีแค่จงเกอร์ที่ร้องไห้ ไม่นานเอ้อร์โก่วจื่อก็ทนไม่ไหว เริ่มร้องไห้ตามบ้าง จิ่งอวิ๋นเห็นพวกเขาร้อง ตนเองก็เริ่มจะทนไม่ไหวเหมือนกัน
หนุ่มน้อยทั้งสามร้องไห้กันน้ำตานองหน้า
มีแค่วั่งซูที่สงบนิ่งกว่าใครเพื่อน นับเป็นยอดสตรีคนหนึ่ง
ตรงสนามหญ้า เสี่ยวไป๋ก็บอกลาจูเอ๋อร์เช่นกัน
ทั้งสองกอดกันฉันสหายทีหนึ่ง
จังหวะที่เข้าไปกอดกันนั้น จูเอ๋อร์ถือโอกาสหย่อนอึ่งอ่างตัวหนึ่งลงไปในตะกร้าข้างหลังเสี่ยวไป๋ (เสี่ยวไป๋ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน กลัวอย่างเดียวคืออึ่งอ่างหน้าตาอัปลักษณ์นี้แล)
เสี่ยวไป๋เองก็อาศัยช่วงกอด หย่อนตัวซวยของจูเอ๋อร์ลงไปในตะกร้าด้านหลังจูเอ๋อร์เช่นกัน – ซึ่งก็คืองูพิษที่มีพิษรุนแรงมากนั่นเอง
เรียกได้ว่าพวกมันเป็นคู่สหายที่สมน้ำสมเนื้อด้วยกันทั้งคู่!
เฉียวเจิงยืนอยู่บนยอดเนิน มองส่งทุกคนเดินลงไป
เฉียวเวยเดินไปก็คอยหันกลับมามาอง
เฉียวเจิงเลยโบกมือบอกให้บุตรสาวรีบเดินไป
จิ่งอวิ๋นยังคงจมอยู่ในอารมณ์เศร้าหมองที่ต้องแยกจากสหายรัก
วั่งซูยิ้มกว้างพลางโบกมือ “ไว้พบกันใหม่นะท่านตา!”
เฉียวเจิงยิ้มน้อยๆ ไว้พบกันใหม่
พวกเขาทั้งหมดพากันขึ้นรถม้าไป
หลังจากเล่นกันมาตลอดบ่าย พวกเด็กๆ เหนื่อยอ่อนกันมาก รถม้าเคลื่อนโยกๆ คลอนๆ ไปได้เพียงครึ่งเค่อก็หลับคอพับคออ่อนอยู่ในอกบิดามารดากันหมด
เฉียวเวยจิตใจห่อเหี่ยวเล็กน้อย
เฉียวเวยไม่เคยคิดว่าคนที่สูญเสียบุพการีไปทั้งสองชาติภพอย่างนาง จะได้พบกับบิดาที่รักใคร่นางเช่นนี้ ส่วนนางก็เริ่มจากทำตัวเฉยชา กลายมาเป็นอาลัยอาวรณ์อย่างในปัจจุบัน ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แม้แต่ตัวนางเองยังตกใจ
เดิมทีนางไม่ใช่ไม่อยากได้ แค่เพียงนางไม่มีวันได้มาเท่านั้น
เมื่อถึงคราวได้มาจริงๆ ก็ยากที่จะไม่อาลัยอาวรณ์
จีหมิงซิวจับมือเฉียวเวยไว้ “ไม่ต้องเป็นห่วง พอผ่านเดือนนี้ไป ข้าจะพาเจ้ากลับมาบ่อยๆ หากเจ้าต้องการ จะให้พ่อเราย้ายไปอยู่บ้านสี่ประสานก็ได้ แล้วพวกเราไปค้างที่นั่นกันเดือนละสามสี่วัน”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยความเสียใจว่า “พ่อข้ามีผมขาวแล้ว พ่อท่านอายุมากกว่าพ่อข้าตั้งมาก ยังไม่เห็นมีเลย…”
จีหมิงซิวเอาลูกไปวางยังเบาะนุ่มด้านหลังแล้วกลับมานั่งข้างนาง ดึงนางเข้ามากอด “พ่อข้าเป็นคนไม่มีหัวใจ เทียบกับพ่อเจ้าได้หรือ”
มีใครพูดถึงบิดาตนเองเช่นนี้ด้วยหรือ
เฉียวเวยคิดแล้วเอ่ยว่า “ท่านตามหาแม่ข้าก็แล้วกัน”
“หือ?” จีหมิงซิวก้มลงมามองนาง
นางจับนิ้วมืออีกฝ่ายเล่น “ท่านพูดถูกมาก ท่านพ่อข้าดื้อรั้นเกินไป ท่านแม่ข้าตายไปตั้งหลายปีเพียงนั้นแล้ว ช่วงวัยที่รุ่งโรจน์ของเขาเสียไปกับการตามหาท่านแม่ข้า เดิมทีเขาสามารถแต่งงานใหม่แล้วมีลูกอีกเป็นโขยงได้ แต่เขาพลาดโอกาสไปเสียแล้ว ลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาก็แต่งงานออกมาอีก เขาแก่ไปจะต้องอยู่คนเดียวอย่างเปลี่ยวเหงา”
จีหมิงซิวจูบหน้าผากคนในอ้อมแขน “ไม่หรอก ข้าจะดูแลเขาเอง”
เขาจะรับพ่อตามาอยู่ด้วย คอยดูแลทุกอย่างให้เขาเช่นเดียวกับที่ดูแลเจ้า
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเบา “ท่านแม่ข้าน่าจะยังมีชีวิตอยู่ ต้องมีชีวิตอยู่ พ่อข้าเป็นถึงขนาดนี้แล้ว หากนางตายไปแล้วจริงๆ นางก็ผิดต่อท่านพ่อของข้าแล้ว!”
นี่กำลังใช้อารมณ์ชัดๆ
ไม่มีใครเข้าใจความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุพการีทั้งสองไปเท่าจีหมิงซิวอีกแล้ว เขาเองก็เคยมีบุพการีที่รักใคร่เขาราวกับยอดดวงใจ แต่ในปีที่เขาอายุได้สิบปี มารดาของเขาเสียชีวิต บิดาของเขาถึงแม้จะยังมีชีวิตอยู่แต่ก็ไม่ต่างอันใดกับตายไปแล้ว สรุปคือไม่ใช่บิดาผู้มากด้วยเมตตาที่สอนเขาขี่ม้า ประคองเขาคลานไปทั่วเรือนอย่างในความทรงจำอีก
ก็เหมือนที่เขารักใคร่มารดา เฉียวเวยก็รักใคร่บิดาเช่นกัน รักถึงขั้นกล่าวโทษมารดาที่ทิ้งให้บิดาทนอยู่กับความเจ็บปวดในโลกใบนี้คนเดียว
จีหมิงซิวกอดนางไว้แน่น “ข้าสั่งให้ไห่สือซานไปตามหาแล้ว หากอยู่ต้องเจอตัว ตายต้องเจอศพ ต่อให้อยู่สุดหล้าฟ้าเขียว ก็จะต้องตามหาที่อยู่ของท่านแม่เจ้าให้พบให้ได้”
…
บนหาดทรายที่ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา ไห่สือซานเดินย่ำเป็นรอยเท้าตื้นบ้างลึกบ้างไปเรื่อยๆ ในมือเขาถือแผนที่ของบริเวณนี้อยู่แผ่นหนึ่ง
เมืองแห่งนี้เรียกว่าเมืองลั่วเหอ ส่วนหมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านชาวประมงหมู่บ้านสุดท้ายของเมืองนี้ หากเขาเดินถามจนทั่วหมู่บ้านนี้ ก็จะครบทั้งเมืองลั่วเหอแล้ว
แต่เขายังหาอะไรไม่พบเลย!
ไห่สือซานถอนหายใจ
เมืองหยางหลิ่ว เมืองไป๋ฮว่า เมืองหลิงหยาง…เป็นเมืองที่อยู่เรียบแม่น้ำ เขาลองหาดูคร่าวๆ ตัวโดนแดดเผาจนจะกลายเป็นปลาตากแห้งแล้ว แต่น้ำท่วมครั้งใหญ่ในปีนั้นแทบจะกวาดให้พื้นที่แห่งนี้ราบเป็นหน้ากลอง คนที่ตายอยู่ในแม่น้ำเยอะจนนับไม่ถ้วน การจะหาสตรีที่แซ่เสิ่นคนหนึ่งจะง่ายดายได้อย่างไร
ไห่สือซานเดินเข้าไปในหมู่บ้านชาวประมง
กลิ่นคาวปลาลอยออกมาเตะจมูก ไห่สือซานขมวดคิ้ว ช่วงนี้ได้แต่กลิ่นนี้บ่อยเกินไป จึงแทบอยากจะอ้วกออกมาอยู่แล้ว
แม่นางน้อยคนหนึ่งกำลังกัดปลาแดดเดียวอยู่ นางมองมาที่เขาด้วยความสงสัยระคนขบขัน
ไห่สือซานเห็นว่านางพอจะถูกชะตา เลยระบายยิ้ม “แม่นางน้อย…”
พอพูดจบ แม่นางน้อยก็ร้องกรี๊ดแล้ววิ่งหนีไป
ไห่สือซานที่ไม่โกนหนวดโกนเครามาหลายวัน เป็นคุณอาใจร้ายที่หน้าตาเต็มไปด้วยหนวดเคราไปแล้ว
ไห่สือซานเห็นอีกฝ่ายวิ่งหนีเข้าไปในกระท่อมไม้เล็กๆ เลยลังเลเล็กน้อยก่อนจะตามเข้าไป
นี่เป็นกระท่อมไม้ที่เรียบง่ายจนเรียกว่าซอมซ่อ พื้นที่กว้างไม่ถึงสิบตารางเมตร บนพนังมีอุปกรณ์ตกปลาแขวนอยู่ ที่พื้นก็มีอุปกรณ์ตกปลากองอยู่ สตรีวัยกลางคนในเสื้อผ้าป่านนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็ก กำลังดึงปลาตัวเล็กๆ ที่ติดอยู่ตามแหออกมา
ข้างกายสตรีนางนั้นเป็นเตียงนอน พูดให้ชัดเจนก็คือเตียงครึ่งหลังที่มีคนชราไม่รู้เป็นหรือตายนอนอยู่
คนบนเตียงผอมแห้งราวกับท่อนฟืน สองข้างแก้มซูบตอบ ที่มือเห็นเป็นกระดูกชัดเจน
ตอนแรกแม่นางน้อยไปซุกอยู่บนเตียงคนชรา เหลือบมองคุณอาหนวดเคราเฟิ้มที่ตามตนเข้ามาด้วยความหวาดกลัว
สตรีวัยกลางคนใช้ภาษาถิ่นด่าว่านางไปหลายคำ
ไห่สือซานสืบข่าวไปทั่วเหนือใต้ออกตกของต้าเหลียง ภาษาถิ่นของแต่ละพื้นที่เขาพอพูดได้ยังไม่เท่าไร ภาษาห้าหกสิบประเภทเขาฟังออกทั้งสิ้น
สตรีนางนั้นกำลังต่อว่าแม่นางน้อยว่า ปู่เจ้าป่วยอยู่ อย่าเข้าไปใกล้ขนาดนั้น เจ้าอยากป่วยไปด้วยหรือไร หาเรื่องอยากตายสินะ
ไห่สือซานขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเอ่ยเรียกอีกฝ่าย
สตรีนางนั้นคิดว่าเขามาจากร้านขายปลา จึงใช้ภาษาถิ่นตอบว่า “ปลาวันนี้ไม่ดี ถ้าเจ้าอยากได้ปลาตัวเล็กก็พอมี แต่ถ้าอยากได้ตัวใหญ่ต้องรอพรุ่งนี้”
ไห่สือซานก็ใช้ภาษาถิ่นตอบกลับว่า “ข้าไม่ได้มาเอาปลา ข้ามาถามหาใครคนหนึ่งกับเจ้า”
“ไปๆๆ! ข้าไม่ว่างหรอกนะ!” สตรีนางนั้นโบกมือด้วยความรำคาญ
ไห่สือซานหยิบเงินก้อนหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ สตรีนางนั้นตาแข็งไปทันที
ไห่สือซานบอกว่า “ข้าอยากถามหาใครคนหนึ่งกับเจ้าหน่อย หากเจ้าให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับข้าได้ เงินนี่จะเป็นของเจ้า แต่เจ้าอย่าคิดจะหลอกข้าเชียว มีดของข้าเล่มนี้ไม่ได้ถือศีลกินเจหรอกนะ!”
ระหว่างที่พูดไห่สือซานก็ควักกริชออกมาจากซองหนังไปด้วย
สตรีนางนั้นตกใจจนลุกขึ้นยืน!
ไห่สือซานหยิบภาพม้วนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “ข้าอยากถามเจ้าว่า เมื่อสิบหกปีก่อน ที่นี่เคยเกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้นครั้งหนึ่ง พวกเจ้าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ก่อนน้ำท่วมหรือเพิ่งย้ายมาทีหลัง”
สตรีกลางคนบอกว่า “อยู่ที่นี่มาตลอด! บ้านยังไม่มีเลย! กระท่อมก็ถูกน้ำพัดเสียหายหมด ต้องสร้างขึ้นมาใหม่!”
ไห่สือซานคอยจับสังเกตนาง เมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก จึงเปิดม้วนภาพออก “สตรีนางนี้ เจ้าพอเคยเห็นหรือไม่”
สตรีในภาพมีหน้าม้ายาวลงมาปิดคิ้ว นางอยู่ในอาภรณ์สีขาว งดงามราวกับฉางเอ๋อ
สตรีกลางคนตั้งใจเพ่งมองก่อนจะส่ายหน้า
ไห่สือซานหยิบภาพอีกภาพหนึ่งออกมา ยังคงเป็นสตรีนางเดิม แต่กลับใส่ผ้าปิดหน้า หน้าม้าหวีเปิด เผยให้เห็นคิ้วที่โค้งโก่ง ตรงหว่างคิ้วมีไฝแดงเม็ดหนึ่ง งดงามประหนึ่งหยดโลหิต
สตรีกลางคนกะพริบตาเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พ่อๆ! คนนี้ใช่ผู้หญิงคนนั้นหรือไม่”
แม่นางน้อยเขย่า “ปู่ๆ แม่เรียกท่าน”
คนชราบนเตียงถูกเขย่าจนตื่น
สตรีนางนั้นก้าวเข้าไปที่เตียง ชี้ไปยังภาพเหมือนที่อยู่ห่างไปไม่ไกล “พ่อ! ท่านลองดูทีว่านั่นใช่คนที่ซื้อเรือของพวกเราไปในคืนวันนั้นหรือไม่”
ไห่สือซานถือภาพเข้าไปใกล้อีกนิด ชายชราปรือตาที่พร่ามัวของตน เพ่งมองโดยละเอียอยู่พักหนึ่งแล้วถึงขยับปากร้องอาๆๆ แล้วพูดอะไรบางอย่าง
ครานี้ไห่สือซานฟังไม่ออกแล้วจริงๆ
ชายชราเคยเส้นเลือดแตก ไม่มีเงินรักษา จึงเกิดเป็นอาการข้างเคียงคือพูดจาติดๆ ขัดๆ
สตรีนางนั้นกลับฟังเข้าใจ นางบอกกับไห่สือซานว่า “คือนาง!”
ไห่สือซานพลันตาเป็นประกาย “พวกเจ้าเคยเห็นนางจริงๆ หรือ”
สตรีกลางคนชี้ไปที่หว่างคิ้วของตน “ไฝแดงเม็ดนี้ ข้าจำได้”
ตอนนั้นสตรีนางนี้ยังเยาว์วัย เป็นช่วงวัยที่กำลังรักสวยรักงาม เมื่อเห็นว่าตรงหว่างคิ้วของสตรีนางนี้มีไฝแดงแต้มอยู่ เห็นว่างามยิ่งนัก จึงเข้าเมืองไปหาซื้อหินสีแดงมาติดบ้าง ตอนหลังคนในหมู่บ้านเห็นว่านางติดเลยพากันเอาอย่าง เพียงไม่นานสตรีทั้งหมู่บ้านชาวประมงก็มีหินสีแดงติดอยู่ตรงหว่างคิ้วกันทุกคน
ไห่สือซานถามด้วยความตื่นเต้นว่า “พอเล่าเรื่องนางให้ข้าฟังได้หรือไม่ เจ้าบอกว่านางซื้อเรือพวกเจ้าไป นางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
สตรีนางนั้นบอกว่า “ไม่ใช่นางที่ซื้อ คนที่มาด้วยกันกับนาง พวกเขามาด้วยกันหลายคน”
“หลายคน?” ไห่สือซานขมวดคิ้ว
“ผู้ชายหลายคน ดูเหมือนจะมีวรยุทธ์กันด้วย แต่ละคนพกกระบี่ ที่มือสวมถุงมือเส้นเงิน” คนกลุ่มนั้นมาหาพวกเขาเพื่อขอซื้อเรือ พวกเขาให้ราคาสูงลิ่ว ด้วยความเกรงใจนางเลยให้พวกเขาอยู่กินข้าวกันมื้อหนึ่ง ตอนพวกเขากินข้าว นางไม่มีอะไรทำเลยคอยสังเกตอยู่พักหนึ่งจึวจำเอกลักษณ์ประจำตัวจุดนี้ได้ “สตรีนางนั้นไม่ได้กินข้าวด้วย ไม่รู้ว่าตายไปแล้วหรือยัง”
คืนนั้นคลื่นลมโหมกระหน่ำ พวกเขารออยู่นอกกระท่อมกันครึ่งคืน สตรีนางนั้นรออยู่ในบ้าน เอาแต่หลับใหล นางลอบจับหน้าอีกฝ่ายดู รู้สึกว่าเย็นจัด ราวกับคนตายไปแล้ว
สตรีกลางคนถอนหายใจ “ตอนหลังพอคลื่นลมสงบ พวกเขาก็ไป ข้าบอกว่าฟ้ามืดขนาดนี้ เดินทางทางน้ำอันตราย ไว้รอให้ฟ้าสว่างก่อนแล้วค่อยไป แต่ดูเหมือนพวกเขาจะรีบร้อนกันมาก เลยไม่ฟังที่ข้าบอก”