หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 192-1 เปิดโปง พิพากษายกตระกูล
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 192-1 เปิดโปง พิพากษายกตระกูล
ตอนที่ 192-1 เปิดโปง พิพากษายกตระกูล
รถม้าของเฉียวเวยจอดหน้าหอหมิงเย่ว์ หอหมิงเย่ว์เรียบง่ายกว่าที่เฉียวเวยจินตนาการเอาไว้อยู่บ้าง นางคิดว่าอย่างน้อยเจ้านายตระกูลจีที่นางล่วงเกินไม่ได้ผู้นั้นก็น่าจะเปิดร้านสุราที่โอ่อ่ากว่านี้หน่อย
“ชั้นแรกไม่ต่างอันใดจากร้านสุราอื่น ลูกค้าล้วนขึ้น…ขึ้นไปชั้นสอง” ผู้ดูแลไช่อธิบายอย่างระมัดระวัง
“เจ้าหมายถึงลูกค้าเที่ยวซ่องน่ะหรือ” เฉียวเวยถาม
ผู้ดูแลไช่เป็นบุรุษยังอดหน้าแดงเล็กน้อยมิได้ สตรีในห้องหอของตระกูลดังคนหนึ่ง เหตุใดจึงมีหน้าเอ่ยคำเช่นนี้ออกมาจากปาก ผู้ดูแลไช่ก้มหน้า “ขอรับ”
เฉียวเวยมองป้ายด้านบน แล้วถามเสียงเรียบ “แม่นางพวกนั้นอยู่ที่ใด เจ้าไปเรียกพวกนางออกมา”
ผู้ดูแลไช่หดคอตอบว่า “ไม่ได้ขอรับ ฮูหยินน้อย ข้า หากข้าทำเช่นนี้แล้วเบื้องบนรู้เข้า คงโบยข้าจนตาย”
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นมิสู้ข้าโบยเจ้าให้ตายตอนนี้เลยดีหรือไม่”
ผู้ดูแลไช่วิ่งฉิวไปทันที
ผู้ดูแลร้านสุรามองอยู่นานกว่าจะจดจำได้ว่านี่คือผู้ดูแลไช่ “เอ๋ เหล่าไช่ เจ้าเป็นอะไร วิวาทกับผู้อื่นมาหรือ”
ผู้ดูแลไช่มองประตูอย่างระแวดระวัง แล้วขยับเข้าไปใกล้เขา “ตระกูลจีส่งคนมาสืบเรื่องหอหมิงเย่ว์ บอกให้ข้าพาแม่นางจากที่นากลับไป เจ้าคิดว่าจะทำเช่นไรดี”
ผู้ดูแลผวาวูบหนึ่ง “เจ้านายคนไหนเล่า”
“ฮูหยินน้อย” ผู้ดูแลไช่ตอบ
ผู้ดูแลหัวเราะประหนึ่งได้ปลดภาระหนักอึ้ง “ฮูหยินน้อย ฮูหยินน้อยมาเจ้าจะกลัวอะไร ฮูหยินของพวกเราเป็นท่านอาของนาง! เจ้าบอกนางแล้วหรือยัง”
ผู้ดูแลไช่ส่ายหน้า “ข้าไม่กล้า”
“ก็ใช่ นายหญิงกำชับไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามิว่าเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามบอกชื่อนางออกมา” ผู้ดูแลพยักหน้า “เอาเช่นนี้ เจ้าไปรออยู่ข้างๆ ข้าจะรับมือนางเอง!”
ผู้ดูแลไช่ลูบใบหน้าที่บวมจนไม่เหมือนกับใบหน้ามนุษย์ แล้วถอยหลังหลบไปพร้อมกับความเจ็บปวด
ผู้ดูแลร้านสุรายิ้มกว้างเดินออกมาจากประตู เมื่อเห็นแม่นางรูปโฉมประหนึ่งเทพธิดานางนั้นก็ตะลึงงันในทันใด ในสมองคิดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่าหากนางเป็นแม่นางในร้านสุรา กิจการต้องดีกว่าตอนนี้สิบเท่าแน่! หลังจากนั้นเขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าแม่นางผู้นี้คือฮูหยินน้อยของตระกูลจี จึงรีบค้อมกายประสานมือกล่าวทักทาย “ข้าน้อยคารวะฮูหยินน้อย”
เดิมทีเฉียวเวยเห็นสีหน้าลามกนั่นของเขาก็อยากจะถีบเขาสักที แต่เห็นเขายังนับว่ารู้จักสถานการณ์จึงรั้งขากลับมา “เจ้าคือผู้ดูแลของที่นี่หรือ”
“ขอรับ ฮูหยินน้อย ข้าน้อยแซ่เฉียน” ผู้ดูแลเฉียนยิ้ม
เฉียวเวยปัดแขนเสื้อกว้างอย่างนิ่งๆ “คิดว่าผู้ดูแลไช่คงบอกผู้ดูแลเฉียนแล้วว่าข้ามาทำสิ่งใด ผู้ดูแลเฉียนจะส่งคนออกมาเองหรือจะให้ข้าเข้าไปเอา”
ผู้ดูเฉียนยิ้มอย่างมีมารยาท “ผู้ดูแลไช่คงเข้าใจผิดอันใดแล้ว แม่นางทั้งหลายของข้าที่นี่ล้วนมาทำงานปัดกวาดรับใช้จิปาถะ ฮูหยินน้อยจะเอาคนจากไปเช่นนี้ ชั่วครู่ชั่วยามข้าหาคนมาทำงานแทนไม่ได้ยังไม่ว่า ครอบครัวของพวกนางก็ขาดช่องทางหาเงินด้วยไม่ใช่หรือ”
“ทำงานปัดกวาดหรือไม่ เรียกคนออกมาก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ” เฉียวเวยพูดพลางก็ก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านใน
ผู้ดูแลเฉียนยื่นมือออกมาขวางนางไว้ น้ำเสียงแฝงแววข่มขู่ “ฮูหยินน้อย อย่าทำให้ข้าน้อยลำบากใจเลย”
ปี้เอ๋อร์ขมวดคิ้ว “เจ้าเป็นตัวอะไร กล้ามาขวางฮูหยินของข้า”
ผู้ดูแลเฉียนไม่แม้แต่จะชายตามองปี้เอ๋อร์ สายตาเย็นยะยือกของเขาจับจ้องบนใบหน้าของเฉียวเวย ในแววตาเต็มไปด้วยความดูแคลน
เฉียวเวยหัวเราะ ผู้ดูแลเฉียนกำลังคิดว่านางคงจะประณีประนอมแล้ว ทว่าทันใดนั้นเฉียวเวยก็คว้าแขนเขาแล้วพลิกมือเหวี่ยง โยนเขาขึ้นบนราวกั้นของชั้นสอง
แม่นางที่กำลังพิงราวกั้นชมเรื่องสนุกอยู่ ร้องว้ายถอยกลับไปตรงมุมกำแพง!
ลูกค้าต่างลุกขึ้นยืนพรึ่บพรั่บ เพิ่งทานอาหารเสร็จก็มีคนก่อเรื่องแล้ว ดีเหลือเกิน! ไม่ต้องจ่ายเงินค่าอาหารแล้ว! บิดาตกใจกลัวขอหนีก่อนล่ะ!
ลูกค้าทั้งหลายวิ่งออกจากร้านสุรา
เฉียวเวยเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่
ลูกจ้างใจกล้ามากพละกำลังสิบกว่าคนพุ่งออกมาจากด้านหลังอาคารอย่างฉับไว ในมือแต่ละคนล้วนถือสิ่งที่ใช้เป็นอาวุธได้ ล้อมเฉียวเวยเอาไว้
เฉียวเวยถอนหายใจอย่างจนปัญญา นางพละกำลังมากปานนี้ หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็…
ผู้ดูแลเฉียนยังไม่ทันเอ่ยปากก็หลับตาสองข้าง ‘หมดสติ’ ไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้ฮูหยินน้อยถูกสั่งสอน เขาย่อมไร้ความผิดเพราะไม่รู้เห็น เขาอยากจะห้ามอยู่นะ แต่น่าเสียดายเขาถูกฮูหยินน้อย ‘โยนจนสลบเหมือด’ แล้วน่ะสิ
อาวุธในมือคนสิบกว่าคนฟาดเข้ามาหาเฉียวเวย
ผู้ดูแลไช่เสแสร้งทำเป็นพูดว่า “อย่าตี อย่าตี นางคือฮูหยินน้อยแห่งตระกูลจี”
แต่ระดับเสียงควบคุมไว้อย่างพอเหมาะพอดี มีแต่ตนเองเท่านั้นที่ได้ยิน
กระบองเหล็กของลูกจ้างคนหนึ่งเหวี่ยงใส่ศีรษะของเฉียวเวย เสี่ยวไป๋ตวัดกรงเล็บข่วนใบหน้าครึ่งซีกจนกลายเป็นร่องๆ ดั่งผืนนาข้าว
เฉียวเวยใช้ขาข้างเดียวเหยียบแล้วสะกิด กระบองเหล็กพลันลอยมาอยู่ในมือ นางกำกระบองเหล็กแน่น หนึ่งกระบวนท่ากวาดขวาง ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! บุรุษฉกรรจ์เจ็ดแปดคนถูกกวาดจนปลิว! คนที่เหลืออยู่เห็นสภาพเช่นนี้ ในใจต่างตกตะลึง เสี่ยวไป๋กางกรงเล็บคมกริบ ตะปบกวาดขวางเลียนแบบเฉียวเวยบ้าง ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ข่วนคนหลายคนจนล้มลงไปกองกับพื้น
ทุกสิ่งเกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ
ลูกจ้างธรรมดาที่คิดจะยกม้านั่งพุ่งเข้ามา หยุดนิ่งอยู่กับที่ประหนึ่งถูกสกัดจุด
เฉียวเวยปัดมือ
ปี้เอ๋อร์ยกเก้าอี้ที่สมบูรณ์ดีตัวหนึ่งเข้ามา สาเหตุที่มันสมบูรณ์ดีก็เพราะว่านางมองการณ์ไกลรู้ว่าฮูหยินของตนคงทำลายที่ตรงนี้จนย่อยยับ พริบตาก่อนการต่อสู้จะเริ่ม นางจึงฉวยเก้าอี้ตัวหนึ่งติดมือมาด้วย
ดูสิ ตอนนี้ได้ใช้แล้วเห็นหรือไม่
เฉียวเวยนั่งลง
เสี่ยวไป๋กระโดดขึ้นมาบนตักของเฉียวเวย
เฉียวเวยหันไปมองผู้ดูแลเฉียนที่เกาะอยู่กับราวกั้น แล้วบอกด้วยท่าทางสบายๆ “ยังจะแสร้งสลบอีกหรือ ผู้ดูแลเฉียน”
…
หอหมิงเย่ว์อยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกล ระยะทางใกล้กว่าเมืองซีหนิวเกือบครึ่ง ออกเดินทางจากตระกูลจี อย่างเร็วที่สุดหนึ่งชั่วยามก็ไปถึง แต่นั่นหมายถึงการขี่ม้า จีซวงนั่งรถม้า ความเร็วย่อมช้าลงมาก ดังนั้นเมื่อนางมาถึงหอหมิงเย่ว์ ‘มหาศึกชิงตัวคน’ ก็ใกล้จะปิดฉากลงแล้ว
ลูกค้าทั้งหลายตกใจกลัวหนีไปจนหมด ภายในร้านสุราข้าวของระเนระนาด เศษไม้จากโต๊ะ เก้าอี้ และม้านั่งปะปนอยู่กับไหสุราที่แตกกระจาย หล่นเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น ยอดฝีมือที่บาดเจ็บหลายคนตัวสั่นเทาได้สหายคอยประคองอยู่ตรงมุมกำแพง บนหน้าของทุกคนมีสีหน้าหวาดผวาประหนึ่งพบภูตผี
เฉียวเวยนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่สมบูรณ์ดี บนตักมีสุนัขสีขาวตัวน้อยที่ดุร้ายอย่างยิ่งตัวนั้นนอนหมอบอยู่ อาภรณ์สีแดงดุจเปลวเพลิง งดงามหยาดเยิ้มชวนหวั่นไหว มือเรียวงามทั้งสองข้างลูบหัวของสุนัขตัวน้อยอย่างอ่อนโยน
ทั้งร้านสุราเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
ผู้ใดจะคิดว่าสตรีผู้ดูอ่อนโยนเช่นนี้ เมื่อหนึ่งเค่อก่อนหน้ากลับพาสุนัขน้อยสีขาวตัวหนึ่งล้มยอดฝีมือของหอหมิงเย่ว์ทั้งหมดจนหมอบกระแต
นางเป็นตัวประหลาดอะไรกันแน่ น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ผู้ดูแลไช่พาแม่นางที่ร้องไห้กระซิกแปดคนเดินลงมาจากชั้นสอง แม่นางทั้งหลายแต่ละคนแต่งตัวงดงามเฉิดฉาย แต่น่าจะถูกศึกหนนี้ทำให้ขวัญผวา สีหน้าจึงหวาดกลัวกลายเป็นดอกสาลี่เปียนฝน เกาะกลุ่มกันเป็นก้อน
ผู้ดูแลไช่ก้าวเข้ามาคำนับ “ฮูหยินน้อย”
เฉียวเวยกวาดสายตามองแม่นางทั้งหลาย “เท่านี้หรือ”
ผู้ดูแลไช่ตอบเสียงสั่นเทา “คนที่มาจากที่นามีเพียงเท่านี้ อีกสองสามคนมาจากที่อื่นแต่ล้วนสมัครใจมา”
เรื่องนี้ไม่ใช่คำโป้ปดของผู้ดูแลไช่ กิจการเช่นนี้แต่เดิมก็ไม่สง่าผ่าเผย อีกทั้งจีซวงแอบทำลับหลังตระกูลจี พวกเขาย่อมหวังว่ายิ่งรอบคอบยิ่งดี หญิงสาวจากที่นาล้วนมีบิดามารดาอยู่ในกำมือของผู้ดูแลไช่ พวกเขาย่อมไม่กลัวพวกนางก่อความวุ่นวาย แต่หญิงสาวจากข้างนอกต้องระมัดระวังสักหน่อย ต้องไม่รับพวกที่ไม่สมัครใจ เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นกระต่ายจนตรอกแว้งกัดเจ้าของ หากเป็นเช่นนั้นย่อมยุ่งยาก
ผู้ดูแลไช่เป็นเพียงบ่าวผู้ถูกผลประโยชน์มอมเมาจิตใจคนหนึ่ง เขามิใช่ทหารกล้าที่ถูกฝึกฝนผ่านศึกนับร้อยอะไรเสียหน่อย มาถึงเวลานี้แล้ว เขาย่อมไม่กล้าปิดบังอีกต่อไป
เฉียวเวยมองเขาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเป็นผู้ดูแลของตระกูลจี สมควรเข้าใจว่ากิจการเช่นนี้ ตระกูลจีไม่ยอมรับ เจ้าไม่รู้จักห้ามเจ้านาย กลับช่วยส่งเสริมคนชั่วทำผิด เจ้าไม่ต้องไปที่ใดแล้ว ตามข้ากลับตระกูลจี”
ผู้ดูแลไช่โขกศีรษะอ้อนวอน “ฮูหยินน้อยไว้ชีวิตด้วย! บ่าวไม่กล้าอีกแล้ว! ฮูหยินน้อยปล่อยบ่าวไปเถิด! นับจากวันนี้บ่าวจะทำงานอย่างใสสะอาด! ไม่ทำเรื่องสกปรกที่เผยให้คนเห็นมิได้เช่นนี้อีกแล้ว!”
เฉียวเวยครุ่นคิด “ถ้าเช่นนั้นก็ได้ เจ้ากลับไปก่อนเถิด”
ผู้ดูแลไช่ยินดีปรีดาในทันใด
แต่แล้วเฉียวเวยก็เอ่ยต่อว่า “ส่งแม่นางเหล่านี้กลับไปยังที่นาก่อน หลังจากนั้นค่อยมารายงานตัวที่ตระกูลจี”
ไปตระกูลจียังมีทางรอดอยู่อีกหรือ เขาอยากหนีต่างหาก!
ผู้ดูแลไช่ยังอยากจะขอความเมตตาต่อ แต่เฉียวเวยโบกมือ ปี้เอ๋อร์จึง ‘เชิญ’ เขาออกไป
ปี้เอ๋อร์เตรียมจะพาแม่นางทั้งหลายไปขึ้นรถ ทันใดนั้นรถม้าคันหนึ่งก็จอดหน้าหอหมิงเย่ว์ จีซวงก้าวลงมาจากรถม้าพร้อมกับสีหน้าเย็นชา จากนั้นเดินเข้ามาในหอหมิงเย่ว์อย่างเกรี้ยวกราด “ข้าอยากดูซิว่าผู้ใดกล้าไป!”
นางพูดจบ ก็เห็นว่าร้านสุราของตนถูกคนทำลายจนราบเป็นหน้ากลอง เพลิงโทสะในหัวใจยิ่งแผดเผา “ผู้ใดทำ!”
เพิ่งเอ่ยจบ สายตาของนางก็ถูกดึงไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่กลางห้องโถงใหญ่อย่างไม่ได้ตั้งใจ อาภรณ์สีแดง สว่างไสวดุจเปลวเพลิง สีสันเช่นนี้ มีน้อยคนนักที่จะสวมแล้วไม่ถูกข่ม แต่สตรีนางนี้สวมใส่แล้วกลับงดงามยิ่งนัก ทั้งห้องโถงใหญ่ราวกับสว่างไสวขึ้นมาหลายส่วน
ทว่าเมื่อสายตาของจีซวงจับบนใบหน้าของอีกฝ่าย ม่านตาก็หดเล็กลงในทันใด “เฉียวซื่อ?”
โอ๊ะ พอถึงช่วงเวลาสำคัญ คำเรียกขานก็เปลี่ยนเสียแล้ว
เฉียวเวยหันไปมองจีซวงอย่างแช่มช้า แล้วคลี่ยิ้มน้อยๆ สีหน้าสุขุม “ข้าเอง ฟ้ามืดเช่นนี้แล้ว ท่านอาเหตุไฉนจึงมาเมืองหลิ่ว ต่อให้ร่างกายของท่านอาแข็งแรงดีอีกเท่าใด ในท้องก็มีอีกคนหนึ่งอยู่ ไม่กลัวเหน็ดเหนื่อยถึงเขาหรือไร”
แววตาของจีซวงเย็นยะเยือก “เจ้าพังหอหมิงเย่ว์ของข้าหรือ”
ผู้ดูแลไช่กับผู้ดูแลร้านสุราเหมือนเห็นผู้ช่วยชีวิต ถลาเข้าไปแทบเท้า “ฮูหยิน! ท่านต้องทวงความเป็นธรรมให้พวกเรานะขอรับ!”
จีซวงมองใบหน้าของผู้ดูแลไช่ที่บวนจนเหมือนหัวหมูอย่างเย็นชา คิ้วเรียวดั่งกิ่งหลิวขมวดมุ่น “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ผู้ดูแลไช่รีบเล่าเรื่องราวที่ตนต้อนรับเฉียวเวยในที่นา แต่กลับถูกเฉียวเวยกับสุนัขตัวโปรดของนางซ้อมอย่างเหิมเกริม แล้วใส่สีตีไข่ลงไปเพิ่ม ข้ามเรื่องที่ตนใช้ผักดองมาต้อนรับเฉียวเวย รวมถึงเรื่องที่สารภาพกับเฉียวเวยไปเสีย เหตุใดต้องข้าม ย่อมเป็นเพราะกลัวว่าจีซวงจะคิดว่าตนโดนลงไม้ลงมือเล็กน้อยก็ทนไม่ได้มาหักหลังนาง แม้ว่านั่นจะเป็นความจริงก็ตาม
ผู้ดูแลไช่ร้องไห้โฮเสียงดังลั่น “…ไม่รู้ว่านางได้ข่าวมาจากที่ใด บอกว่าหญิงสาวในเขตที่นาของพวกเราถูกขายมาอยู่ในหอหมิงเย่ว์ ข้าบอกนางแล้วแท้ๆ ว่าหญิงสาวพวกนั้นเต็มใจ นางกลับยังจะมาเอาคนไปให้ได้…”
จิ๊ๆ ตลบตะแลงเก่งเช่นนี้ ไม่ไปทำแชร์ลูกโซ่ช่างน่าเสียดาย
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ หันไปมองผู้ดูแลไช่ รวมถึงจีซวงที่อยู่หน้าผู้ดูแลไช่ จีซวงเชื่อคำพูดของผู้ดูแลไช่อย่างไม่สงสัยสักนิด ใบหน้าของนางดำทะมึนทันที เฉียวเวยไม่คิดจะอธิบาย มันก็แน่อยู่แล้ว คนหนึ่งเป็นผู้ดูแลที่ไว้ใจ อีกคนหนึ่งเป็นหลานสะใภ้ที่ไม่สนิทสนมกันนักคนหนึ่ง ถึงตามหลักแล้วสมควรจะช่วยคนในครอบครัว แต่ตนเป็นคนมาทำลายกิจการของนาง ล่วงรู้ความลับของนาง ดูจากท่าทีที่นางมีต่อสวินหลัน ก็มองออกแล้วว่านางไม่ใช่คนใจกว้างนัก ถ้าเช่นนั้นเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าแม้ตนจะมีเหตุผล นางก็จะไม่ ‘อภัย’ ให้
ไม่ผิดจากที่คาด จีซวงฟังผู้ดูแลไช่ ‘รายงาน’ จบก็เดินเข้าไปหาเฉียวเวยอย่างเย็นชา ไม่พูดพร่ำคำใดก็ยกมือขึ้นตบเฉียวเวยหนึ่งฉาด!
เฉียวเวยคว้าข้อมือนางไว้ได้อย่างสบายๆ
ข้อมือของนางเจ็บแปลบ นางอยากจะดิ้นให้หลุด แต่กลับเหมือนถูกคีบเหล็กหนีบเอาไว้
นางตวาด “เจ้าบังอาจกับผู้อาวุโสหรือ!”
เฉียวเวยเหยียดยิ้มจางๆ “ข้าได้ยินมาว่าท่านอาแต่งงานกับท่านอาเขยมาหลายปีแล้ว มีหว่านอวี๋เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว ตอนนี้ลำบากนักกว่าจะตั้งครรภ์ขึ้นมาอีกหน หากข้าเป็นท่านอา คงจะสงบใจนั่งบำรุงครรภ์อยู่ในบ้าน ไม่มาให้ผู้อื่นหลอกใช้เป็นอาวุธ เสียทั้งคนเสียทั้งเงิน!”
จีซวงหน้าถมึงทึง “เจ้ากล้าสั่งสอนข้าหรือ ข้าเป็นอาของเจ้านะ!”
เฉียวเวยตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ก็เพราะเห็นท่านเป็นอา จึงกล่าวสิ่งเหล่านี้กับท่านอย่างจริงใจ มิเช่นนั้นไยข้าต้องสนใจความเป็นความตายของท่านอาเล่า ท่านอาอุ้มท้องบุตรอยู่ ส่วนข้าเปล่า! ต่อให้ข้านั่งรถม้าโคลงเคลงจนอาเจียน นั่นก็เป็นเรื่องของข้าเพียงคเนดียว แต่ท่านอาเคยคิดหรือไม่ว่าท่านรีบร้อนเดินทางมาเช่นนี้ หากระหว่างทางเกิดผิดพลาดอันใดขึ้นมา ลูกในท้องของท่านยังจะรักษาไว้ได้หรือไม่! ท่านอาอายุไม่น้อยแล้ว คงไม่ไร้เดียงสาจนคิดว่าร่างกายของตนแข็งแรงเท่าหญิงสาวแรกรุ่นเหล่านั้นกระมัง”
“เจ้าแช่งลูกของข้า!” จีซวงโกรธกว่าเดิม เงื้อมืออีกข้างหนึ่งจะตบเฉียวเวย
เฉียวเวยจับนางไว้โดยไม่เปลืองแรงเป่าฝุ่นเช่นเดิม ท่านอาโง่เขลาผู้นี้สมควรดีใจจริงๆ ที่ตนเองเป็นสตรีมีครรภ์คนหนึ่ง มิเช่นนั้นนางตั้งใจจะตบหน้าเฉียวเวยครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ เฉียวเวยคงเหวี่ยงนางออกไปจากตรงนี้อย่างไร้เมตตาแล้ว!
นางไม่สนว่าเป็นอาเป็นอาสะใภ้อะไรทั้งสิ้น ในสายตาของนางมีเพียงคนผ่านทาง สหายและศัตรู ตอนเหล่าฮูหยินล่วงเกินนาง นางยังไม่เคยยั้งมือไว้ไมตรี แค่ท่านอาไม่รู้ความคนหนึ่ง คิดว่านางกลัวเกรงจริงหรือ
น่าขำ
“เจ้าปล่อยข้า!” จีซวงตวาดอย่างเกรี้ยวกราด
ผู้ดูแลไช่ที่อยู่ด้านข้างตกใจจนนิ่งค้างไปนานแล้ว นี่บุตรสาวคนโตสายตรงของตระกูลจีเชียวนะ น้องสาวแท้ๆ ของนายท่านจี ญาติผู้ใหญ่สายตรงของนายน้อย ฮูหยินน้อยกินดีหมีหัวใจเสือมาหรือถึงกล้าไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาเช่นนี้!
ตน ตน เมื่อครู่…ทำผิดไปหรือไม่…
เฉียวเวยยิ้ม “ท่านอายังไม่เข้าใจอีกหรือว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะอธิบายให้ท่านอาฟัง ท่านอาจะได้เข้าใจเรื่องสำคัญ ไม่ต้องโง่เขลากลายเป็นดาบในมือผู้อื่นอีก”
จีซวงไม่ฟังนางแม้แต่นิดเดียว จีซวงเกลียดชังนางยิ่งนัก อีกฝ่ายมาพังร้านสุราของนาง ทำลายกิจการของนาง แล้วยังจับข้อมือนางไว้ไม่ปล่อย ทำให้นางอับอายต่อหน้าบ่าวรับใช้มากมายเช่นนี้ “พวกเจ้าตายกันหมดแล้วหรือไร รีบมาจับตัวนางไว้สิ!”
ผู้คุ้มกันนอกประตูได้ยินคำสั่งของนายก็ขานรับแล้วแห่กันเข้ามา
เสี่ยวไป๋หรี่ตาลงดูท่าทางอันตราย มันกระโดดขึ้นมาตวัดกรงเล็บข่วนผู้คุ้มกันคนหนึ่งล้ม ผู้คุ้มกันคนนั้นหมุนหนึ่งตลบกลางอากาศก่อนจะหล่นไปชนโต๊ะตัวหนึ่ง โต๊ะแหลกเป็นชิ้นๆ
คนที่เหลือเห็นเช่นนี้ก็ตกใจจนหยุดเท้า
เสี่ยวไป๋จับจ้องคนทั้งหลายอย่างดุร้าย ปากสีแดงสดคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว (น่ารักน่าชัง)
ทุกคนตาโตอ้าปากค้าง
เฉียวเวยเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอา เมื่อครู่ผู้ดูแลไช่บอกว่า ไม่รู้ข้าได้ข่าวมาจากที่ใด จึงทราบว่าหอหมิงเย่ว์ทำกิจการที่สู้หน้าผู้คนไม่ได้”
ผู้ดูแลไช่ร้องในใจว่าแย่แล้ว ข้าผิดไปแล้วๆ ข้าจะไม่โกหกอีกแล้ว ตอนนี้ข้าจะยอมรับว่าข้าเป็นคนปูดเรื่องหอหมิงเย่ว์ออกมาเอง!
เฉียวเวยยิ้มเยาะ “ท่านอาอยากทราบหรือไม่ว่าผู้ใดบอกข่าวนี้แก่ข้า”
ผู้ดูแลไช่ หืม!
“ผู้ใด” จีซวงถามเสียงเย็นชา
เฉียวเวยยิ้มจางๆ “ผู้ใดส่งข้ามาเก็บค่าเช่า ท่านอาก็ลองคิดดูเองแล้วกัน”
จีซวงย่อมไม่รู้เรื่องที่สวินหลันหมดสติในเรือนลั่วเหมย รวมถึงเรื่องที่เฉียวเจิงมารักษาสวินหลันถึงบ้าน แต่นางได้ยินข่าวมาว่าเหล่าไท่ไท่ให้เฉียวเวยช่วยจัดการงานแทนสวินหลัน หรือว่าสวินหลันจะส่งภรรยาของหมิงซิวมา
เฉียวเวยเอ่ยต่อ “ท่านอาเป็นคนฉลาด คิดว่าคงเดาออกแล้ว”
สีหน้าของจีซวงเปลี่ยนไปทันควัน “เหตุใดนางจึงทำเช่นนี้”
เฉียวเวยถอนหายใจ “เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้แล้ว ท่านอายังจะถามเรื่องที่เห็นชัดเจนเช่นนี้อีกหรือ ผู้ใดเคยเอาไข่เยี่ยวม้าของข้าไปเหยียบย่ำภาพอักษรของนาง ผู้ใดบอกว่านางมีดีแต่เปลือก ฝีมือดีสู้ข้าไม่ได้ ท่านอาล่วงเกินนางเองยังไม่พอ ยังทำให้ข้าล่วงเกินนางไปด้วย นางจะยุแยงท่านอากับข้าให้แตกคอกันเช่นนี้ก็ไม่แปลกกระมัง”