หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 200-1 โชคดีอย่างน่าอัศจรรย์ เพียงพอนเมฆายอมรับเจ้านาย
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 200-1 โชคดีอย่างน่าอัศจรรย์ เพียงพอนเมฆายอมรับเจ้านาย
ตอนที่ 200-1 โชคดีอย่างน่าอัศจรรย์ เพียงพอนเมฆายอมรับเจ้านาย
ดวงตะวันยามเหมันต์อุ่นกำลังดี
กุ้ยเฟยกับภริยาขุนนางทั้งหลายนั่งอาบแดดอยู่บนปะรำพิธีอย่างเกียจคร้านจนเริ่มง่วงงุนเล็กน้อย
นางกำนัลยกชาบุปผาถ้วยหนึ่งมาถวาย “พระสนม”
กุ้ยเฟยขยี้ตา หันไปมองฮ่องเต้ที่อยู่ด้านข้าง ฮ่องเต้กำลังเดินหมากกับทูตจากหนานฉู่คนหนึ่งอยู่ ท่าทางจดจ่อยิ่งนัก จานผลไม้บนโต๊ะไม่ถูกแตะต้อง มีแต่ขนมน้อยลงสองชิ้น
กุ้ยเฟยสั่งเสียงเบา “ไปยกขนมมาเพิ่มอีกสักหน่อย”
“เพคะ”
นางกำนัลรีบส่งขันทีฝีเท้าไวไปยกขนมรูปดอกไม้สีสวยคล้ายหยกมันแพะที่เพิ่งออกจากเตาสดๆ ร้อนๆ มาจากห้องเครื่องหลวง
นางกำนัลยกมาวางโต๊ะละหนึ่งจาน
จีซวงหยิบขึ้นมาลองดมหนึ่งชิ้น “หอมนักเชียว นี่คือขนมอะไร ข้าเหมือนจะไม่เคยทานมาก่อน”
กุ้ยเฟยสรวลตอบว่า “นี่คือขนมไข่ปู ใช้ปูทะเลที่ส่งมาจากหนานฉู่ปรุง เจ้าตั้งครรภ์อยู่อย่ากินเลย”
ปูเป็นของเย็น จีซวงทราบดีจึงรีบคายหนึ่งคำที่กัดเข้าปากไปแล้วออกมา
นางกำนัลยกมาให้หลีซื่อ นางลูบท้องที่ปวดอยู่เล็กน้อยเพราะระดูมาแล้วบอกว่า “ข้าก็อาจจะตั้งครรภ์เช่นกัน กินไม่ได้”
สวินหลันหยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้น ลองชิมคำเล็กๆ “สดใหม่ทีเดียว” หันไปมองจีหว่าน “อยากชิมหน่อยหรือไม่”
ตลอดทั้งเช้าจีหว่านได้กลิ่นอะไรก็รู้สึกไม่ดีไปหมด มีก็แต่ขนมไข่ปูกลิ่นหอมอ่อนๆ นี่ที่ทำให้น้ำลายสอได้อยู่บ้าง นางหยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้น กำลังจะกิน แต่แล้วก็เห็นก้อนสีขาวก้อนหนึ่งวิ่งฉิวเข้ามาหา แล้วนั่งจุ้มปุ้กแทบเท้านาง เงยหัวเล็กๆ ขึ้นมองนางตาวาว
“เจ้ามาได้อย่างไร” จีหว่านอุ้มเสี่ยวไป๋มาไว้บนตัก จากนั้นก็เห็นเสี่ยวไป๋มองขนมของตนเอง น้ำลายยืด “ให้เจ้า”
กรงเล็บเล็กๆ ของเสี่ยวไป๋คว้าขนมมาเคี้ยวกร้วมๆ
จีหว่านหยิบขึ้นมาอีกหนึ่งชิ้น เสี่ยวไป๋กินหมดก็มองนางตาวาวอีก
จีหว่าน “ให้เจ้า”
เสี่ยวไป๋กินจนหมดอีก
ยังเหลือหนึ่งชิ้นสุดท้าย เสี่ยวไป๋มองจีหว่านอย่างไร้เดียงสา น่ารักมากอย่างยิ่ง!
จีหว่าหมดหนทาง “ให้เจ้า”
เสี่ยวไป๋กินอย่างเบิกบานใจยิ่งนัก!
…
รัชทายาทไม่เป็นอะไรมาก เขาเพียงสัปหงกบนหลังม้า ไม่ทันระวังจึงร่วงลงมา แล้วบังเอิญร่วงลงไปบนร่างขันทีผู้จูงม้าอยู่พอดี ทั้งสองคนจึงล้มลงไปกองกับพื้นด้วยกัน ขันทีเป็นผู้รับแรงกระแทกส่วนใหญ่ รัชทายาทมีเพียงรอยขีดข่วนเล็กน้อย
เฉียวเวยทำแผลให้รัชทายาทอย่างง่ายๆ รัชทายาทยกมือที่พันผ้าพันแผลขึ้นมาแล้วพลิกกายขึ้นหลังม้า ล่าสัตว์ต่อ
เฉียวเวยเก็บ ‘กระเป๋าปฐมพยาบาล’ ที่พกติดตัวจนเรียบร้อย ผูกปมเป็นรูปผีเสื้ออย่างงดงามถี่ถ้วน
จีหมิงซิวกวาดสายตามองแล้วเอ่ยเรียบๆ “เจ้าออกจากบ้านก็พกของพวกนี้มาด้วยหรือ”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว ยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “สำหรับคนที่ถูกตามฆ่าเฉลี่ยเดือนละหนึ่งหน ใช่แล้ว ออกจากบ้านข้าต้องเตรียมยาให้พร้อม!” นางชะงักนิดหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ข้ายังไม่อยากเชื่อเลยว่าแม่ทัพน้อยอะไรนั่นจะมาไล่ฆ่าข้า! เขาตั้งใจเดินทางมาแก้แค้นให้น้องสาวของเขาโดยเฉพาะใช่หรือไม่”
จีหมิงซิวทัดจอนผมของนางขึ้นไปหลังใบหู “ไม่ถึงขนาดนั้น”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “จวนเทพสงคราม ชื่อฟังดูไฮโซเชียวนะ”
“ไฮโซคือสิ่งใด” มีคำที่จีหมิงซิวไม่เคยได้ยินโผล่มาอีกคำแล้ว
เฉียวเวยยิ้ม “หมายความว่าฟังดูสุดยอดมาก ระหว่างพวกเขากับจวนแม่ทัพตัวหลัว ผู้ใดร้ายกาจกว่ากัน”
จีหมิงซิวยิ้มน้อยๆ ตาม “หากพูดถึงรากฐาน ย่อมเป็นตระกูลตัวหลัว ตระกูลตัวหลัวเป็นตระกูลขุนนางตำแหน่งสูงที่สืบทอดมาหลายร้อยปี มีความดีความชอบในสงครามโดดเด่น รากฐานมั่นคง ตระกูลมู่เพิ่งเริ่มจะมีชื่อเสียงจากแม่ทัพมู่รุ่นนี้”
เฉียวเวยลูบคาง “ถ้าเช่นนั้นก็เป็นเพียงเศรษฐีใหม่คนหนึ่งน่ะสิ”
จีหมิงซิวขบขันกับคำว่าเศรษฐีใหม่ หากตระกูลมู่ทราบว่าในสายตาของสาวน้อยคนหนึ่งประวัติศาสตร์จุดเริ่มต้นความรุ่งเรืองของพวกเขากลับถูกมองเป็นเพียงการถือกำเนิดเศรษฐีหน้าใหม่ พวกเขาคงจะ…โกรธจนกระอักเลือด “ท่านย่าของแม่ทัพน้อยมู่เคยดูแลศิษย์ของชนเผ่าลึกลับคนหนึ่ง ศิษย์คนนั้นมอบตำราพิชัยสงครามเล่มหนึ่งให้นาง แม่ทัพมู่อาศัยตำราเล่มนี้สร้างชื่อเสียง ภายในเวลาไม่กี่ปีก็กลายเป็นเทพสงครามแห่งหนานฉู่”
เฉียวเวยตอบว่า “ว้าว ร้ายกาจปานนี้! ข้าหมายถึงศิษย์คนนั้น”
จีหมิงซิวสีหน้าเรียบเฉย “มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ ดังนั้นแม่ทัพน้อยมู่เดินทางมาหนนี้จึงบอกว่าตนเคยไปเยือนชนเผ่าลึกลับ แล้วยังนำเพียงพอนเมฆาตัวหนึ่งกลับมาจากชนเผ่าลึกลับด้วย แม้แต่ฝ่าบาทยังตกใจแทบแย่”
เฉียวเวยครุ่นคิด “ฝ่าบาทกลัวหนานฉู่ได้รับการสนับสนุนจากชนเผ่าลึกลับ แล้วก้าวขึ้นมาเป็นแคว้นที่แข็งแกร่งที่สุด หลังจากนั้นกลืนกินต้าเหลียงเช่นนั้นหรือ” เฉียวเวยลูบคาง “ชนเผ่าลึกลับร้ายกาจปานนั้นเชียว”
จีหมิงซิวตอบเรียบๆ “ไม่รู้สิ บางทีอาจถูกผู้คนกล่าวเกินจริง แต่ขอเพียงมีคนเชื่อย่อมทำลายขวัญกำลังใจของทหารได้”
“นั่นก็ใช่ ขวัญกำลังใจของทหารสำคัญทีเดียว” เฉียวเวยนึกถึงบุรุษที่ไม่พูดพร่ำสักคำก็ง้างคันศรจะยิงนางผู้นั้น ริมฝีปากน้อยเบ้ออก “เขาเคยไปชนเผ่าลึกลับจริงหรือ”
“หลอกลวงผู้อื่นทั้งนั้น” จีหมิงซิวตอบ
“หืม” เฉียวเวยงุนงง
แม้จีหมิงซิวไม่มีหลักฐาน แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่า แม่ทัพน้อยมู่กำลังโกหก “เพียงพอนเมฆาตัวนั้นอาจเป็นสัตว์ของชนเผ่าลึกลับจริง แต่ไม่มีทางเป็นตัวเขาไปนำมาเองแน่”
เฉียวเวยว่าอย่างรังเกียจ “พวกต้มตุ๋นหรอกหรือนี่ เจ้าหมอนั่นช่างเจ้าเล่ห์นัก!”
จะเป็นแม่ทัพน้อยมู่หรือหนานฉู่ที่เป็นฝ่ายหลอกลวงยังไม่รู้แน่ชัด ทันใดนั้นแววตาของจีหมิงซิวก็วูบไหว หันไปมองทิศทางที่เดินมา
เฉียวเวยถามอย่างฉงน “อะไรหรือ ท่านกำลังมองสิ่งใด”
จีหมิงซิวอุ้มเฉียวเวยขึ้นม้า ตนเองก็ขึ้นม้าด้วย จากนั้นจับสายบังเหียนม้าของนางมาไว้ในมือ “ไม่มีอันใด ไปล่าสัตว์กันเถิด”
ทั้งสองคนขี่ม้าออกไปจากที่ตรงนั้น
บุรุษอาภรณ์สีดำก้าวออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ มุมปากยกโค้งนิดๆ “ถูกพบเสียแล้ว ไม่เสียทีเป็นนายน้อยแห่งตระกูลจี”
…
ลึกเข้าไปในพงไพร เพียงพอนเมฆาถูกผู้คนล้อมอยู่ เจาอ๋อง ยิ่นอ๋อง แม่ทัพแห่งต้าเหลียงและทูตจากหนานฉู่ล้วนง้างคันศรของแต่ละคน ลูกศรมากมายพุ่งออกมาเสมือนกระบวนทัพทหาร โจมตีมืดฟ้ามัวดินเข้าใส่เพียงพอนเมฆาที่อยู่ตรงกลาง
หากเปลี่ยนเป็นเพียงพอนตัวอื่น มันคงถูกยิงจนพรุนนานแล้ว ทว่าเพียงพอนเมฆากลับวิ่งทะลุกลางห่าลูกศรอย่างฉับไวประหนึ่งเงาภูตพราย
เจาอ๋องเล็งไปที่เพียงพอนเมฆา ทันใดนั้นขาหลังของเพียงพอนเมฆาก็ถีบอย่างแรงหนึ่งหน กระโจนปานสายฟ้าแลบเข้าใส่รัชทายาทที่กำลังควบอาชาเข้ามา ลูกศรดอกนั้นของเจาอ๋องเรียกกลับคืนมาไม่ทันแล้ว พริบตาที่มันพุ่งออกไป เขาจึงเพิ่งเห็นรัชทายาท เขาตกใจจนตาแทบจะโปนถลนออกมา
คนที่ทราบคงพูดว่าเขากำลังยิงเพียงพอน แต่คนที่ไม่ทราบย่อมคิดว่าเขาลอบสังหารรัชทายาท!
รัชทายาทอ้าปากหาว ลูกศรพุ่งผ่านข้างหูของเขาไป สายลมจากลูกศรพัดเส้นผมยาวของเขาให้สะบัดตามสายลม หัวใจของเจาอ๋องเต้นระทึก พลิกกายลงจากอาชาวิ่งเข้าไปหา “น้องแปด เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
รัชทายาทไม่สนใจสักนิด “ข้าไม่เป็นอะไร พี่ห้าล่าเพียงพอนได้แล้วหรือยัง”
เจาอ๋องถอนหายใจตอบว่า “ยัง เพียงพอนตัวนั้นเจ้าเล่ห์จจริงๆ ใกล้จะยิงถูกมันทีไร มันก็วิ่งหนีได้เสียทุกครั้ง”
เพียงพอนเมฆาไม่ได้หนีไปไกล แต่เดิมมันก็ถูกบีบอยู่ในวงล้อม ไม่ทันไรจึงถูกต้อนกลับมาอีกครั้ง แม้มันจะเป็นเพียงพอนที่มีพละกำลังมหาศาลตัวหนึ่ง ทว่าผู้ที่ล้อมวงเข้ามาล่าก็ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือผู้มีความสามารถมากล้นเช่นเดียวกัน
ลูกศรอีกดอกหนึ่งแล่นเข้ามาหาเพียงพอนเมฆา เพียงพอนเมฆาทะยานร่างหลบสำเร็จ ต่อจากนั้น ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ลูกศรหลายดอกก็แล่นเข้ามาดุจสายลม ดาหน้าเข้ามาหาเพียงพอนเมฆา ทว่าเพียงพอนเมฆากลับเบี่ยงตัวอย่างฉับพลัน ลูกศรดอกหนึ่งจึงยิงไปถูกเจาอ๋องที่อยู่ด้านหลังของมัน!
หัวไหล่ของเจาอ๋องต้องลูกศร เลือดทะลักออกมาในพริบตา
เขากุมหัวไหล่ อยากผรุสวาทด่าว่าผู้ใดเป็นคนทำ แต่แล้วก็มีลูกศรแล่นมาอีกดอก!
เจ้าเพียงพอนเจ้าเล่ห์ตัวนี้!
มันจงใจล่อลูกศรมา!
เจาอ๋องข่มกลั้นความเจ็บปวด ง้างคันศรเล็งไปยังเพียงพอนเมฆา จากนั้นยิงลูกศรออกไปสุดแรง!
ทว่าเพียงพอนเมฆาก็หลบได้อีกหน ลูกศรพุ่งไปปักบนร่างทูตจากหนานฉู่คนหนึ่ง
เจาอ๋องเริ่มคิดอยากตายแล้ว!
เจ้าเดรัจฉานน้อย ไม่ฆ่าเจ้าให้ตาย ข้าจะไม่ขอใช้แซ่หลี่อีก!
เจาอ๋องพาดลูกศรขึ้นสาย ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ลูกศรสามดอกยิงออกมาพร้อมกัน ทูตจากหนานฉู่อีกสามคนต้องลูกศร
เจาอ๋องโกรธแทบตายแล้ว เขาง้างคันศรอีกหน แต่ถูกลูกศรของยิ่นอ๋องยิงคันศรของเขาตกไปเสียก่อน!
ยิ่นอ๋องห้ามเสียงเย็นชา “ยังจะก่อความวุ่นวายอีกหรือ”
เจาอ๋องขมวดคิ้วทอดสายตามอง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่บนพื้นมีคนนอนอยู่เกลื่อนกลาด มีทั้งทูตจากหนานฉู่ มีทั้งแม่ทัพของต้าเหลียง ในใจเจาอ๋องขนลุกซู่ คนพวกนี้…คงไม่…คงไม่ได้ถูกเขายิงหรอกกระมัง…
ยิ่นอ๋องไม่อยากจะสนใจเสด็จพี่โง่เขลาคนนี้แล้ว โอ้อวดว่าตนเองเป็นเทพแห่งการยิงธนู แต่สุดท้ายกลับยิงลูกศรมั่วซั่วเช่นนี้ ทำให้ต้าเหลียงอับอายขายหน้าหมดสิ้น!
กลุ่มนักล่าทยอยตามไล่ล่าเพียงพอนเมฆา
นับจากเข้าสู่สนามล่าสัตว์จนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปครึ่งชั่วยามกว่าแล้ว เพียงพอนเมฆาตัวนี้วิ่งหนีสุดชีวิตอยู่ตลอดเวลา พละกำลังมหาศาลของมันทำให้คนประหลาดใจนัก ทุกคนจึงยิ่งมุ่งมั่นที่จะคว้ามันมาครอบครอง
สิ่งที่ทุกคนไม่ทราบก็คือ ความจริงพละกำลังของเพียงพอนเมฆาถูกเผาผลาญไปมากพอสมควรแล้ว แต่พวกมนุษย์น่าชังกลุ่มนี้ไม่ยอมปล่อยมันเสียที มันไร้ทางเลือกจึงต้องเค้นกำลังเฮือกสุดท้าย วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
“ดูเร็ว! มันไปทางนั้นแล้ว!” ทูตจากหนานฉู่คนหนึ่งชี้เงาสีขาว
ทุกคนง้างคันศรยิงเพียงพอนเมฆา