หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 226-1 เหตุการณ์ในเมืองเฟยอวี๋
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 226-1 เหตุการณ์ในเมืองเฟยอวี๋
ตอนที่ 226-1 เหตุการณ์ในเมืองเฟยอวี๋
พอออกจากเมืองหลวงทางประตูทักษิณ มุ่งหน้าลงทางใต้ก็มีหิมะตกตลอดทาง หลังจากข้ามแม่น้ำมาอากาศค่อยๆอบอุ่นขึ้น ไม่มีหิมะตกหนักอีก เดินทางผ่านเมืองหนึ่งเป็นต้องถอดเสื้อออกชั้นหนึ่ง พอคณะเดินทางมาถึงเมืองเฟยอวี๋ เครื่องแต่งกายก็มากกว่าเสื้อผ้าในฤดูร้อนเพียงเสื้อคลุมหนึ่งตัวเท่านั้น
เมืองเฟยอวี๋เป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ชายแดนทางตอนใต้ของต้าเหลียง แต่ไม่ถึงกับทางใต้เสียทีเดียว เอียงไปทางตะวันออกอยู่เล็กน้อย เป็นเมืองท่าเล็กๆ ที่การค้ารุ่งเรือง ประชากรหนาแน่น คนพื้นที่โดยมากอาศัยการออกเรือไปตกปลาเป็นอาชีพ ด้วยเหตุนี้เมืองเฟยอวี๋จึงเป็นที่รู้จัก
ในแต่ละวันจะมีทั้งชาวบ้านและพ่อค้าผ่านเข้าออกเมืองเฟยอวี๋นับหลายร้อยคนเพื่อซื้อหาสัตว์ทะเลสดๆ อาหารทะเลบนโต๊ะอาหารบ้านตระกูลจีก็มีจำนวนไม่น้อยที่มาจากเมืองเฟยอวี๋ แต่ของขึ้นชื่อที่สุดของเมืองเฟยอวี๋ยังไม่ใช่ของทะเลทั้งหลาย แต่เป็นผ้าไหมหลงเซียวกับน้ำตาเงือก
“บันทึกเหนือธรรมชาติ” เคยมีจดบันทึกไว้ว่า “นอกทะเลหนานไห่มีเงือก อาศัยในน้ำประหนึ่งปลา เก่งงานเย็บปัก หยดน้ำตาร่วงหล่นเป็นไข่มุข”
เงือกอาศัยอยู่นอกทะเลหนานไห่ เชี่ยวชาญการเย็บปัก สามารถทำชุดผ้าไหมหลงเซียวที่อยู่ในน้ำแล้วไม่เปียกได้ เวลาร้องไห้น้ำตาเปลี่ยนเป็นเม็ดไข่มุกได้ น้ำมันของเงือกเมื่อถูกจุดขึ้นมาแล้ว จะไม่ดับไปนับหมื่นปี
ผ้าไหมหลงเซียวของเมืองเฟยอวี๋กับไข่มุกใช่สิ่งที่เงือกทำขึ้นหรือไม่เฉียวเวยไม่รู้ แต่ชุดจากผ้าไหมหลงเซียวบางเบาประหนึ่งปีกจั๊กจั่นนั้นเป็นเรื่องจริง เม็ดไข่มุกก็ทั้งกลมทั้งใหญ่ มันวาวหาใดเปรียบ ส่วนน้ำมันของเงือกน่ะหรือ ตามตลาดยังไม่มีให้เห็น หากมีจริงเฉียวเวยยังคิดอยากซื้อกลับไปสักสองโหล น้ำมันจากตับปลาของนางเงือกคิดแล้วคงดีเลิศกว่าน้ำมันตับปลาของปลาฉลามหรือปลาหิมะมากนัก จริงหรือไม่
“เจ้ากำลังดูอะไรน่ะ” ไซน่าอิงถามนาง
ไซน่าอิงก็คือชายในอาภรณ์ดำผู้นั้น หลังจากร่วมเดินทางมาด้วยกันระยะหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างคุ้นเคยกันจึงได้รู้ชื่อของเขา
เฉียวเวยหันไปยิ้มให้ “เจ้าว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่ชื่อว่าไซน่าเหอ”
ไซน่าอิงตอบอย่างจริงจังว่า “ไซน่าเหอเป็นชื่อของปู่ข้า”
เฉียวเวยหัวเราะพรืดออกมา
นางมักหัวเราะประหลาดๆ ออกมาเสมอ ไซน่าอิงแปลกใจจนเคยชินเสียแล้ว เขาถามคำถามเดิมว่า “เจ้ากำลังดูอะไรอยู่”
เฉียวเวยตอบไปตามตรง “ข้ากำลังดูว่ามีน้ำมันเงือกหรือไม่”
ไซน่าอิงจมลงสู่ความคิดตน เห็นชัดอยู่ว่าไม่มี เขาคิดในใจ
“ผ้าไหมหลงเซียว! มีผ้าไหมหลงเซียวมาขาย! ผ้าไหมหลงเซียวชั้นดี! ผ้าไหมหลงเซียวเพิ่งออกใหม่!” ร้านค้าริมทางเล็กๆ ร้านหนึ่ง มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งผิวดำเมี่ยมแต่หน้าตากลับดูฉลาดเฉลียว โบกผ้าโปร่งเบาสีม่วงอ่อนพลางตะโกนเรียกลูกค้าเต็มที่ เขาเห็นคณะของเฉียวเวยเดินมา เมืองท่าเล็กๆ แห่งนี้มีคนต่างถิ่นจากห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทรมามากนับหมื่นคน ทุกวันเขาจะได้เห็นการแต่งกายและใบหน้าใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่กลับไม่เคยเห็นกลุ่มคนเช่นพวกเขามาก่อน
คนแรกที่เขาเห็นคือแม่นางคนที่เดินอยู่หน้าสุด นางสวมใส่อาภรณ์สีขาว เสื้อคลุมตัวนอกเป็นชุดผ้าโปร่งสีฟ้า ดูงดงามสบายตาประหนึ่งท้องฟ้าใสหลังพายุฝน นัยน์ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ ลูกตาดำเป็นประกาย ดูคล้ายเม็ดไข่มุกดำที่งดงามที่สุดที่เขาเคยเห็น
ถัดจากนางไปไม่ไกลทางด้านหลังเป็นบุรุษคนหนึ่ง เขารูปร่างสูงที่สุด อยู่อาภรณ์สีขาว เสื้อตัวยาวปักเป็นลายใบไผ่สีน้ำตาล แผ่รัศมีแห่งความสูงสง่าออกมาทั่วตัว บนหน้าเขามีหน้ากาก ดวงตาที่อยู่ใต้หน้ากากลึกล้ำจนไม่เห็นจุดสิ้นสุด แม้จะมีแสงอาทิตย์ที่อบอุ่นที่สุดของเมืองเฟยอวี๋สาดส่องก็ยังไม่มีแววอบอุ่นสักนิด
บุรุษอีกสี่คนที่เดินล้อมทั้งสองไว้ คนที่ดูหนุ่มแน่นผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นหนุ่มรูปงามพราวเสน่ห์ อึกสามคนที่เหลืออายุไม่น้อยกันแล้ว แต่กลับผึ่งผาย ดูมีความดุดันน่าเกรงขาม
เสียงตะโกนร้องขายของของเด็กหนุ่มค่อยๆ เบาลง
เฉียวเวยเดินมาถึงร้านนั้นพอดี มองผ้าโปร่งบางในมือเด็กหนุ่มแล้วถามว่า “นี่เป็นผ้าไหมหลงเซียวจริงหรือ”
เด็กหนุ่มถึงได้หลุดจากภวังค์ ยิ้มพลางตบอกน้อยๆ ของตน “แน่นอน อาซื่อทำการค้าไม่เคยหลอกลวงผู้ใดมาก่อน!”
เฉียวเวยยื่นมือไปจับผ้าโปร่งบางสีม่วงอ่อน ให้สัมผัสที่ดียิ่งนัก “ข้าได้ยินว่าผ้าไหมหลงเซียวเป็นผ้าที่แม่นางชนเผ่าเงือกถักทอขึ้นมา ของเจ้านี่ก็ใช่หรือ”
เด็กหนุ่มตอบอย่างมั่นใจเต็มร้อยว่า “แน่นอน ทั้งหมดนี้ส่งมาใหม่จากใต้ทะเลทั้งสิ้น”
เฉียวเวยหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่ไหวอีกครั้ง
“เจ้าขำอะไร” เด็กหนุ่มถามด้วยความงุนงง
เฉียวเวยกลั้นขำแล้วตอบว่า “ขำที่ฝีมือการหลอกคนอื่นของเจ้ายังไม่เข้าขั้นน่ะสิ”
เด็กหนุ่มส่งเสียงเชอะ “ใครหลอกเจ้ากัน ผ้าไหมหลงเซียวของข้านี้ส่งขึ้นมาจากใต้ทะเลจริงๆ! ดูออกก็ซื้อ ดูไม่ออกก็แล้วไปเถอะ!”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ข้าได้ยินว่าผ้าไหมหลงเซียวโดนน้ำไม่เปียก ผ้าพับนี้ก็เป็นเช่นนั้น?”
เด็กหนุ่มคล้ายรู้อยู่แล้วว่าเฉียวเวยจะถามเช่นนี้ จึงตอบโดยไม่กะพริบตาว่า “นั่นเป็นผ้าไหมหลงเซียวชั้นหนึ่ง เจ้ามาไม่ถูกเวลา ผ้าไหมหลงเซียวชั้นหนึ่งขายหมดไปแล้ว นี่เป็นสินค้าชั้นสอง นอกจากไม่มีคุณสมบัติลงน้ำแล้วไม่เปียกแล้ว อย่างอื่นเหมือนผ้าไหมหลงเซียวชั้นหนึ่งทุกอย่าง!”
คำโกหกนี้ออกจะเอาเรื่องโกหกมาพูดเป็นเรื่องจริงเกินไปสักหน่อย ตนเป็นคนมาจากต่างถิ่น วันพรุ่งนี้ก็จะไปแล้ว คงไม่มีเวลามารอผ้าไหมหลงเซียวชั้นหนึ่งของเขา ย่อมมาดูกับตาไม่ได้ว่าที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่
เฉียวเวยยิ้มขำๆ พลางวางผ้ากลับลงบนแผงเหมือนเดิม เสร็จก็ปัดมือแล้วเดินออกไปอย่างผึ่งผาย
เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างหัวเสียว่า “เฮ่อ เจ้านี่นะ! ไม่ซื้อแล้วถามตั้งมากมายไปไย! ว่างมากหรือ!”
ปัง!
ร้านถูกทุบเสียแล้ว
ฝีมือไซน่าอิง
ไซน่าอิงทำหน้าดุดัน เล่นเอาเด็หนุ่มตกใจจนแม้แต่จะร้องให้คนช่วยก็ยังไม่กล้า
หลังจากนั้นเฉียวเวยเดินดูไปอีกหลายแผง ของตามแผงอย่างไรก็เทียบกับในร้านไม่ได้ ราคาก็หลากหลาย อย่างที่บอกกันว่าเมื่อไม่มีครั้งหน้าอย่างไรก็ต้องถูกหลอก ในเมืองที่ผู้คนเข้าออกทุกวันทั้งยังไม่ค่อยซ้ำหน้าเช่นนี้ อย่าได้หวังว่าพ่อค้าแม่ขายจะมีคุณธรรมเลย ถึงอย่างไรชั่วชีวิตของคนโดยมากก็ไม่มีทางรู้ว่าตนถูกหลอกอยู่แล้ว ต่อให้วันหนึ่งรู้สึกตัวขึ้นมาก็คงไปจากเมืองเฟยอวี๋นานแล้ว มีหรือจะลำบากกลับมาถึงเมืองเฟยอวี๋เพื่อเอาเรื่องที่โดนหลอกขายของปลอม
สุดท้ายเป็นไซน่าอิงที่พาเฉียวเวยเข้าไปในร้านผ้าแห่งหนึ่ง ร้านนี้มีผ้าไหมหลงเซียวชั้นดีอยู่ ลองลูบดูให้สัมผัสคล้ายกลีบดอกไม้ เบาและอ่อนนุ่มยิ่งนัก
เฉียวเวยซื้อไปสองพับ ไซน่าอิงเป็นคนควักกระเป๋าให้
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเขยิบเข้าไปหาจีหมิงซิวแล้วเอ่ยล้อเลียนว่า “ดูมันสิ แม้แต่ภรรยาก็ยังเลี้ยงดูแทนท่านแล้ว”
นั่นไม่ใช่ภรรยาเขาจริงๆ เสียหน่อย จีหมิงซิวมีหรือจะสนใจ
พอเดินซื้อของเสร็จ ไซน่าอิงก็พาทุกคนเดินย้อนกลับไปทางเดิม
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามด้วยความสงสัย “นี่เจ้าไซ พวกเรามาจากทางนั้นกันนะ เจ้าเดินผิดหรือไม่”
ไซน่าอิง “ไม่ได้ผิด โรงเตี๊ยมอยู่ทางนั้น”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเลยเดือดจัด “โรงเตี๊ยมอยู่ทางนั้นเหตุใดไม่รีบบอกเล่า ให้ข้าเดินตั้งไกลเช่นนี้ ขาจะหักอยู่แล้วเนี่ย!”
ไซน่าอิงไม่สนใจเยี่ยนเฟยเจวี๋ย หอบเอาของที่เฉียวเวยซื้อเดินเข้าโรงเตี๊ยมไป
โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีชื่อว่าโรงเตี๊ยมเฟยอวี๋ นับว่าเป็นโรงเตี๊ยมที่ใหญ่และหรูหราที่สุดในเมืองแห่งนี้ แน่นอนว่าโรงเตี๊ยมที่หรูหราที่สุดของเมืองนี้หากไปอยู่ในเมืองหลวงก็เป็นเพียงโรงสุราชั้นสามเล็กๆ เท่านั้น ด้านในมีลูกตาปลาปะปนกับไข่มุก คนประเภทใดก็มีทั้งสิ้น
คณะของพวกเขานอกจากจีหมิงซิวที่เป็นคุณชายตระกูลใหญ่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดแล้ว คนอื่นล้วนล้มลุกคลุกคลานค่ำไหนนอนนั้นกันมาในยุทธภพ พวกเขาไม่เรื่องมากกับสภาพความเป็นอยู่ แต่กระนั้นถึงแม้จะเป็นจีหมิงซิวที่ชีวิตสุขสบาย ระหว่างทางก็ไม่แสดงท่าทีรังเกียจรำคาญให้เห็นสักนิด เป็นที่น่าประทับใจยิ่งนัก
ไซน่าอิงบอกต้องการห้องสามห้อง จีหมิงซิวกับเฉียวเวยห้องหนึ่ง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับจีอู๋ซวงห้องหนึ่ง อี้เชียนอินกับเขาห้องหนึ่ง
ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมเอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “ห้องพวกนี้แขกเพิ่งออกไป ยังเก็บกวาดทำความสะอาดอยู่เลย พวกท่านกินอะไรในโถงนี้ก่อนดีหรือไม่ ไว้เก็บกวาดเรียบร้อยแล้วข้าค่อยให้พวกท่านขึ้นไปอีกที”
ไซน่าอิงบอกว่า “อย่าลืมให้อาหารม้าล่ะ”
ผู้ดูแลโรงเตี๊ยมยิ้ม “คุณลูกค้าโปรดวางใจ”
พวกเขามองหาโต๊ะใหญ่ริมหน้าต่างแล้วนั่งเป็นคู่ลงบนเก้าอี้ เฉียวเวยเหลือบมองอาหารโต๊ะข้างๆ อาหารที่นี่อย่างไรก็ไม่เหมือนกับเมืองหลวง ปริมาณน้อย ประณีตบรรจง เนื้อสัตว์หลักเป็นเนื้อกุ้งปูหอย
เสี่ยวเอ้อร์นำเสนออาหารขึ้นชื่อของที่ร้าน มีทั้งปูสดนึ่ง ลูกชิ้นกุ้งทอด ปลาเจี๋ยนน้ำแดงเป็นต้น ทั้งหมดเป็นอาหารทะเลซึ่งใครบางคนกินไม่ได้สักอย่าง
เฉียวเวยเหลือบมองจีหมิงซิวที่อยู่ข้างกายทีหนึ่ง ก่อนจะจัดการสั่งอาหารขึ้นชื่อที่เสี่ยวเอ้อร์แนะนำ ตามด้วยสั่งหมูเส้นผัดพริกกับไข่ตุ๋นเพิ่ม แต่ใครจะรู้ว่าไข่ตุ๋นที่ยกเข้ามาวางจะใส่กุ้งกับหอยสดๆ เนื้อแน่นเอาไว้ด้วย หมูเส้นผัดพริกก็รสชาติไม่ดีสักเท่าไร เนื้อผัดจนสุกเกินไป ซ้ำยังไม่เข้าเนื้อ
รสชาติอาหารขึ้นชื่อก็เป็นเช่นเดียวกัน เฉียวเวยไม่เลือกกิน หากเป็นคนอื่นที่เลือกกินแล้วกินอาหารบ้านตระกูลจีจนชิน มากินอาหารที่นี่คงคล้ายได้กินผักกินหญ้า
เฉียวเวยกินอิ่มแล้วก็วางตะเกียบ “ไซน่าอิง อาหารชนเผ่าลึกลับของเจ้าคงไม่กินยากเช่นนี้กระมัง”
ไซน่าอิงตอบ “ไม่มีทาง ชนเผ่าลึกลับมีพ่อครัวแม่ครัวฝีมือดีที่สุด อาหารรสเลิศกว่าอาหารในวังเป็นร้อยเท่า”
ดังนั้นเฉียวเวยจึงมีจินตนาการอันล้ำเลิศต่ออาหารของชนเผ่าลึกลับ
พอกินอาหารเสร็จ เสี่ยวเอ้อร์ของร้านก็นำพวกเขาขึ้นไปบนชั้นสอง ห้องของเฉียวเวยกับจีหมิงซิวอยู่ตรงกลาง ถ้าหันหน้าเข้าประตู ซ้ายมือจะเป็นห้องของไซน่าอิงกับอี้เชียนอิน ทางขวามือเป็นห้องของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับจีอู๋ซวง ซึ่งห้องของพวกเขาอยู่ใกล้บันไดมากกว่า
เสี่ยวเอ้อร์นำพวกเขาไปดูห้องเสร็จก็ถอยออกมาเอ่ยว่า “บ่าวอยู่ข้างล่างนี่เอง หากคุณลูกค้ามีอะไรจะเรียกใช้ ตะโกนลงไปเรียกหาอาหู่ได้เลย เดี๋ยวบ่าวขึ้นมาหาขอรับ”
ทุกคนพยักหน้า เสี่ยวเอ้อร์กลับลงไป
ทั้งหกแยกย้ายกันเข้าห้องของตน เฉียวเวยกับจีหมิงซิวก็เช่นเดียวกัน
ตลอดทางมานี้เพื่อไม่ให้เป็นการเผยพิรุธ เฉียวเวยจึงไม่กล้าพูดคุยกับจีหมิงซิวเท่าไรนัก พอเข้ามาในโรงเตี๊ยมก็ปูที่นอนลงพื้นอย่างรู้หน้าที่ ทำตัวสมกับเป็นลูกสมุนทุกอย่าง แต่เวลานี้มาถึงเมืองเฟยอวี๋แล้ว ต่อให้เขารู้ความจริงก็ไม่มีทางส่งนางกลับแน่
เมื่อคิดเช่นนี้เฉียวเวยจึงใจกล้าขึ้นมาทันที
จีหมิงซิวไปที่ห้องด้านข้างเพื่อหารือเรื่องบางอย่างกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยและจีอู๋ซวง พอกลับมาที่ห้องก็ได้เห็นเฟิ่งชิงเกอที่ลงนอนพักไปแล้ว นางไม่ได้นอนที่พื้นแต่นอนอยู่บนเตียงของเขา ไม่เพียงเท่านั้น นางยังแต่งกายเสียล่อแหลม เสื้อนอนตัวบางจ๋อย คอเสื้อต่ำลงไปถึงเนินอก เนินเนื้อที่เย้ายวนตาโผล่ให้เห็นรำไรๆ ผิวพรรณเนียนละเอียดราวผิวกระเบื้อง นางนอนตะแคงให้มือข้างหนึ่งรองศีรษะ หันหน้าไปทางประตู ดูยวนตายวนใจยิ่งนัก
จีหมิงซิวเพียงเหลือบมองเร็วๆ ทีหนึ่งก่อนสีหน้าจะบึ้งตึงลง “เฟิ่งชิงเกอ!”
เฉียวเวยเม้มปากกลั้นยิ้ม มองอีกฝ่ายอย่างใสซื่อ เลียนแบบวิธีการพูดอย่างออดอ้อนออเซาะของเฟิ่งชิงเกอ “เจ้าค่ะ นายน้อย”
จีหมิงซิวเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เหตุใดเจ้ายังใส่หน้ากากอยู่อีก”
ตามแผนเดิมตอนกลางวันเฟิ่งชิงเกอจะใส่หน้ากากเฉียวเวย พออยู่ในห้องก็ถอดออก แต่พอเป็นเฉียวเวยจึงกลายเป็นว่าตอนกลางวันไม่ต้องใส่ แต่พอกลับห้องค่อยใส่หน้ากากเฟิ่งชิงเกอ แต่คืนนี้นางไม่ได้ใส่ ยังคงเป็นหน้าของตนอยู่
จีหมิงซิวปรายตามองอีกฝ่ายเรียบๆ “ไปนอนที่ของเจ้านู่น”
เฉียวเวยเอ่ยเสียงหวานว่า “ที่ของข้าตรงใดกัน เวลานี้ตัวข้ากับนายน้อยเป็นสามีภรรยากัน สามีภรรยาไม่ใช่ว่าควรนอนเตียงเดียวกันหรอกหรือ”
ขมับของจีหมิงซิวเต้นตุบๆ “เฟิ่งชิงเกอ เจ้ากินยาผิดหรือไร”
“คนเขาแค่ไม่ได้พบเจอบุรุษมานาน เลยว่างเปล่าเปลี่ยวเหงาแล้วยังหนาวด้วย” เฉียวเวยพูดพลางทำหน้าทำตาประกอบ นางยื่นมือขาวผ่องของตนออกมาตบที่นอนข้างตัว บอกให้เขาเข้ามานอนที่นี่ “มาสิเจ้าคะนายน้อย ท่านเองก็ไม่ได้แตะต้องสตรีมานานแล้ว หรือท่านไม่นึกอยาก”
“เฟิ่งชิงเกอ เจ้าลงมาเดี๋ยวนี้นะ!”
เฉียวเวยไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง “ไม่ลง”
หากจะให้บอกว่าเหตุใดจีหมิงซิวถึงไม่แปลกใจกับพฤติกรรมของเฟิ่งชิงเกอ นั่นเป็นเพราะด้วยนิสัยที่แท้จริงของเฟิ่งชิงเกอ นางทำเรื่องเช่นนี้ได้จริงๆ เมื่อครั้งเฟิ่งชิงเกอได้พบกับจีหมิงซิวเป็นครั้งแรก จีหมิงซิวเพิ่งอายุได้สิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น เวลานั้นนางก็คิดไม่ซื่อ อยากใช้มนต์เสน่ห์ทำให้จีหมิงซิวมาเป็นของเล่นของตน แค่เพียงไม่สำเร็จเท่านั้น
แต่ถึงแม้จะไม่สำเร็จ แต่ด้วยความคิดสกปรกของนาง ก็ทำให้จีหมิงซิวไล่ล่าจะสังหารนางอยู่เป็นครึ่งค่อนปีทีเดียว นางทนรับไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงรับปากว่าจะจงรักภักดีต่อจีหมิงซิว ถึงได้รักษาชีวิตตนเองไว้ได้
หลายสิบปีมานี้นางกับจีหมิงซิวได้พบหน้ากันจริงๆ ไม่เกินสิบครั้ง ทุกครั้งล้วนสงบเรียบร้อยดีตลอด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางจะสงบเรียบร้อยไปตลอดชีวิต
“เฟิ่งชิงเกอ เจ้ารนหาที่ตายใช่หรือไม่” น้ำเสียงของจีหมิงซิวฟังดูไม่หวั่นไหวสักนิด
ในใจเฉียวเวยลอบยินดี แต่ปากกลับเอ่ยวาจาน่ารังเกียจว่า “ท่านไม่มีทางทำอะไรข้าแม้เพียงปลายก้อยกระมัง ท่านยังหวังจะให้ข้าเอาใบหน้านี้ไปถึงชนเผ่าลึกลับเพื่อหลอกแม่ยายของท่านอยู่ หากข้าเป็นอะไรไป แผนของท่านก็คงล่มไม่เป็นท่า”
จีหมิงซิวมองอีกฝ่ายเรียบๆ “นี่เจ้ากำลังข่มขู่ข้า?”
เฉียวเวยปัดปรอยผมตรงหน้าผากออกไป ระบายยิ้มมีเสน่ห์ “จะข่มขู่ได้อย่างไร ข้าเพียงวิเคราะห์ผลดีผลเสียแทนนายน้อยก็เท่านั้น หรือว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ลูกน้องชั้นดีควรทำ ข้ายังช่วยคลายความเปลี่ยวเหงาให้นายน้อยได้ด้วย ลูกน้องที่ดีเลิศเช่นนี้ ต่อให้นายน้อยจุดโคมขอพรก็ยังหาคนที่สองไม่ได้ ค่ำคืนในฤดูใบไม้ผลินั้นสั้นนัก นายน้อยอย่าได้เสียเวลาอีกเลย มาสิ~”
เฉียวเวยพูดพลางโน้มตัวลงเล็กน้อย กระต่ายน้อยคู่งามสั่นไหวอย่างซุกซนจนเกือบจะกระโดดออกมาจากอกเสื้อ
จีหมิงซิวเลิกคิ้ว เบือนหน้าหนี หันไปหอบเอาผ้าห่มลงมาปูกับพื้น ใช้ตัวหมุนผ้าห่มจนม้วนรอบตัว!
เฉียวเวยยิ้มอย่างได้ใจ หลับตาลงแล้วหลับไปบ้าง
ที่ห้องด้านข้าง อี้เชียนอินยกเก้าอี้ไปนั่งอยู่หลังประตู ไซน่าอิงพลิกตัวขึ้นนั่ง อี้เชียนอินเผยอเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย ถามอย่างเฉยเมยว่า “จะไปไหนหรือใต้เท้าไซน่าอินชง ข้าขอเตือนไว้ก่อน ดึกดื่นเช่นนี้อย่าคิดหนีออกไปเล่นลูกไม้อะไรเชียว ข้าจับตาดูเจ้าอยู่”
“ข้าจะกินน้ำ!” ไซน่าอินเดินไปที่โต๊ะ รินชาแล้วกระดกจนหมดถ้วย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับจีอู๋ซวงนอนอยู่บนเตียงด้วยกันทั้งคู่ เพียงแค่ผ้าห่มผืนหนึ่ง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยแย่งไปห่มเองกว่าครึ่ง จีอู๋ซวงดึงผ้าห่มมา เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ดึงกลับไปอีก จีอู๋ซวงเลยถีบเขาให้ทีหนึ่ง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหลบ เขาก็ถีบอีก เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็หลบอีกจนตัวเข้าไปติดกำแพง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเลยถลึงตาใส่ “เจ้าอยากมีเรื่องใช่ไหมนี่”
จีอู๋ซวงแย่งผ้าห่มกลับมา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็แย่งกลับไป
จีอู๋ซวงยกเท้าขึ้น เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยเสียงเข้ม “ถ้ายังถีบอีกเตียงจะพังแล้วนะ”
พอสิ้นเสียงเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ได้ยินเสียงดังโครม แล้วเตียงก็พังลงจริงๆ…
เสี่ยวเอ้อร์ของร้านแบกเตียงหลังใหม่ขึ้นมาให้ พลางมองทั้งสองด้วยสายตาประหลาดคล้ายกำลังบอกว่า “ดูไม่ออกเลยนะว่าท่านสองคนรุนแรงกันน่าดู”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยิ้มชั่วร้าย “ข้าเป็นคนอยู่ข้างบน”
จีอู๋ซวงโกรธจัด! ไล่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตั้งแต่ชั้นสองจนลงมาถึงชั้นหนึ่ง…
ค่ำคืนอันวุ่นวายในที่สุดก็ผ่านไปเสียที ท้องฟ้าเริ่มสว่างรำไร เฉียวเวยตื่นจากหลับฝัน นางไม่มีปัญหาเรื่องการนอนผิดที่ อยู่ที่ไหนก็หลับสนิทได้ทั้งสิ้น เมื่อคืนยังฝันถึงเด็กน้อยทั้งสองอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นค่ำคืนที่ฝันดี นางจึงตื่นมาด้วยความสดชื่นแจ่มใส นางยืดเอวบิดขี้เกียจ มองไปยังจีหมิงซิวที่อยู่บนพื้น
จีหมิงซิวก็เพิ่งตื่นเช่นกัน เขาผลักผ้าห่มออกลุกขึ้นนั่ง นวดศีรษะที่มึนงงเล็กน้อย
เฉียวเวยยิ้มกริ่ม “อรุณสวัสดิ์ นายน้อยเล็ก”
นายน้อย…เล็ก?