หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 219 -2 เจรจาเรื่องการแต่งงาน น้องชายปรากฏตัว
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 219 -2 เจรจาเรื่องการแต่งงาน น้องชายปรากฏตัว
ตอนที่ 219 -2 เจรจาเรื่องการแต่งงาน น้องชายปรากฏตัว
บ้านชิงเหลียน เฉียวเวยได้หลับจนเต็มอิ่ม ตอนตื่นขึ้นมา จีหมิงซิวออกไปประชุมราชการเช้าแล้วตามคาด เฉียวเวยกับลูกกินอาหารเช้าเสร็จก็ไปคารวะเหล่าฮูหยินที่เรือนลั่วเหมย
อายุครรภ์ของจีซวงเริ่มมากแล้ว นางอยู่รอคลอดที่จวนเหนืออย่างสบายใจ ไม่ค่อยไปไหนมาไหน เรื่องจิปาถะในบ้านโดยมากจึงมาตกอยู่กับหลี่ซื่อ
เรื่องจิปาถะในบ้านตระกูลจีค่อนข้างซับซ้อน นอกจากการกินดื่มของเจ้านายและบ่าวนับร้อยชีวิตในบ้านตระกูลจีแล้ว ยังมีเบี้ยหวัดของแต่ละเรือน พิธีการต่างๆ เสื้อผ้าอาภรณ์ งบประมาณต่างๆ รายการบัญชีในบ้านหลังนี้จัดการเดือนละหนึ่งครั้ง ไร่นาบ้านเรือนร้านค้าข้างนอกสามเดือนถึงครึ่งปีครั้ง ส่วนช่วงสิ้นปีเป็นช่วงที่จะยุ่งมากที่สุด แค่จัดเตรียมของสำหรับช่วงสิ้นปีก็เล่นเอาหลี่ซื่อหัวหมุนไปหมด แต่กระนั้นในช่วงเวลานี้ เรื่องการแต่งงานของคุณหนูทั้งหลายก็ดันถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็น
หลี่ซื่อจัดการคนเดียวไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงต้องเรียกให้เฉียวเวยมาช่วย
เฉียวเวยเป็นมือฉมังด้านการดูบัญชี แค่ช่วงเช้าก็ดูสมุดบัญชีหลายตะกร้าได้จนหมด ตรงใดที่ผิดจัดการทำเครื่องหมายเอาไว้ พ่อบ้านห้องบัญชีนับว่าได้เรื่องได้ราวทีเดียว จุดผิดมีอยู่ไม่มาก เพียงแค่ไม่กี่จุดเท่านั้น
หลี่ซื่อพอใจยิ่งนัก
ดูสมุดบัญชีเสร็จก็เป็นเวลาเที่ยงพอดี หลี่ซื่อรั้งตัวเฉียวเวยให้อยู่กินกลางวันด้วย พวกเด็กๆ อยู่กันที่เรือนลั่วเหมย ไม่ต้องให้เฉียวเวยเป็นห่วง เฉียวเวยจึงอยู่ที่เรือนตะวันออกต่อไป
หลังจากผ่านมื้อเที่ยงไป มีแขกมาที่เรือนตะวันออกคนหนึ่ง เป็นสตรีที่อายุมากกว่าหลี่ซื่ออยู่เล็กน้อย เนื้อตัวอวบอิ่ม หน้าตาอมชมพู เครื่องประดับอัญมณีเต็มกาย ดวงตายิ้มพริ้ม ดูเป็นมิตรยิ่งนัก
หลี่ซื่อแนะนำให้เฉียวเวยได้รู้จัก “นี่คือหงฮูหยิน นางมาหารือเรื่องการแต่งงานของคุณหนูทั้งหลาย”
หารือ? เฉียวเวยใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร การแต่งงานของคุณหนูตระกูลจีมีความสำคัญเพียงใด ไม่มีทางที่จะหารือกับคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องเป็นอันขาด และนางไม่เคยพบและถึงขั้นไม่เคยได้ยินใครเอ่ยถึงหงฮูหยินมาก่อน นอกจากความเป็นไปได้เดียวว่านางคือ…แม่สื่อแล้ว เฉียวเวยก็คิดอย่างอื่นไม่ออกอีก
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียวเวยได้พบกับแม่สื่อของเมืองหลวง นางไม่ค่อยเหมือนกับที่ตนจินตนาการไว้สักเท่าไร ไม่มีไฝอย่างแม่สื่อ ไม่ผัดหน้าแต่งตาเสียงามฉ่ำหรือแต่งกายด้วยชุดกรุยกราย นางดูไม่ต่างอันใดกับสตรีวัยกลางคนทั่วไปคนหนึ่ง
ในต้าเหลียง แม่สื่อก็มีการแบ่งชนชั้นเช่นกัน แม่สื่อป้ายทองอย่างหงฮูหยินนี้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา เดิมทีนางเกิดในตระกูลขุนนาง คลุกคลีอยู่ในวงสังคมของสตรีชั้นสูงอย่างสนิทสนม ที่นางมาทำการค้าในเรื่องนี้ ไม่ใช่เพราะขาดเงินไม่กี่ตำลึงเหล่านี้ แค่เพียงชื่นชอบในเรื่องนี้เท่านั้น
นางรู้จักคนชั้นดีมาก พูดจารื่นไหลคล่องแคล่ว ซ้ำยังเลือกทำแต่งานดีๆ หลี่ซื่อกับจีเซิ่งก็ได้นางช่วยแนะนำให้ หลายปีมานี้ที่จีเซิ่งปฏิบัติต่อหลี่ซื่อถึงแม้จะพูดไม่ได้ว่าไร้ที่ติ แต่ก็นับว่าเป็นการแต่งงานที่ดีเลิศ ครานี้เมื่อคุณหนูสองคนถึงวัยพูดคุยเรื่องแต่งงาน คนแรกที่หลี่ซื่อนึกถึงก็คือหงฮูหยินผู้นี้
เฉียวเวยทำความเคารพหงฮูหยิน
หงฮูหยินมองเฉียวเวยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ช่างงดงามเสียจริง น่าเสียดายที่แต่งงานแล้ว”
เฉียวเวยตอบยิ้มๆ ว่า “หากยังไม่ได้แต่งงาน หงฮูหยินจะแนะนำข้าให้กับใครหรือ”
หงฮูหยินใคร่ครวญอย่างตั้งใจ “ก็ยังต้องเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลจี! คุณชายใหญ่กับฮูหยินน้อยน่ะนะ นับเป็นคู่สร้างคู่สม กิ่งทองใบหยกกันโดยแท้!”
คนทั้งห้องพากันหัวเราะ
หลี่ซื่อให้สือหลิวไปเรียกคุณหนูทั้งสองมาที่นี่ ทั้งยังให้หงซิ่งไปที่เรือนกุ้ยเซียงเพื่อเชิญเจินซื่อกับสวินชิงเหยามาที่นี่ด้วย
เฉียวเวยไม่เข้าใจ “เชิญพวกนางมาทำไมหรือ”
หลี่ซื่อถอนหายใจทีหนึ่ง “ข้าเองไม่ได้อยากเชิญหรอก แต่เมื่อเช้าท่านพ่อเจ้าให้คนนำความมาบอกข้าว่าเรื่องการแต่งงานของคุณหนูสวินจะเรื่อยเฉื่อยไม่ได้ หากข้าให้เจี่ยร์ทั้งสองเลือกคู่ครองก่อนแล้วค่อยให้นางเลือก เดี๋ยวนางจะโวยวายไปถึงที่เรือนถงอีก!”
“เมื่อคืนพวกนางไปที่เรือนถงหรือ” เฉียวเวยถาม
หลี่ซื่อตอบว่า “คุณหนูสวินไม่ได้ไป สวินฮูหยินที่ไป”
คนอย่างเจินซื่อทำเรื่องเช่นนี้ได้จริงๆ
จู่ๆ เฉียวเวยก็หัวเราะออกมา คนเราจะหน้าไม่อายได้ถึงเพียงนี้ก็จำต้องมีความใจกล้าอย่างใหญ่หลวง เอาเถิด มาก็มาแล้วกัน ก็แค่มีคนนั่งอยู่ในห้องเพิ่มมาสองคนเท่านั้น การแต่งงานเป็นเรื่องของคนทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่แค่สตรีที่เลือกบุรุษ บุรุษก็ต้องเลือกสตรีด้วยเช่นกัน ต่อให้พวกนางถูกใจ อีกฝ่ายก็ไม่แน่ว่าจะยอมแต่งนางเข้าบ้าน
แม่ลูกเจินซื่อมาถึงศาลาไออุ่นกันอย่างรวดเร็ว จีหว่านอวี๋ก็มาถึงแล้วเช่นกัน นางจับมือจีหรูเย่ว์คุกเข่าลงนั่งบนเบาะรองนั่ง ไม่แม้แต่จะมองอีกสองคนในห้อง
หงฮูหยินเรียกให้จิตกรมาวาดภาพเหมือนของคุณหนูทั้งสาม ทั้งจิตกรและหงฮูหยินรู้ว่าใครเป็นใคร ทั้งๆ ที่ทั้งสามมีรูปโฉมงดงามพอฟัดพอเหวี่ยงกัน แต่กระนั้นก็วาดจีหว่านอวี๋กับจีหรูเย่ว์ให้ออกมาดูงดงามมีชีวิตชีวากว่าสามส่วน
ระหว่างที่จิตกรกำลังวาดภาพอยู่นั้น หงฮูหยินนำคนที่ตนมีอยู่ในมือออกมาทีละคน “เหล่านี้ล้วนเป็นคนในเมืองหลวง ฮูหยินทั้งหลายเชิญเลือกดูก่อน หากมีคนใดถูกชะตาก็ถามข้า ข้าจะเล่าประวัติคร่าวๆ ให้ฟัง หากไม่มีคนใดในเมืองหลวงที่ถูกใจ ข้ายังมีจากเมืองอื่นอีก”
หลี่ซื่อกับเจินซื่อเลือกม้วนภาพขึ้นมากางออกคนละภาพ ทุกคนต่างบอกว่าคนที่หงฮูหยินรู้จักล้วนดีเลิศทั้งสิ้น เรื่องนี้ไม่ได้เป็นการโอ้อวด นางสุ่มหยิบมารูปนี้ก็เป็นถึงองค์ชายเก้าของราชวงศ์ปัจจุบันเลยทีเดียว เฉียวเวยหัวเราะออกมาด้วยความตกใจ “นี่เขาก็ขอให้หงฮูหยินช่วยหาคู่ให้ด้วยเหมือนกันหรือ”
หงฮูหยินเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “หามิได้ แต่หากฮูหยินน้อยถูกใจอยากจะเจรจาให้คุณหนูคนใดล่ะก็ ข้าสามารถไปเป็นแม่สื่อให้ได้!”
เฉียวเวยนึกเปรียบเทียบพลังการต่อสู้ระหว่างตัวหลัวหมิงจูกับจีหว่านอวี๋อยู่ในใจ แล้วปัดความคิดนี้ทิ้งไป นางเพิ่งวางภาพวาดลง เจินซื่อก็แย่งเอาไปทันที เมื่อได้เห็นบุรุษหนุ่มท่าทางสบายๆ รูปโฉมหล่อเหลาแล้ว น้ำลายก็แทบจะไหลออกมา
หงฮูหยินเหลือบมองนางทีหนึ่ง “องค์ชายเก้าฐานะสูงส่ง องค์หญิงหลินอันไม่มีทางยอมให้เขาแต่งสะใภ้จากต่างถิ่นเป็นภรรยาเด็ดขาด”
เจินซื่อทำเสียงหึๆ แล้วโยนม้วนภาพกลับลงบนโต๊ะ
เฉียวเวยหยิบอีกภาพหนึ่งขึ้นมาแล็วก็ต้องเลิกคิ้ว มียิ่นอ๋องด้วยหรือนี่ “เท่าที่ข้ารู้ ท่านยิ่นอ๋องมีการหมั้นหมายกับคุณหนูบ้านตระกูลตัวหลัวไว้แล้ว?”
หงฮูหยินระบายยิ้ม “ฮูหยินน้อยคงยังไม่รู้เรื่องระหว่างยิ่นอ๋องกับคุณหนูจากชนเผ่าเกาเย่ว์ คุณหนูจากชนเผ่าเกาเย่ว์นั่นเก่งกาจยิ่งนัก นางคลอดบุตรให้ยิ่นอ๋องถึงสามคน ซ้ำยังไม่อนุญาตให้แต่งคุณหนูตระกูลตัวหลัวเข้ามา สองตระกูลนี้ใกล้จะมีเรื่องมีราวกับเต็มที มีฝ่าบาทแทรกอยู่ตรงกลาง ลำบากใจด้วยกันทั้งซ้ายและขวา ดีไม่ดีสุดท้ายแล้วอาจจะไม่ได้แต่งงานกับใครเลยสักคน”
ไม่แต่งงานกับใครเลย? นางคงประเมินยอดหญิงงามต่ำเกินไปแล้ว เฉียวเวยทำปากจึ๊จ๊ะ ก่อนถามด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า “หากได้แต่งงานเล่า”
หงฮูหยินพึมพำว่า “นั่นไม่ใช่ว่ายังมีตำแหน่งชายารองอยู่หรือ”
เจินซื่อยื่นหน้าเข้ามามอง พอได้เห็นเต็มสองตาแล้ว ตานางก็ถึงกับเบิกกว้างขึ้นมาทันที บุรุษในเมืองหลวงเหตุใดถึงหน้าตาดีกันทั้งนั้นเลยนะ
“ชายารองคงไม่ได้ต้องเป็นแค่สตรีในเมืองหลวงไปด้วยกระมัง” เจินซื่อถาม
มุมปากหงฮูหยินกระตุกเล็กน้อย คิดในใจว่าด้วยฐานะของตระกูลสวิน ตำแหน่งชายารองเกรงว่าคงไม่มีหวัง ได้เห็นอนุภรรยาก็นับว่าหวังสูงแล้ว คุณหนูสวินผู้นี้เป็นบุตรโดยสายเลือดของสวินฮูหยินจริงๆ น่ะหรือ มีแม่ผู้ให้กำเนิดคนใดอยากส่งลูกของตัวเองไปเป็นอนุบ้าง
“นี่คือท่านเจาอ๋อง?” เฉียวเวยกางอีกภาพหนึ่งออก
เจินซื่อบ่นพึมพำว่า เหตุใดนังเด็กนี่ถึงได้มือดีเพียงนี้ หยิบภาพไหนก็เป็นองค์ชายเป็นท่านอ๋องทั้งนั้น
แต่หลังจากได้เห็นรูปลักษณ์ที่เลอเลิศของยิ่นอ๋อง ท่านเจาอ๋องก็ดูจืดชืดไร้รสชาติไปในบัดดล
เจินซื่อเบ้ปากแล้วไปกางภาพอื่นดูต่อ
หงฮูหยินพลันหน้าบึ้งตึง นางไม่ได้ตาผาดไปกระมัง ท่านเจาอ๋องที่ชื่อเสียงเลอเลิศไปไกลโพ้น ถูกสตรีบ้านนอกคนหนึ่งแสดงท่าทีรังเกียจ? นางคิดว่าบุตรสาวนางเป็นทวยเทพจากสรวงสวรรค์หรือไร!
เจินซื่อเลือกภาพนั้นภาพนี้มาดูไม่หยุด ถ้าไม่รังเกียจเรื่องหน้าตา ก็รังเกียจเรื่องฐานะครอบครัว นางทั้งอยากได้คนที่หล่อเหลาเช่นยิ่นอ๋อง ทั้งอยากได้คนที่มีพื้นเพอย่างตระกูลจี จะให้ดีต้องเป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่ แต่อายุห้ามมากเกินไปนัก ประมาณจีหมิงซิวได้กำลังดี
พวกที่ลำดับขั้นเดียวกับจีหมิงซิว อายุประมาณสี่สิบกันแล้วทั้งนั้น
คนที่อายุไล่เลี่ยกับหมิงซิว ก็มีแต่ตำแหน่งขั้นสามลงไปทั้งสิ้น
แน่นอนว่า ถ้าไม่แต่งอนุได้คือดีที่สุด
คนทั้งห้องไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับนางดี นางคิดว่าบุรุษดีพร้อมหาง่ายเพียงนั้นเลยหรือ ทั่วทั้งราชวงศ์ต้าเหลียงจะหาจีหมิงซิวคนที่สองไม่มีอีกแล้ว
หลี่ซื่อคัดเลือกคุณชายที่ฐานะถือว่าเหมาะสมมาจำนวนหนึ่งแล้วถามหงฮูหยิน หงฮูหยินก็ตอบให้ทีละคน หลี่ซื่อเก็บสองคนเอาไว้เลือกก่อน จากนั้นก็ไปเปิดอีกภาพหนึ่งต่อ ในภาพเป็นบุรุษหนุ่มคนหนึ่ง หน้าตาคมคายสมเป็นชายชาติบุรุษ หน้าตาไม่ดุดันเท่ายิ่นอ๋อง แต่กลับให้ความรู้สึกเย่อหยิ่งเป็นที่น่าสนใจของผู้คน
“เสี่ยวเวย” หลี่ซื่อยื่นภาพนั้นไปตรงหน้าเฉียวเวย
เฉียวเวยเพ่งมอง “เอ๋? เหตุใดจึงเป็นเขา”
หลี่ซื่อประหลาดใจ “เจ้ารู้จัก?”
เฉียวเวยตอบว่า “นี่ไม่ใช่แม่ทัพน้อยมู่แห่งหนานฉู่หรอกหรือ เมื่อวานคนที่จับนักโทษได้ในตรอกก็คือเขานี่แหละ”
“อ่อ คุณชายท่านนี้เองหรือนี่ มิน่าเล่าข้าถึงว่าหน้าตาดูใจดี” ตอนหลี่ซื่อไปถึงจุดเกิดเหตุ แม่ทัพน้อยมู่กำลังเตรียมจะจากไปพอดี หลี่ซื่อลงจากรถม้ามากล่าวขอบคุณคำหนึ่ง จึงเห็นหน้าตาอีกฝ่ายไม่ชัดสักเท่าไร
“แม่ทัพน้อยมู่อะไรหรือ” เจินซื่อยื่นหน้าเข้ามา เมื่อวานนางสลบไป ไม่ค่อยรู้เหตุการณ์ช่วงที่บุตรสาวตนได้รับการช่วยเหลือ กว่านางจะได้สติเต็มที บุตรสาวก็กลับขึ้นมานั่งบนรถม้าแล้ว นางยังคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ทหารที่จับนักโทษคนนั้นได้เสียอีก
สายตาสวินชิงเหยาพลันสั่นไหว ตัวแข็งค้าง
หลี่ซื่อข้ามประเด็นสำคัญไป บอกเพียงว่า “ขุนนางทูตจากหนานฉู่”
“คนหนานฉู่นี่เอง” เจินซื่อไม่สู้จะยินดีนัก ต่อให้รูปโฉมหล่อเหลาเพียงใด แต่อย่างไรก็ไกลเกินไป หากบุตรสาวนางแต่งงานไป น่ากลัวว่าชีวิตนี้คงไม่ได้กลับมาบ้านเดิมอีกแล้ว
หลี่ซื่อกลับตั้งใจพิจารณาแม่ทัพน้อยมู่ผู้นี้ ได้ยินว่าหนานฉู่จะไม่แต่งงานเพื่อผูกสัมพันธ์กับต้าเหลียง แต่ปีนี้ดูเหมือนจะเริ่มผ่อนปรนแล้ว ไม่อย่างนั้นหงฮูหยินคงไม่กล้าเอาภาพเหมือนของแม่ทัพน้อยมู่มาให้พวกนางเลือก
จีหว่านอวี๋เป็นยอดดวงใจของจีซวง จีซวงทำใจให้นางแต่งงานไปอยู่ไกลๆ ไม่ได้ แต่ยังมีจีหรูเย่ว์อยู่
หากจีหรูเย่ว์ได้แต่งงานเข้าใจอยู่ในจวนเทพสงคราม ก็พอนับได้ว่าเป็นการแต่งงานที่ดี
หลี่ซื่อเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านเล่าเรื่องแม่ทัพน้อยท่านนี้ให้ข้าฟังที”
มือที่จับขนมกินอยู่ของหงฮูหยินพลันชะงัก ขยับนั่งตัวตรง ยิ้มแย้มขณะบอกว่า “แม่ทัพน้อยผู้นี้เก่งกาจยิ่งนัก อายุเพิ่งได้สิบเจ็ดปีเท่านั้น แต่กลับมีวรยุทธ์เป็นเลิศ ข้าได้ยินว่าตอนเขาอายุเก้าปีก็ติดตามบิดาไปออกรบ ตอนอายุสิบเอ็ดตัดศีรษะศัตรูได้สำเร็จ ตอนอายุสิบสามสร้างผลงานทางการทหาร พออายุสิบห้าก็มีชื่อเสียงไปทั่วแผ่นดิน ซ้ำยังรักษาตัวให้สะอาดผ่องแผ้ว ไม่เคยทำตัวเกกมะเรกที่ไหน ไม่รู้ว่าเป็นบุรุษในฝันของสตรีสาวสักกี่คน! เขามีน้องสาวร่วมอุทรคนหนึ่ง ได้ยินว่าก็เป็นสตรีอบอุ่นจิตใจดีคนหนึ่ง”
“แค่ก!” เฉียวเวยถึงกับสำลัก คนอย่างศิษย์พี่หญิงรองนั่นน่ะหรือ อบอุ่นจิตใจดียังไม่ใกล้เคียงเลยจะบอกให้
เดิมทีได้ฟังช่วงตอนแรกยังรู้สึกว่าแม่ทัพน้อยมู่เก่งกาจยิ่งนัก แต่พอข้อมูลเกี่ยวกับศิษย์พี่หญิงรองผิดเพี้ยนไปไกลเพียงนี้ เฉียวเวยก็ถึงกับสงสัยข้อมูลในช่วงแรกขึ้นมาติดหมัด
“เรื่องทางครอบครัวเล่า” หลี่ซื่อถามด้วยความสนใจ
หงฮูหยินเอ่ยด้วยท่าทางยินดี “ประวัติครอบครัวเขาก็ไม่มีอะไรซับซ้อน บิดาเป็นเทพแห่งสงครามของหนานฉู่ มารดาเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง เหนือเขาขึ้นไปมีพี่ชายอยู่สองคน ถัดจากเขาไปไม่มีน้องชาย มีเพียงน้องสาวหนึ่งคน น้องสาวเป็นศิษย์ของสำนักใหญ่สำนักหนึ่ง แต่น้องสาวกับพี่ชายรวมกันยังไม่เก่งกาจเท่าเขา ฮูหยินรองช่างตาแหลมนัก แค่ดูก็เลือกคนที่ดีที่สุดได้แล้วนะนี่!”
เฉียวเวยถามอย่างเห็นขันว่า “ท่านเอาภาพเหมือนของเขามาหาคู่เช่นนี้ แม่ทัพน้อยมู่รู้ตัวหรือไม่”
หงฮูหยินระบายยิ้มกว้าง “ไว้รอข้าไปหาเขาก็รู้เองไม่ใช่หรือ”
“ท่านไม่กลัวว่าเขาจะไม่เห็นดีเห็นงามด้วยหรือ” เฉียวเวยถามยิ้มๆ
หงฮูหยินโบกผ้าเช็ดหน้าในมือ “โอ้ยตายแล้ว ฮูหยินน้อยท่านไม่เชื่อข้า แต่อย่างไรก็ต้องเชื่อในตัวคุณหนูตระกูลจีทั้งสองสิ! คุณหนูทั้งสองจันทราเห็นต้องหลบ บุปผาเห็นต้องอายเช่นนี้ หากข้าเป็นบุรุษ ถ้าได้เห็นก็ไม่คิดอยากไปไหนแล้ว ใครจะไม่อยากแต่งงานกับพวกนางบ้าง ท่านวางใจเถิด ข้าทำอาชีพนี้มาหลายสิบปีแล้ว ขอเพียงเห็นการแต่งงานที่ข้าอยากเจรจาให้ ไม่มีการแต่งงานใดไม่สำเร็จ ให้เป็นหน้าที่ข้าเถิด!”
กลัวก็แต่แม่ทัพน้อยมู่ผู้นั้นจะไม่อยากแต่งงานจริงๆ น่ะสิ เฉียวเวยไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนผู้นั้นสักเท่าไร แต่ระหว่างคนด้วยกันมักมีสัญชาตญาณแฝงอยู่ สัญชาตญาณบอกนางว่าแม่ทัพน้อยมู่ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมาเจ้ากี้เจ้าการได้ นอกเสียจากว่าเขาถูกใจคุณหนูตระกูลจีจริงๆ ไม่อย่างนั้นต่อให้แม่สื่อพูดจนปากฉีกถึงใบหู ก็ไม่มีทางทำให้เขาสั่นคลอนได้
หลี่ซื่อมีความประทับใจที่ไม่เลวต่อแม่ทัพน้อยมู่ นางเห็นว่าการแต่งงานนี้สามารถเก็บไว้พิจารณาได้ เพียงแต่เรื่องนี้นางตัดสินใจเองคนเดียวไม่ได้ จำต้องให้นายท่านรองกับเหล่าฮูหยินพยักหน้าด้วย
ไว้เดี๋ยวนางจะไปพูดกับพวกเขาสักน้อย หากสำเร็จก็สำเร็จ ไม่สำเร็จก็ค่อยหาลูกเขยดีๆ คนอื่น
หลี่ซื่อม้วนเก็บภาพวาดเงียบๆ แล้ววางลงในกล่องที่รอคัดเลือกต่อไป
ใต้แขนเสื้อกว้าง สวินชิงเหยาบิดนิ้วแน่นเป็นเกลียว
ฮูหยินทั้งหลายเลือกกันอยู่นาน ต่างคนต่างเลือกคนที่ถูกใจกันได้สามสี่คน หงฮูหยินทิ้งภาพวาดเอาไว้ให้ ให้พวกนางพิจารณากันหนึ่งคืน เมื่อตกลงปลงใจแล้วค่อยกลับมาเก็บภาพคืน บุรุษที่คุณหนูตระกูลจีถูกใจ นอกจากแม่ทัพน้อยมู่ผู้นั้นที่อาจจะจัดการยากอยู่บ้างแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือก็ไม่มีใครที่นางจัดการไม่ได้
หงฮูหยินกลับไปด้วยความยินดี
หลี่ซื่อกับเฉียวเวยไปที่เรือนของเหล่าฮูหยิน ให้เหล่าฮูหยินช่วยออกความเห็น ส่วนเจินซื่อเอาภาพเหมือนที่ตนเลือกกลับไปที่เรือนกุ้ยเซียง
เจินซื่อเรียกให้สวินชิงเหยามาดูภาพด้วย ดูสิว่ามีใครที่นางชอบหรือไม่ ถึงแม้นางจะเป็นคนตัดสินใจ แต่หากบุตรสาวกับนางถูกใจคนเดียวกัน เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว
“ท่านแม่ตัดสินใจเลยก็แล้วกัน ข้าเริ่มง่วงแล้ว ขอตัวกลับห้องก่อน”
สวินชิงเหยากลับไปที่ห้อง
นางเปิดตู้ตรงหัวเตียงแล้วหยิบกล่องที่คนผู้นั้นทิ้งเอาไว้ออกมา
เขาจะ…ช่วยนางทำอะไรก็ได้จริงๆ หรือ
รวมถึงการเลือกคู่แต่งงานของตนเองด้วย?
นางจำต้องใช้อะไรเพื่อแลกมากกัน
หากสิ่งที่ต้องเสียไปไม่ใช่อะไรที่เหนือบ่ากว่าแรง ใช่ว่า…ใช่ว่าจะลองดูได้หรือไม่
หากสิ่งที่ต้องเอาไปใช้แลกหนักหนาเกินไป ตนก็เอาขลุ่ยคืนเขาไปก็สิ้นเรื่อง!
เมื่อความคิดนี้แล่นเข้ามา สวินชิงเหยาก็สบายใจแล้ว นางค่อยๆ เปิดกล่องออก เมื่อมองเขาไปภายในก็ถึงกับอึ้งงันไปทันที
ขลุ่ยที่บอกเอาไว้เล่า
เหตุใดถึงเป็นช้อนคันหนึ่งไปได้!