หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 267-1 คำพิพากษาของทั้งเผ่า พี่น้องหวนคืนบ้าน
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 267-1 คำพิพากษาของทั้งเผ่า พี่น้องหวนคืนบ้าน
ตอนที่ 267-1 คำพิพากษาของทั้งเผ่า พี่น้องหวนคืนบ้าน
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งสีหน้าชะงักค้าง
ว่ากันตามตรง นางจำหีบใบนี้ได้ มันคือหีบไม้ที่ตำหนักธิดาเทพใช้ใส่ของกระจุกกระจิก แต่นางไม่รู้ว่าด้านในบรรจุสิ่งใดไว้ มันถูกเพียงพอนน้อยตัวหนึ่งโยนโครมลงหน้าตนเอง แทนที่จะบอกว่าหวาดกลัว มิสู้บอกว่ารู้สึกประหลาดใจเสียมากกว่า
เสี่ยวไป๋กระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ มันหอบแฮ่กๆ จากนั้นก็คว้าถ้วยน้ำของเฉียวเวยขึ้นมาดื่มอึกๆ
ผู้อาวุโสใหญ่มองอย่างตกตะลึง
สายตาของเฉียวเวยกวาดมองหีบรอบหนึ่งจากนั้นเลื่อนมาจับจ้องใบหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่ง นางยิ้มละไมเอ่ยขึ้นว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งนิ่งสงบเช่นนี้ เกรงว่าคงจะยังไม่รู้ว่าด้านในบรรจุสิ่งใดไว้กระมัง”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งมองรอยยิ้มมีเลศนัยของเฉียวเวย หัวใจพลันกระตุกขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ คงไม่ใช่ว่า…สิ่งที่บรรจุอยู่ด้านในหีบคือแมลงกู่ขับขานราตรีกระมัง
ไม่ เป็นไปไม่ได้ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกทำงานไว้ใจได้ที่สุดในหมู่สตรีศักดิ์สิทธิ์ห้าคนที่เหลือ ในเมื่อนางบอกว่าจัดการแมลงกู่ขับขานราตรีแล้ว ถ้าเช่นนั้นย่อมหมายความว่าจัดการแล้วจริงๆ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งครุ่นคิดในใจจบก็สงบใจได้ นางเชิดคาง เอ่ยเสียงดังชัดเจนด้วยท่าทางสง่างาม “จั๋วหม่าน้อยไม่ต้องทำท่าลึกลับ ข้าวของจากตำหนักธิดาเทพของข้า เจ้าเอาไปมากพอแล้ว”
ผู้อาวุโสใหญ่ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง คำพูดนี้ของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งหมายความว่าอย่างไร จั๋วหม่าน้อยเคยเอาสิ่งใดจากตำหนักธิดาเทพไปหรือ แล้วตั้งแต่เมื่อใด เหตุไฉนเขาจึงไม่รู้เรื่อง
เฉียวเวยไม่กลัวว่านางจะแฉความลับของตนเอง ตอนนี้นางมีเหตุผลนับร้อยประการที่จะทำให้ตัวเองรอด แต่ตำหนักธิดาเทพนั้นไม่แน่ นางยิ้มอย่างมีเลศนัย “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งรู้ดีที่สุดว่าเหตุใดข้าจึงเอาของเหล่านั้นไป ข้าทำเพื่อตำหนักธิดาเทพแท้ๆ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งว่าอย่างไรเล่า”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งด่านางว่าเจ้าเล่ห์ในใจหนึ่งคำแล้วหันหน้าหนีอย่างบึ้งตึง ไม่สนใจเฉียวเวยอีก เฉียวเวยยั่วโมโหคนเก่งเกินไปแล้วจริงๆ หากคอยสนใจนางต่อ ไปๆ มาๆ นางกลัวว่าตนเองจะควบคุมความโกรธต่อหน้าผู้อาวุโสใหญ่ไม่ได้
เฉียวเวยกลับไม่ให้โอกาสนางคลายโทสะสักนิด นางลุกขึ้นเดินมาข้างหีบ แล้วถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย “ในเมื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งไม่กล้าเปิด ถ้าเช่นนั้นข้าเปิดแทนก็แล้วกัน”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งแววตาแข็งกร้าว “อะไรคือข้าไม่กล้าเปิด”
เฉียวเวยรั้งมือที่เอื้อมไปหาหีบกลับมา “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เปิด”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งมองเฉียวเวยอย่างเย็นชา “เจ้ากำลังสั่งสตรีศักดิ์สิทธิ์”
“ข้ารับไม่ได้กับพวกคนใจคดอย่างพวกเจ้าจริงๆ!” เฉียวเวยเปิดฝาหีบ ด้านในมีกล่องไม้ใบน้อยขนาดเท่าไข่ไก่อยู่นับไม่ถ้วน
พริบตาที่เห็นกล่องไม้ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งก็หน้าถอดสี
เฉียวเวยสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของนางก็เลิกคิ้วขยับยิ้ม “โอ๊ะ ในที่สุดสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็จำได้แล้วหรือ”
มือที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อกว้างของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งสั่นเทา เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ กำจัดไปแล้วไม่ใช่หรือ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหกที่อยู่ตรงโถงทางเดินก็มองตาค้างเช่นเดียวกัน นางเห็นศิษย์ทั้งหลายขนหีบไปทำลายในหุบเขากับตาแล้วแท้ๆ นางมาแจ้งข่าวกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งหลังจากหีบสามใบสุดท้ายถูกขนออกไป หลังจากนางมาส่งสัญญาณ การค้นหาถึงเริ่มต้น นั่นไม่ทันกาลแล้วแน่ๆ แต่เหตุไฉน…หีบจึงมาปรากฏที่นี่อีก
สายตาของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกตวัดฉับไปยังเสี่ยวไป๋
เสี่ยวไป๋แลบลิ้นใส่
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกกำหมัด เจ้าตัวน้อยตัวนี้ทำลายเรื่องดีงามของนาง!
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกเงื้อมือขึ้น นางรีดเค้นกำลังภายใน ตั้งใจจะฟาดฝ่ามือใส่เสี่ยวไป๋ แต่ทันใดนั้นเฉียวเวยก็หันหลังกลับมามองโถงทางเดินข้างตำหนักแล้วพูดขึ้นมาว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหก แอบฟังอยู่หลังกำแพงเหนื่อยหรือไม่ อยากรู้อะไรก็ออกมาดูเลยสิ ไม่มีผู้ใดห้ามเจ้าดูสักหน่อย ใช่หรือไม่สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่ง”
ตอนเอ่ยประโยคสุดท้าย นางก็อมยิ้มพลางเลื่อนสายตามาจับจ้องใบหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งอีกหน สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ช่างขัดหูขัดตายิ่งนัก แต่สิ่งที่ขัดหูขัดตาที่สุดก็คือของในหีบ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกเยื้องย่างเข้ามา เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเฉกเช่นปกติ “เมื่อครู่ข้าเดินผ่านมา ได้ยินว่าผู้อาวุโสใหญ่กับจั๋วหม่าน้อยมาเยือนจึงตั้งใจมาดูสักหน่อย จั๋วหม่าน้อยเข้าใจผิดแล้ว”
เฉียวเวยยิ้มจางๆ “เข้าใจอะไรเจ้าผิด เข้าใจผิดว่าเจ้าแอบฟังหรือ เจ้าอยู่ตรงนั้นตั้งหนึ่งเค่อแล้วแต่ไม่ยอมเผยตัวออกมา ไม่ใช่แอบฟัง หรือจะบอกว่าเจ้าตัวติดอยู่กับกำแพงกันเล่า”
สาวน้อยคนนี้! ประกายเย็นยะเยือกฉายวาบลึกลงไปในดวงตาของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หก ทำให้คนที่สุขุมเสมออย่างนางเดือดดาลได้เช่นนี้ มิน่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับสามกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งถึงทำอะไรนางไม่ได้
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกกดความโกรธลงไป นางไม่โต้เถียงกับเฉียวเวย แต่สะบัดแขนเสื้อทีหนึ่งแล้วไปนั่งข้างสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “ทำอีท่าไหนกัน เจ้าบอกว่ากำจัดหมดแล้วไม่ใช่หรือ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกวางสีหน้าเรียบเฉยตอบว่า “ข้าเห็นพวกนางขนสามหีบสุดท้ายเข้าไปในหุบเขาแล้วจึงมาแจ้งท่าน จะรู้ได้อย่างไรว่าจะกลายเป็นเช่นนี้ ประเดี๋ยวไม่ว่าพวกเขาจะพูดอย่างไร ไม่ยอมรับก็พอแล้ว”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งกะพริบตาเบาๆ
เฉียวเวยหยิบกล่องใบน้อยขึ้นมาใบหนึ่งแล้วเดินไปตรงหน้าผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสใหญ่ขยับตัวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ไม่ต้องกลัว ท่านมีแมลงกู่อยู่ในร่างแล้ว มันไม่ไปแย่งอาณาเขตของสหายของมันหรอก”
ถึงอย่างไรหัวใจของผู้อาวุโสใหญ่ก็ขนลุกซู่อยู่ดี
เฉียวเวยเปิดกล่องออก ประกายแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมาเหมือนจะกระโดดเข้าหาข้อมือของเฉียวเวย แต่ถูกเสี่ยวไป๋ตวัดกรงเล็บตะปบ กดไว้บนโต๊ะเสียก่อน
เฉียวเวยบอกผู้อาวุโสใหญ่ “นี่ก็คือแมลงกู่ขับขานราตรี ผนึกไว้กับหญ้าพิษสิบแปดชนิดเป็นเวลาสี่สิบเก้าวันจึงถือกำเนิด แม้มันจะมีชื่อว่าแมลงกู่ขับขานราตรี แต่มันกลับส่งเสียงร้องไม่ได้ คนธรรมดาล้วนเลี้ยงแมลงกู่ชนิดนี้ไม่รอด ก็ไม่รู้ว่าตำหนักธิดาเทพได้สูตรลับสืบทอดมาจากที่ใด บางที…อาจจะขโมยวิธีการที่โหราจารย์ในอดีตบันทึกไว้มาใช้”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “จั๋วหม่าน้อย พวกข้าฟังไม่เข้าใจสักนิดว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร แมลงกู่ขับขานราตรีอะไร วิธีลับที่ถ่ายทอดมาอะไรนั่นล้วนไม่เกี่ยวข้องกับตำหนักธิดาเทพทั้งสิ้น ในตำหนักธิดาเทพนอกจากศิษย์น้องสี่ของข้าที่เลี้ยงแมลงกู่ตัวน้อยสิบกว่าชนิดเป็นงานอดิเรก อย่างอื่นพวกข้าไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นทั้งสิ้น”
เฉียวเวยยิ้มจางๆ “หลักฐานแน่นหนา แต่สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งยังจะดื้อแพ่งไม่ยอมรับให้ได้สินะ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งแค่นเสียงหยัน “สัตว์เลี้ยงของเจ้าขนหีบใบหนึ่งมามั่วๆ แล้วจะใส่ร้ายป้ายสีตำหนักธิดาเทพ บอกว่าเป็นแมลงกู่ของตำหนักธิดาเทพ จะรังแกกันมากเกินไปกระมัง”
เฉียวเวยยิ้มเอื่อยเฉื่อย “หีบที่ขนมามั่วๆ หรือ สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งอยากจะลองหาหีบสักใบสองใบมาเทียบกันดูหรือไม่ ดูกันว่าเป็นของตำหนักธิดาเทพของพวกเจ้าหรือไม่”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งตอบด้วยสีหน้านิ่งสงบ “หีบหน้าตาแบบนี้เป็นหีบที่พวกข้าให้คนสั่งทำมาจากข้างนอก พวกเขาทำให้พวกข้าได้ ก็ย่อมทำให้ผู้อื่นได้ หากมีใครสักคนต้องการหีบไม้ที่หน้าตาเหมือนกับของตำหนักธิดาเทพทุกประการไยมิใช่เรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง”
ชิชะ ปากแข็ง ปากแข็งจริงนะ!
เฉียวเวยปัดฝุ่นบนฝ่ามือ “ดูท่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหนึ่งไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนปกติ “สัตว์เลี้ยงของเจ้าเข้าออกตำหนักธิดาเทพได้ดังใจ ผู้ใดจะรู้ว่า เจ้าตระเตรียมการใส่ร้ายตำหนักธิดาเทพไว้ล่วงหน้าหรือไม่”
ผู้อาวุโสใหญ่มองจั๋วหม่าน้อย แล้วหันไปมองสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง สุดท้ายสายตาก็จับบนแมลงกู่ตัวน้อยสีดำวาววับตัวนั้น ชั่วขณะนั้นเขาไม่รู้ว่าสมควรจะเชื่อผู้ใดดี จะโทษว่าเขาไม่ยอมเชื่อใจเฉียวเวยก็คงไม่ได้ ตำหนักธิดาเทพสั่งสอนชนเผ่าถ่าน่ามาเนิ่นนานนักจริงๆ ในใจของชาวเผ่าบนเกาะทุกคน ตำหนักธิดาเทพก็คือตัวตนที่เสมือนกับเทพเจ้า หนนี้หากไม่เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของคนทั้งเกาะ เขาก็คงไม่มาค้นตำหนักธิดาเทพเช่นนี้
เฉียวเวยเข้าใจดีว่าสิ่งที่ตนเองกำลังท้าทายอยู่ไม่ใช่แค่ตำหนักธิดาเทพ แต่เป็นความศรัทธาของผู้คนทั้งเกาะ ดังนั้นนางจึงเข้าใจที่ผู้อาวุโสใหญ่คลางแคลง ทว่าความถูกต้องก็คือความถูกต้อง ความชั่วร้ายก็คือความชั่วร้าย หมาป่าสวมหนังแกะได้แนบเนียนอีกเท่าใด สุดท้ายก็ต้องถูกคนถอดออกมาในสักวันหนึ่ง ถึงจะไม่มีผู้ใดเชื่อว่าหมาป่าตัวหนึ่งจะปลอมตัวเป็นแกะ แต่เมื่อหนังแกะถูกดึงออกมาจนเห็นตัวหมาป่า ก็ย่อมไม่มีผู้ใดยังจะเชื่ออยู่ว่าสิ่งที่ตนเองเห็นอยู่คือแกะตัวหนึ่ง
พูดให้ตรงไปตรงมาก็คือต้องมีหลักฐาน
เฉียวเวยยิ้มจางๆ นางยื่นปลายนิ้วขาวผ่องดุจต้นหอมออกมาลูบบนหีบ จากนั้นถูปลายนิ้ว แล้วยกมาดมตรงปลายจมูก “นี่เหมือนจะเป็นขี้ผึ้งเหลว น่าแปลกนะ หากข้าเป็นคนขนหีบใบนี้มาใส่ร้ายพวกเจ้า ข้าจะทาขี้ผึ้งเหลวไว้ทำอะไร แล้วดูจากขี้ผึ้งเหลวที่จับเป็นชั้นไม่สม่ำเสมอ ดูท่าว่าคงจะเป็นการสาดใส่ ข้าจะใส่ร้ายพวกจ้า ขนหีบแมลงกู่มาก็พอแล้ว เหตุใดต้องสาดขี้ผึ้งเหลวเพิ่มไปอีกชั้นหนึ่งด้วเยล่า”
แววตาของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งวูบไหว “เรื่องนี้ก็ต้องถามตัวเจ้าแล้ว พวกข้าจะรู้ความคิดของเจ้าได้อย่างไร”
เฉียวเวยไม่ยอมถูกนางจูงจมูก นางยิ้มบางแล้วโต้ว่า “พวกเจ้ากลัวว่าตัวเองจะถูกเปิดโปง ดังนั้นจึงรีบเผาแมลงกู่ทั้งหมดใช่หรือไม่ เพียงแต่ว่าต่อให้คิดคำนวนพันหมื่นหน พวกเจ้าก็คงคิดไม่ถึงว่าระหว่างที่พวกเจ้ากำลังถ่วงเวลาอยู่ด้านนี้ เจ้าตัวน้อยทั้งหลายของบ้านข้าจะจับตาทุกการกระทำของพวกเจ้าอยู่”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหกที่อยู่ด้านข้างเปิดปาก นางยิ้มไม่แสดงทีท่าว่าตอบรับหรือปฏิเสธ “จั๋วหม่าน้อยแต่งเรื่องเก่งปานนี้ เหตุใดไม่ไปเป็นนักเล่านิทานในโรงน้ำชาเลยเล่า”
“สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหก” ผู้อาวุโสใหญ่หน้าบึ้ง ไม่ว่าอย่างไร อีกฝ่ายก็เป็นจั๋วหม่าน้อยของชนเผ่าถ่าน่า จะมาเหน็บแนมนางเช่นนี้ได้อย่างไร
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกมองเฉียวเวยด้วยสายตาเรียบเฉยแล้วไม่พูดต่อ
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “ผู้ใดกำลังแต่งเรื่องอยู่กันแน่ อีกประเดี๋ยวก็จะได้รู้กัน”
เฉียวเวยเพิ่งเอ่ยจบไม่นาน องครักษ์ของสำนักผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งก็คุมตัวศิษย์หญิงทั้งสามนางเข้ามาในห้องโถง พริบตาที่เห็นลูกศิษย์ สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็เบิกตาค้างไปวูบหนึ่ง เพราะสามคนนี้มิใช่ใครอื่น แต่เป็นลูกศิษย์ของนาง…ที่รับผิดชอบเผาทำลายแมลงกู่ขับขานราตรีในหนนี้!
“ผู้อาวุโสใหญ่” องครักษ์หน้าทรงสี่เหลี่ยมที่เป็นหัวหน้าคำนับแล้วรายงานว่า “พวกข้าพบศิษย์หญิงสามนางนี้อยู่ในหุบเขาด้านหลังตำหนัก ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่รู้ว่ากำลังเผาอะไรอยู่จึงจับตัวพวกนางมา ของถูกเผาไปพอประมาณแล้ว พวกเราจึงแย่งมาได้เพียงไม่กี่กล่องเท่านั้น”
มือของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งกำหมัด หลุดปากโพล่งออกไปอย่างแทบจะไม่รู้ตัว “พวกเจ้าเดินผ่านหุบเขาไปได้อย่างไร”
ดอกไม้ใบหญ้าในหุบเขาแห่งนั้นมีพิษทำให้คนเกิดภาพหลอนอันน่ากลัว คนทั่วไปพลัดพลงเข้าไปบ้างตกใจกลัวจนป็นบ้า บ้างกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือนก็มี นี่จึงเป็นสาเหตุที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกเห็นศิษย์ทั้งหลายขนหีบเข้าไปในหุบเขาแล้วจึงวางใจกลับมารายงาน เพราะนอกจากพวกนางแล้วไม่มีผู้ใดรู้ว่าต้องเดินอย่างไรจึงจะหลบเลี่ยงดอกไม้ใบหญ้าที่มีพิษเหล่านั้นได้ ต่อให้องครักษ์ค้นพบความผิดปกติก็เดินผ่านหุบเขาเข้าไปไม่ได้ เมื่อองครักษ์กลับมาขอกำลังเสริม แมลงกู่ในหีบก็คงถูกเผาจนไม่เหลือแม้แต่แศษซากแล้ว
องครักษ์หน้ารูปสี่เหลี่ยมตอบว่า “เพียงพอนเมฆาตัวหนึ่งนำทางพวกเราเข้าไป”
เพียงพอนเมฆา!
กำปั้นของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งส่งเสียงดังกรอด
เฉียวเวยมองนางอย่างขบขัน “สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง จุดที่เจ้าให้ความสำคัญเหมือนจะไม่ถูกต้องนักนะ แต่ก็ไม่เป็นอะไร ครานี้หลักฐานแน่นหนาจริงๆ แล้ว ต่อให้เจ้าเผยไต๋ออกมาเพิ่มอีกหน่อยก็ไม่ส่งผลอะไรแล้ว”
“เจ้า…” ความโกรธแล่นขึ้นมาจุกอกของสตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่ง
เฉียวเวยหยิบกล่องน้อยมาจากมือขององครักษ์ จากนั้นเปิดออกให้ผู้อาวุโสใหญ่ดู ด้านในคือแมลงกู่ขับขานราตรีจริงๆ หนนี้ตำหนักธิดาเทพแถไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
หัวใจของผู้อาวุโสใหญ่ผิดหวังจนมิอาจใช้ถ้อยคำใดมาพรรณนาได้ “เหตุใด…เหตุใดพวกเจ้าต้องทำเช่นนี้ พวกเราเคารพพวกเจ้าเป็นบุตรีแห่งองค์เทพมาตลอด พวกเจ้า…”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งกดความตระหนกลนลานในหัวใจ จากนั้นอธิบายด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อน “ผู้อาวุโสใหญ่ พวกเราปิดบังเรื่องแมลงกู่ขับขานราตรีก็จริง แต่ตำหนักธิดาเทพไม่เคยใช้แมลงกู่กับพวกเจ้า ความจริงแล้วพวกข้าเลี้ยงแมลงกู่ขับขานราตรีไว้มากมายเช่นนี้…เพื่อใช้ปรุงยา แมลงกู่ขับขานราตรีมีสรรพคุณในการรักษาอาการบาดเจ็บภายในและเพิ่มกำลังภายใน”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “เมื่อครู่ยังบอกอยู่ว่าไม่ได้เลี้ยง เหตุไฉนพริบตาเดียวก็เปลี่ยนคำพูดแล้วเล่า”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งสะอึก สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกกุมมือของนางแล้วเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ผู้คนมักจะมีอคติต่อแมลงกู่ คิดว่าการเลี้ยงแมลงกู่เป็นศาสตร์นอกรีต พวกข้าเกรงว่าหากเล่าลือออกไปจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็น จึงต้องปากแข็งไม่ยอมรับก็เท่านั้น”
เฉียวเวยตอบว่า “บนเกาะ นอกจากพวกเจ้าก็ไม่มีผู้ใดเคยเลี้ยงแมลงกู่ชนิดนี้อีก หากพวกเจ้าไม่ใช่คนที่ใส่แมลงกู่ในร่างของผู้คนบนเกาะ ถ้าเช่นนั้นจะเป็นผู้ใดเล่า”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกหันมามองเฉียวเวย “ผู้ใดบอกว่าผู้คนในเกาะถูกใส่แมลงกู่ไว้ในร่าง จั๋วหม่าน้อย เจ้าอย่ากล่าวเหลวไหลให้ผู้คนหวาดกลัว”
เฉียวเวยสบสายตานางอย่างไม่หวาดกลัวสักนิด “หากตำหนักธิดาเทพไม่ได้ใส่แมลงกู่ในร่างพวกเขา เหตุใดพวกเขาต้องดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ทุกระยะเวลาที่กำหนด ออกจากเกาะก็ยังต้องตุนน้ำศักดิ์สิทธิ์ไว้ พอรู้สึกไม่สบายดื่มสักคำสองคำก็บรรเทาอาการได้ชะงัด”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หนึ่งตอบทั้งที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “ยามนั้นเผ่าของพวกเราถูกเข่นฆ่า องค์เทพคุ้มครองพวกเราให้ตามหาเกาะนิรนามแห่งนี้พบ ขอเพียงอยู่บนเกาะก็จะไม่มีผู้ใดทำอะไรพวกเราได้ การที่ผู้คนออกจากเกาะไม่ได้เป็นพระประสงค์ขององค์เทพเพื่อปกป้องลูกหลานของพระองค์ให้ดียิ่งขึ้น ทุกสิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับแมลงกู่ขับขานราตรีแต่อย่างใด การดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นการหยิบยืมพลังแห่งองค์เทพ ไม่ใช่เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดจากแมลงกู่”
“เจ้าดูซิ ปากของพวกเจ้าเหตุใดจึงแข็งเช่นนี้กันนะ” เฉียวเวยเกือบยอมนางปีศาจเฒ่าฝูงนี้แล้ว ดื้อแพ่งไม่ยอมรับเก่งอย่างนี้ ต่อให้ตกงานก็ยังหาข้าวกินประทังชีวิตได้
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับหกเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไม่เชื่อก็หาหมอมาตรวจดู ดูซิว่าทุกคนมีแมลงกู่ในตัวจริงหรือไม่” หากแมลงกู่ขับขานราตรีถูกตรวจพบได้ง่ายดายเช่นนั้น ก็คงหนีการตรวจพบมาไม่ได้เนิ่นนานปานนี้ ด้วยเหตุนี้สตรีศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่หกจึงเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าเฉียวเวยไม่มีทางตรวจพบร่องรอยเบาะแสอันใดออกมาได้
แมลงกู่ขับขานราตรีมหัศจรรย์ก็ตรงที่จุดนี้ หมอตรวจหาพวกมันไม่พบ ทว่าหมอตรวจหาไม่พบ ไม่ได้หมายความว่าเฉียวเวยจะหาไม่พบ
เฉียวเวยล้วงไข่มุกเม็ดหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อ
ทุกคนจับจ้อง ไข่มุกจันทร์กระจ่าง?
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้นว่า “ไข่มุกจันทร์กระจ่างใช้หาแมลงกู่ขับขานราตรีได้ คิดไม่ถึงล่ะสิ ตอนที่ตำหนักธิดาเทพขโมยแมลงกู่ขับขานราตรีไปจากตำหนักโหราจารย์ คงคิดว่านับจากนั้นจะนอนหลับสบายไร้กังวลแล้วใช่หรือไม่ ก่อนสิ้นใจท่านโหราจารย์มอบไข่มุกเม็ดนี้แก่ตระกูลเฮ่อหลัน ยามนั้นตระกูลเฮ่อหลันยังไม่ใช่หัวหน้าเผ่า ท่านโหราจารย์คงทำนายเห็นรัศมีราชาของตระกูลเฮ่อหลันแล้ว จึงมอบไข่มุกจันทร์กระจ่างเม็ดนี้ให้ประมุขของตระกูลเฮ่อหลัน ตอนนี้นึกย้อนดูแล้ว ท่านโหราจารย์ช่างคาดการณ์ได้ไม่ผิดเลยจริงๆ”
ผู้อาวุโสใหญ่อึ้ง ไข่มุกจันทร์กระจ่างไม่ใช่ของที่จั๋วหม่าน้อยหาพบจากในพงไพร แต่เป็นสมบัติที่ตกทอดกันมาในตระกูลเฮ่อหลันหรือ
เฉียวเวยเหลือบมองผู้อาวุโสใหญ่ ดวงตาทรงเมล็ดซิ่งเบิกกว้าง “ข้าหาพบจริงๆ นะ! ท่านตาของข้าโยนไข่มุกทิ้งลงไปในหุบเหว ข้าหาพบเพราะข้ามีวาสนา! ไม่อย่างนั้นเหตุใดเจ้าตัวปลอมคนนั้นจึงหาไม่พบเล่า ข้าก็เพิ่งทราบความจริงเมื่อวานเหมือนกัน อย่ามองข้าด้วยสายตาประหลาดอย่างนั้น!”
ผู้อาวุโสใหญ่กระแอม “เล่าต่อสิ”
เฉียวเวยเอ่ยต่อ “หากไข่มุกเม็ดนี้เข้าใกล้แมลงกู่ขับขานราตรีมันจะเรืองแสงสีขาว ผู้อาวุโสใหญ่ให้คนหาห้องมืดสักแห่งลองดู ข้าไม่มีแมลงกู่ในร่าง สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายก็น่าจะไม่มี ผู้อาวุโสใหญ่ไม่สู้ให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายลองดูก่อน หากสตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ร่วมมือก็ไม่เป็นอะไร คนในเมืองน้อยแห่งนั้นก็ไม่เคยมีผู้ใดสักคนได้ทำพิธีรับขวัญกับตำหนักธิดาเทพ ผู้อาวุโสใหญ่เอาพวกเขามาลองดูก็เหมือนกัน”