หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 213-1 ต้าไป๋ผู้เก่งกาจห้าวหาญ รักษาอาการบาดเจ็บ
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 213-1 ต้าไป๋ผู้เก่งกาจห้าวหาญ รักษาอาการบาดเจ็บ
ตอนที่ 213-1 ต้าไป๋ผู้เก่งกาจห้าวหาญ รักษาอาการบาดเจ็บ
ทานอาหารที่บ้าป้าหลัวเสร็จแล้ว เฉียวเวยกับปี้เอ๋อร์ก็พาเจ้าซาลาเปาน้อยขึ้นเขา รถม้าแล่นต่อไปไม่ได้ จึงจอดอยู่ที่ลานบ้านของตระกูลหลัว สารถีตามเฉียวเวยขึ้นเขามาพักบนเรือนหลังน้อยชั่วคราว
พอขึ้นไปบนเขา อากาศก็ยิ่งเย็นและยิ่งชื้น ลมเหนือพัดเสียงดังหวีดหวิว
ชีเหนียงดีใจยิ่งนัก นางช่วยเฉียวเวยหิ้วของเข้ามาในคฤหาสน์ “ข้าคาดว่าท่านคงใกล้จะกลับมาแล้ว แต่วันนี้หนาวเช่นนี้ จึงคิดไม่ถึงว่าท่านจะมาวันนี้”
เฉียวเวยยิ้ม “วันนี้เป็นวันเกิดแม่บุญธรรมของข้า”
“อ้อ” ชีเหนียงคิดไม่ถึง “เหตุใดป้าหลัวไม่บอกกันบ้าง”
เฉียวเวยผลักประตูเปิด “นางไม่ชอบโพนทะนา เจ้าก็ทำเป็นว่าไม่รู้ก็แล้วกัน”
“อ้อ เจ้าค่ะ” ชีเหนียงวางข้าวของบนโต๊ะ
ในห้องสะอาดสะอ้าน คงสภาพไว้เหมือนตอนก่อนนางจะออกเรือน เฉียวเวยเห็นแล้วก็พูดขึ้นว่า “ลำบากเจ้าแล้ว ชีเหนียง”
“เรื่องนี้มีอะไรลำบากกันเล่าเจ้าค่ะ ท่านนั่งก่อน ข้าจะไปจุดเตา”
ชีเหนียงพูดพลางก็ไปห้องครัวยกถ่านหงหลัวกับเตากลมมาจุดไฟแล้วยกออกมา
ถ่านหงหลัวเป็นของหายาก มันเผาไหม้ได้นาน ไฟติดดี ไม่มีกลิ่นไม่มีควัน ราคาย่อมแพงกว่าถ่านดำมากนัก ชีเหนียงเองก็ตัดใจใช้ไม่ลง แต่นางคิดว่าเฉียวเวยอาจกลับมาตอนหน้าหนาวแล้วได้ใช้จึงไปซื้อจากในเมืองมาหลายสิบชั่ง
ชีเหนียงวางเตาลงบนแท่นรอง จากนั้นหิ้วกาน้ำขึ้นไปวาง พอหันกลับมาเห็นเด็กที่ปี้เอ๋อร์อุ้มอยู่ จึงคลี่ยิ้มถามว่า “นี่คุณหนูบ้านไหนกันหรือ”
หลิวเกอร์ถลึงตา แก้มพองจนกลายเป็นกระรอกน้อยตัวหนึ่ง “ข้าเป็นเด็กผู้ชาย!”
ชีเหนียงเก้อเขิน แม้สวมอาภรณ์ของเด็กผู้ชาย แต่เจ้าหน้าตางดงามเกินไป บอบบางเกินไป เหมือนแม่นางน้อยคนหนึ่งเกินไปแล้วจริงๆ นะ…
หลิวเกอร์ซุกเข้าไปในอ้อมแขนของปี้เอ๋อร์อย่างหมดอาลัยตายอยาก
วันนี้สำนักศึกษาหยุด เอ้อร์โก่วจื่ออยู่บ้าน จงเกอร์ก็อยู่ด้วย จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปตาหาจงเกอร์อย่างเบิกบานใจ ปี้เอ๋อร์อุ้มหลิวเกอร์เดินออกมา หลังจากนั้นก็วางหลิวเกอร์ผู้มีรอยเย็บบนฝ่าเท้ากับผ้าพันแผลอยู่บนขาไว้บนรถเข็นของเฉียวเจิงแล้วจากไป
หลิวเกอร์มองแผ่นหลังของปี้เอ๋อร์ที่หมุนตัวจากไป แล้วเรียกนางไว้อย่างขุ่นเคือง “เจ้าอยู่ก่อน!”
ปี้เอ๋อร์หันกลับมา “ท่านยังมีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“เจ้าต้องคอยดูข้า!” หลิวเกอร์ตอบ
ปี้เอ๋อร์หัวเราะพรืด “ท่านมีสิ่งใดน่าดูกันเล่า”
หลิวเกอร์ว่าอย่างร้อนรน “ซุนมามา ซุนมามาจะคอยดูข้าอยู่ตลอด!”
ปี้เอ๋อร์เดินเข้ามาหา นางคลี่รอยยิ้มแล้วหยิกแก้มของเขา “เจ้าเด็กคนนี้ ปกติอยู่ในจวนทำตัวเหมือนแกะน้อย ความจริงอารมณ์ร้ายไม่เบาเลยนี่”
หลิวเกอร์โกรธจนแก้มป่อง กระรอกน้อยโมโหอีกแล้ว
ปี้เอ๋อร์คอยติดตามเฉียวเวย ย่อมฝึกฝนหัวใจอันแข็งแกร่งมาได้ครึ่งดวงแล้ว จะใช้เรื่องเท่านี้มาขู่นาง ฝันไปเถิด
ปี้เอ๋อร์เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
หลิวเกอร์มองนาง แล้วก็มองสหายตัวน้อยที่วิ่งถลาไปมาเพื่อลูกแก้วไม่กี่ลูกบนพื้น คิ้วขมวดแน่น
ทุกสิ่งในโรงงานเป็นปกติยิ่งนัก เพียงแต่รายการสั่งซื้อเพิ่มขึ้นมาก โชคยังดีที่ประสิทธิภาพการทำงานของทุกคนเพิ่มขึ้นแล้ว ตอนนี้จึงยังไม่ต้องกังวลว่าคนจะไม่พอ หัวหน้าหมู่บ้านมาหาชีเหนียงเป็นการส่วนตัวอยู่หลายหน บอกว่าชาวบ้านในหมู่บ้านเตรียมตัวจะเลี้ยงเป็ด ถามชีเหนียงว่าจะสั่งจองไข่เป็ดจากในหมู่บ้านหรือไม่
ชีเหนียงไม่ได้ตอบรับทันที แต่บอกว่าขอเวลาพิจารณาสักสองสามวัน
“ท่านคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ” ชีเหนียงถาม
เฉียวเวยไม่มีเหตุผลให้ไม่ตกลง จึงตอบว่า “พี่ใหญ่ของข้าก็กำลังคิดจะทำโรงเลี้ยงสักโรงเหมือนกัน ในเมื่อทุกคนล้วนมีความคิดไปในทางนี้ พวกเราสั่งซื้อของจากที่ใดก็เป็นการสั่งซื้อเหมือนกันไม่ใช่หรือ หากรับประกันได้ว่าแหล่งผลิตสะอาด มีสินค้ามากพอก็เพียงพอแล้ว กลับไปเจ้าก็บอกหัวหน้าหมู่บ้านว่าเรื่องนี้ตกลง”
“เจ้าค่ะ!”
ขีเหนียงถือสมุดบัญชีของสองเดือนนี้มาให้เฉียวเวยตรวจดู
แต่ก่อนชีเหนียงรู้หนังสือไม่มาก ล้วนเป็นอากุ้ยที่สั่งสอน ตัวอักษรหน้าแรกๆ ยังเขียนออกมาหน้าตาชวนประหวั่นพรั่นพรึงอยู่บ้าง แต่พอมาถึงหน้าหลังๆ กลับงดงามอย่างยิ่ง
“ต้องการลูกคิดหรือไม่เจ้าคะ” ชีเหนียงถาม
“ไม่ต้อง” ตัวเลขเท่านี้ คิดในใจก็พอแล้ว
เฉียวเวยเปิดดูสมุดบัญชีบนโต๊ะจนเสร็จด้วยความเร็วสูงสุด เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดตกหล่นจึงส่งสมุดบัญชีคืนให้ชีเหนียง
“ทานอาหารเย็นแล้วค่อยไปดีหรือไม่เจ้าคะ” ชีเหนียงแย้มยิ้มถาม
เฉียวเวยมองท้องฟ้าที่เป็นสีเทาสลัวแล้วตอบว่า “ข้าคงไม่กินข้าวเย็น เดี๋ยวไปเก็บอะไรบนเขาสักหน่อย เสร็จแล้วก็จะไป”
“ให้อากุ้ยไปกับท่านด้วยหรือไม่เจ้าคะ” ชีเหนียงถาม
เฉียวเวยก็ตอบว่า “ไม่จำเป็น ข้าพาเจ้าพวกตัวเล็กนั่นไป”
หนึ่งเค่อหลังจากนั้น หนึ่งคนกับสามตัวก็ปรากฏตัวตรงป่าในภูเขาลึกอันเงียบสงบ เฉียวเวยสะพายตะกร้าใบใหญ่ จูเอ๋อร์ เสี่ยวไป๋กับต้าไป๋ต่างสะพายตะกร้าใบน้อยของตนเอง เฉียวเวยพกรายการติดมาสองใบ ใบหนึ่งเป็นสมุนไพรที่เฉียวเจิงต้องการ อีกใบหนึ่งคือเห็ดป่าที่นางต้องการ เห็ดป่ามีมากในฤดูร้อนกับฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาวมีอยู่น้อย ดังนั้นในตลาดจึงไม่มีขาย เฉียวเวยอยากจะเข้าป่าเสี่ยงดวงดู
สมุนไพรในใบรายการจูเอ๋อร์เป็นผู้เก็บมาทั้งสิ้น เฉียวเวยทำท่าทางประกอบให้มันดู มันก็เข้าใจแล้วสะพายตะกร้าใบน้อยบนหลังจากไปอย่างอารมรณ์ดี
ต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋รับผิดชอบเก็บเห็ด
เฉียวเวยเก็บเห็ดหิมะดอกหนึ่ง แล้วทำท่าบอกต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋ว่า ของหน้าตาเช่นนี้เก็บได้
เจ้าสองไป๋จากไปอย่างเบิกบานเริงร่าเช่นกัน
ผ่านไปราวสองเค่อ จูเอ๋อร์ก็กลับมาพร้อมของเต็มตะกร้า
จูเอ๋อร์เก็บมาเต็มตะกร้าสะพายหลัง เฉียวเวยนับดู ทั้งหมดล้วนเป็นของในใบรายการของเฉียวเจิง ไม่เกินสักอย่าง ไม่ขาดสักอย่าง ถูกต้องตรงเป๊ะเต็มร้อยคะแนน ไม่เสียทีเป็นเจ้าลิงน้อยอัปลักษณ์ที่ติดตามบิดาของนางขึ้นเหนือล่องใต้มา ความสามารถในการเก็บสมุนไพรนี่ไม่มีผู้ใดเทียบได้แล้ว!
จูเอ๋อร์นั่งหอบแฮ่กอยู่บนพื้น แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าที่เอาออกมาจากที่ใดไม่ทราบขึ้นมาเช็ดเม็ดเหงื่อที่ไม่มีอยู่บนหน้าผาก มันลำบากนักจริงๆ!
ไม่นานเสี่ยวไป๋ก็กลับมาแล้ว
มันเก็บของมาเต็มตะกร้าเช่นกัน ล้วนแต่เป็นเห็ดที่ทั้งอวบทั้งดอกใหญ่!
เฉียวเวยหยิบเห็ดพิษออกมา หนึ่ง สอง สาม สี่…
หยิบออกมาเสร็จ ก็เหลืออยู่ไม่เท่าไรแล้ว
กรงเล็บเล็กจ้อยของเสี่ยวไป๋ยกขึ้นปิดตา
สุดท้ายก็คือต้าไป๋ เจ้าตัวนี้วันๆ คิดแต่อยากจะหนี หนนี้ดันกลับมาอย่างว่าง่ายทำให้เฉียวเวยประหลาดใจพอสมควร
เฉียวเวยมองตะกร้าสะพายหลังใบน้อยของมัน “เห็ดหิมะเล่า”
ต้าไป๋ล้วงหนูนาตัวหนึ่งออกมา
“เห็ดเขียวเล่า”
ต้าไป๋ล้วงหนูนาตัวหนึ่งออกมา
“เห็ดดำเล่า”
ต้าไป๋ล้วงหนูนาตัวหนึ่งออกมา
หนูนารสชาติเยี่ยมยอดกระเทียมดอง!
อร่อยกว่าเห็ดตั้งเยอะ!
เฉียวเวยจะกระอักเลือด
สุดท้ายก็ยังเป็นจูเอ๋อร์ที่หาเห็ดสดใหม่พบ เฉียวเวยเด็ดมาหลายร้อยดอกอย่างไม่เกรงใจ ยัดใส่ตะกร้าของตนเองกับของเจ้าสองไป๋จนเต็มแน่น
ระหว่างทางกลับบ้าน ต้าไป๋จงใจเดินรั้งท้าย ฉวยโอกาสที่เฉียวเวยไม่ทันระวัง ยื่นกรงเล็บเข้าไปในตะกร้าสะพายหลัง
เฉียวเวยไม่มองเสียด้วยซ้ำ แต่กลับพูดขึ้นมาราวกับมีดวงตางอกอยู่หลังกะโหลก “ถ้าเจ้ากล้าหยิบเห็ดออกแล้วใส่หนูนาลงไป เจ้าจะได้ไปอยู่บนราวย่างเนื้อ!”
ต้าไป๋วางกรงเล็บลงอย่างเคียดแค้น จากนั้นเปิดตะกร้าของเสี่ยวไป๋แล้วยัดหนูนาลงไปด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ!
สมบูรณ์แบบ!
ในตะกร้าของเสี่ยวไป๋ซ่อนงูพิษแสนรักตัวหนึ่งที่จำศีลอยู่แท้ๆ แต่กลับถูกเสี่ยวไป๋บังคับปลุกให้ตื่น
งูพิษนอนหลับมาหลายวันแล้วหิวแทบแย่ จึงเขมือบหนูนาลงไปในคำเดียว!
หมดแล้วอาหารของต้าไป๋…
เฉียวเวยเดินไปได้ครึ่งทาง ท้องฟ้าก็เริ่มมีหิมะโปรยปรายลงมาอย่างหนัก หิมะหนแรกของปีนี้มาช้าและมาโดยไม่มีลางบอกล่วงหน้า แต่มารุนแรงนัก ระยะทางจากปากทางเข้าหมู่บ้านถึงคฤหาสน์ไกลเพียงไม่เท่าไร ทว่าตอนที่เฉียวเวยเข้าประตูมา เส้นผมก็ถูกหิมะย้อมเป็นสีขาวแล้ว
ปี้เอ๋อร์หยิบผ้ามาเช็ดให้พลางพูดว่า “อยู่ดีๆ เหตุไฉนหิมะจึงตกลงมาได้ หนนี้ตกหนักเสียปานนี้! ตอนเช้าออกจากบ้านยังมีดวงตะวันทอแสงจ้าอยู่เลย!”
ตอนเช้าฟ้ากระจ่างมากจริงๆ แต่เมื่อครู่ก่อนเข้ามาในหมู่บ้าน ฟ้าก็เริ่มครึ้มแล้ว เฉียวเวยคิดว่านี่ไม่เหมือนฝนจะตก แต่นางก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ไหนเลยจะรู้ว่าฝนไม่ตก แต่หิมะกลับตกแทน
เด็กๆ กลับตื่นเต้นกันยิ่งนัก ร้องโอ้โหวิ่งกันออกไป
หลิวเกอร์นั่งอยู่บนรถเข็น มองสหายตัวน้อยสามคนวิ่งไล่จับกันบนผืนหิมะแล้วก็เบ้ปากพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”
เฉียวเวยจิ้มใบหน้าเล็กๆ ของเขา ใบหน้ารูปไข่แดงก่ำด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า “อยากไปหรือไม่”
ไม่อยาก!
แต่หากเจ้าจะอุ้มข้าไปให้ได้ ข้าไปก็ได้
เฉียวเวยเดินไปเก็บของ
หลิวเกอร์ “…”
เฉียวเวยเก็บของได้ครึ่งหนึ่ง ท้องนภาก็ราวกับจะปริแยก หิมะห่าใหญ่โปรยปรายลงมาดูราวกับขนห่าน มันตกลงมาเพิ่มอีกเป็นเท่าตัว อากาศเช่นนี้น่าจะกลับเมืองหลวงไม่ได้แล้ว เฉียวเวยวางสัมภาระกลับไปในตู้
ตกกลางคืนชีเหนียงทำหม้อไฟ เสี่ยวเว่ยไม่อยู่ ได้ยินว่า ‘พี่สาว’ ที่บ้านเขาป่วยอีกแล้ว หน้าหนาวอากาศเย็นนั่งอยู่ด้านนอกปะชุนเสื้อผ้าของพี่น้องสิบยี่สิบคน เหน็ดเหนื่อยเกินไปจนเป็นหวัด พอเลิกงานเขาก็รีบร้อนกลับไป
แน่นอนว่าไม่ลืมนำเนื้อหมูแดดเดียวที่เฉียวเวยนำมาจากตระกูลจีไปด้วย
เฉียวเวยกับเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสาม อากุ้ยกับภรรยารวมถึงจงเกอร์นั่งล้อมวงอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง ชีเหนียงทำหม้อไฟสองหม้อ หม้อหนึ่งเป็นน้ำแกงเนื้อวัวรสเผ็ดชา อีกหม้อหนึ่งเป็นน้ำแกงกระดูกกับข้าวโพด ผักเด็ดมาจากสวนที่บ้านป้าหลัว มีหูหลัวปัว หัวไชเท้า ผักกาดขาว มันเทศ ฟัก เนื้อเป็นของที่ซื้อมาจากบ้านของสวีต้าจ้วง สวีต้าจ้วงเปิดกิจการขายเนื้อสัตว์ ในสิบลี้แปดหมู่บ้านมีเขาเพียงเจ้าเดียว หมูหนึ่งตัวขายเกือบหมดอยู่ทุกวัน
แล้วยังมีลูกชิ้นรากบัวทอด ลูกชิ้นถั่วเขียวกับลูกชิ้นเนื้อที่ชีเหนียงทำเองอีกจำนวนหนึ่ง
จงเกอร์พูดราวกับอวดสมบัติ “ลูกชิ้นเนื้อที่แม่ข้าทำอร่อยนักล่ะ!”
วั่งซูก็พูดบ้าง “ของที่ท่านป้าของข้าทำก็อร่อยมากเหมือนกัน!”
หลิวเกอร์นึกถึงลูกชิ้นเนื้อรสเค็มๆ กลิ่นหอมฟุ้งลูกนั้นเมื่อตอนกลางวัน ท้องก็ร้องออกมาอย่างไม่รักษาหน้าเจ้าของ
เฉียวเวยส่งชามให้เขาหนึ่งใบกับช้อนหนึ่งคัน
หลิวเกอร์มองชามกับช้อนบนโต๊ะ แล้วมุ่นคิ้ว “บ้านของท่านยากจนถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
เฉียวเวยยิ้มละไม “ใช่แล้ว ข้ายากจนมาก จะกินหรือไม่ ไม่กินก็เททิ้งไป”
หลิวเกอร์มองวั่งซูกับจิ่งอวิ๋น ทั้งสองคนเริ่มขยับตะเกียบแล้ว ไม่รู้ว่ามือเล็กๆ นั่นจับตะกียบมั่นคงเช่นนั้นได้อย่างไร จิ่งอวิ๋นคีบเนื้อชิ้นหนึ่ง สวรรค์! เขาคีบเนื้อได้! ส่วนวั่งซู นางกำลังคีบลูกชิ้น สะ สะ สะ …สวรรค์ทรงโปรด!
เฉียวเวยตักลูกชิ้นลูกหนึ่งให้เขา
“ข้า…ข้าจะใช้ตะเกียบ” เขาบอก
เฉียวเวยลุกขึ้นจะไปหยิบ ปี้เอ๋อร์อาสา “ข้าเองๆ!”
ปี้เอ๋อร์ไปหยิบตะเกียบสะอาดในห้องครัวให้หลิวเกอร์
หลิวเกอร์เลียนแบบทุกคน ใช้มือข้างหนึ่งถือตะเกียบคีบ ลูกชิ้นลื่นหลุด คีบอยู่หลายหนก็คีบไม่ขึ้น เขาพยายาออกแรงคีบ ฟิ้ว! ลูกชิ้นถูกบีบกระเด็นออกจากชาม! ตกลงไปในชามของจิ่งอวิ๋นพอดี
จิ่งอวิ๋นงงอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ใช้ตะเกียบทิ่มลูกชิ้นขึ้นมายัดเข้าปาก
อาหารมื้อนี้ ทุกคนกินกันอย่างอิ่มแปล้ หลิวเกอร์เอนพิงพนักเก้าอี้ เรอออกมาหนแรกในชีวิต
ปี้เอ๋อร์ไปต้มน้ำร้อนในห้องครัว
แม้ตอนแรกจะเก็บข้าวของของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปที่ตระกูลจีแล้ว แต่ก็ยังเหลือเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนอยู่สองสามชุด รูปร่างของหลิวเกอร์ใกล้เคียงกับจิ่งอวิ๋น เฉียวเวยจึงหยิบชุดนอนของจิ่วอวิ๋นมาให้เขา
เจ้าตัวน้อยทั้งหลายแช่น้ำร้อนอยู่ในกะละมังใบใหญ่
หลิวเกอร์บาดเจ็บที่ขา แช่น้ำไม่ได้ ปี้เอ๋อร์จึงเช็ดตัวให้เขา
พออาบน้ำเสร็จ เจ้าตัวน้อยทั้งหลายก็ทิ้งตัวนอนบนเตียงป๋าปู้อันนุ่มนิ่ม สิ่งเดียวในห้องนี้ที่ทำให้หลิวเกอร์พึงพอใจก็คือเตียงหลังนี้ มันทั้งใหญ่ทั้งสบาย
วั่งซูกลิ้งไปมาบนเตียง ไม่ทันระวังจึงกลิ้งตกลงมาบนพื้น…
วั่งซูปีนขึ้นมากลิ้งต่อ
จิ่งอวิ๋นอ่านหนังสืออย่างเคยชิน
หลิวเกอร์มองวั่งซูที่กลิ้งไปมาบนเตียงราวกับก้อนหิมะ แล้วหันไปมองจิ่งอวิ๋นที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงหัวเตียงราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย จากนั้นหันไปมองเพียงพอนหิมะตัวน้อยสองตัวที่หมอบเล่นของเล่นอย่างเงียบๆ อยู่บนพื้น สุดท้ายก็หันไปมองลิงน้อยที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเหมือนกำลังเช็ดหน้าด้วยท่าทางสง่างามประหนึ่งหญิงสูงศักดิ์ ทันใดนั้นเขาก็เกิดความอิจฉานิดๆ
หากเขามีน้องสาวสักคนก็ดี มีพี่ชายสักคนก็ได้ ดีที่สุดมีเสี่ยวไป๋อีกสักสองตัว หลังจากนั้นก็มีลิงน้อยตัวหนึ่ง
เฉียวเวยเข้ามาในห้อง ห่มผ้าห่มให้เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสามคน ทั้งสามหลับตาลงไม่นานก็เดินทางเข้าสู่ห้วงฝันอย่างเงียบเชียบ
เฉียวเวยมองพี่ชายน้องสาวที่หลับลึก แล้วคิดว่าหิมะตกหนักเช่นนี้ ตระกูลจีน่าจะรู้แล้วว่าพวกเขากลับไปไม่ได้ เพียงแต่ว่าใครบางคนเลิกประชุมขุนนางกลับมา ทั้งบ้านไม่มีใครอยู่สักคน ไม่รู้ว่าจะเหงาหรือไม่
คิดแล้วนางก็หัวเราะ คนโตขนาดนั้นแล้ว ยี่สิบแปดปีก็อยู่มาคนเดียว นางจะกังวลแทนเขาไปทำอะไร