หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 275-2 เสี้ยวหนึ่งของความจริง
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 275-2 เสี้ยวหนึ่งของความจริง
ตอนที่ 275-2 เสี้ยวหนึ่งของความจริง
ตอนอาศัยอยู่ในเผ่าถ่าน่า หมิงเยี่ยใช้ชีวิตตัดขาดจากดินแดนจงหยวน บนเกาะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ชาติกำเนิดของเขา ดังนั้นหากเขาทราบว่าตนเองเป็นลูกหลานของตระกูลจี ถ้าเช่นนั้นเขาก็ต้องทราบตั้งแต่ก่อนเดินทางไปที่เกาะ
“เติบโตมาโดยที่มีเรื่องชาติกำเนิดฝังอยู่ในใจ ลำบากเด็กคนนั้นแล้วจริงๆ” ฮ่องเต้ถอนหายใจ แล้วตรัสว่า “ในเมื่อคนผู้นั้นวางยาหมิงเยี่ยที่ตระกูลจี ก็บ่งบอกได้ว่าเขาเคยไปตระกูลจี หากเขาไม่ได้ลงมือเองก็ต้องซื้อบ่าวในตระกูลจีให้ลงมือ ไม่ว่าตัวเขาเองหรือบ่าวผู้นั้น อย่างไรก็ต้องเป็นคนที่มีโอกาสได้แตะต้องหมิงเยี่ย เจ้าเริ่มต้นสืบจากเรื่องนี้ได้“
จีหมิงซิวพยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนั้น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าคนผู้นี้จะเป็นคนที่พวกเรารู้จัก”
อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็นั่งอยู่ในตำแหน่งนี้มาหลายปี ยามใคร่ครวญปัญญาย่อมรอบคอบกว่าคนธรรมดาทั่วไป “หากไม่ใช่ว่าคนผู้นั้นตายไปแล้ว ก็ต้องหาตัวเขาออกมาให้จงได้ เขาเคยคิดจะใช้หมิงเยี่ยแต่ไม่สำเร็จ วันนี้หมิงเยี่ยกลับมาแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะยังหมายตาหมิงเยี่ยอีกหรือไม่”
…
ใกล้เวลาเที่ยง บ้านชิงเหลียนจัดการงานอันวุ่นวายของยามเช้าเสร็จแล้ว เยียนเอ๋อร์ยกอาหารปรุงสดใหม่ไปส่งที่ห้องของใต้เท้าเจ้าสำนัก
ใต้เท้าเจ้าสำนักเห็นนางขัดตาจึงไล่นางออกไปจากห้อง
เรือนลั่วเหมยส่งคนมาเชิญเขาไปร่วมทานอาหารสามหน แต่ถูกใต้เท้าเจ้าสำนักปฏิเสธทั้งหมด
นี่ไม่ใช่เพราะใต้เท้าเจ้าสำนักเล่นตัว แต่เพราะจีหมิงซิวไปประชุม นางยักษ์ไปมอบของขวัญ เจ้าซาลาเปาน้อยสองคนก็ไปเล่นกับเหล่าไท่ไท่ เรือนหลังใหญ่โตไม่มีคนคอยคุมเขาสักคน หากไม่หนีตอนนี้แล้วยังจะรอเวลาใดอีก!
ใต้เท้าเจ้าสำนักอุ้มหีบของตนออกมาจากใต้เตียง เขาขอบคุณเหล่าไท่ไท่ที่เรียกเจ้าตัวน้อยสองคนไปตั้งแต่เช้า ตอนนี้พวกเขาจึงยังไม่รู้ตัวว่าของของตนเองหายไป
สวรรค์ช่วยเขาแล้ว!
ใต้เท้าเจ้าสำนักยิ้มชั่วร้ายแล้วดึงประตูห้องเปิด ก้าวออกไปอย่างสง่าผ่าเผย
เยียนเอ๋อร์รีบเข้ามาหา “คุณชายรอง ท่านจะไปที่ใดเจ้าคะ ท่านไม่ทานอาหารแล้วหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างวางท่า “ข้าจะไปทานอาหารที่เรือนของเหล่าไท่ไท่”
สายตาของเยียนเอ๋อร์เลื่อนไปจับหีบใบใหญ่ที่ใต้เท้าเจ้าสำนักอุ้มอยู่ “แล้วนี่ท่านจะถือ…”
แววตาของใต้เท้าเจ้าสำนักวูบไหว ตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ของขวัญที่จะมอบให้เหล่าไท่ไท่!”
เยียนเอ๋อร์เข้าใจแล้ว นางคลี่ยิ้มตอบว่า “คุณชายรองยังไม่เคยไปเรือนลั่วเหมยสินะเจ้าคะ บ่าวจะนำทางให้คุณชายรองเอง”
ใต้เท้าเจ้าสำนักสีหน้าเคร่งขรึม “ผู้ใดจะให้เจ้านำทาง”
เยียนเอ๋อร์ถูกเขาตะคอกจนนิ่งอึ้ง “แต่คุณชายรองไม่เคยไป…”
ใต้เท้าเจ้าสำนักขัดนาง “นี่เป็นบ้านข้า ข้าจะรู้จักดีน้อยกว่าเจ้าหรือ คุณชายใหญ่ของเจ้าเป็นพี่ใหญ่ของเข้า เมื่อคืนวานเขาบอกข้าแล้ว ข้ารู้ว่าต้องไปอย่างไร!”
พูดถึงขนาดนี้ เยียนเอ๋อร์ก็ไม่สะดวกจะหน้าหนาติดตามไปแล้ว
ใต้เท้าเจ้าสำนักอุ้มหีบร้อยสมบัติของตนเองเดินอาดๆ ออกจากบ้านชิงเหลียน จากนั้นเดินอาดๆ มาถึงประตูใหญ่ ทว่าตอนที่เขาคิดว่าในที่สุดตนเองก็จะหนีพ้นสถานที่บัดซบแห่งนี้แล้วนั่งเอง เด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูก็มาขวางเขาเอาไว้
เด็กรับใช้ประสานมือคำนับ เรียกอย่างเคารพ “คุณชายรอง!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองเขาแล้วขยับไปทางซ้าย เด็กรับใช้ก็ขยับไปทางซ้าย เขาขยับไปทางขวา เด็กรับใช้ก็ขยับไปทางขวาอีก
เขาขมวดคิ้วอันคมเข้ม “เจ้าทำอะไร”
เด็กรับใช้หัวเราะแกนๆ “ขออภัยคุณชายรอง ก่อนออกจากบ้านคุณชายใหญ่กำชับไว้ว่าห้ามให้ท่านออกจากจวนไปคนเดียว”
เจ้าสารเลวจีหมิงซิว ดันสั่งกักบริเวณข้าไว้!
ใต้เท้าเจ้าสำนักกัดฟัน “อะไรคือห้ามออกจากจวนคนเดียว”
เด็กรับใช้ตอบอย่างกระอักกระอ่วน “ก็คือ…หากท่านอยากจะออกไปก็จำเป็นจะต้องมีคนตามไปด้วย”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกตา ริมฝีปากสีแดงสดยิ่งกว่าอิสตรียกโค้ง “ผู้ใดตามไปก็ได้หรือ”
สาวใช้นามว่าเยียนเอ๋อรคนนั้นดูแล้วโง่เง่า ไม่อย่างนั้นใช้นางเพื่อออกจากจวนก่อน พอออกไปพ้นจวนแล้วค่อยสลัดนางทิ้งน่าจะดี
เด็กรับใช้ถูกรอยยิ้มของเขาทำเอาขนหัวลุก ใจเริ่มเต้นตุ้มต่อมๆ ไม่กล้ามองเขาอีก ก้มหน้าก้มตาเอ่ยว่า “บ่าวไม่ได้ ต้องเป็นเจ้านายขอรับ”
เจ้านายคนไหนจะยอมพาเขาออกจากจวนเล่า นี่ไม่ใช่ดักเขาไว้ตายสนิทหรอกหรือ
จีหมิงซิวน่าตายคนนี้ น่าชังเหลือเกินจริงๆ!
แต่คิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะขังเขาไว้ได้จริงหรือ เดินออกไปไม่ได้ แล้วเขาปีนออกไปไม่ได้หรือไร
พอครุ่นคิดจบ ใต้เท้าเจ้าสำนักก็เผยรอยยิ้มลำพอง ปลายเท้าเลี้ยวเปลี่ยนทิศเดินเข้าไปในจวน ไหนเลยจะรู้ว่าบุรุษวัยกลางคนสวมอารณ์ผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มคนหนึ่งกลับเดินสวนมา เขาหน้าตางดงามเกลี้ยงเกลา รูปร่างผึ่งผาย บรรยากาศรอบตัวสุขุมสง่างาม ใบหน้าอมยิ้มน้อยๆ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเจ้านาย
เขาจะเป็นนายท่านคนไหนก็ช่างเถิด เขาไม่รู้จักสักคนอยู่แล้ว!
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินไปด้านหน้าอย่างหงุดหงิด ตอนที่เดินเฉียดผ่านหัวไหล่อีกฝ่าย จู่ๆ อีกฝ่ายก็หยุดฝีเท้า “หมิงเยี่ย?”
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่คุ้นกับชื่อนี้จึงไม่สนใจ
อีกฝ่ายเดินตามมาถามพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยน “เจ้าคือหมิงเยี่ยสินะ ข้าไม่ได้ทักผิดใช่หรือไม่”
“ทักผิดแล้ว!” ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างไม่แม้แต่จะหยุดคิด
อีกฝ่ายคลี่ยิ้ม “ครานี้ข้าแน่ใจว่าข้าทักไม่ผิดแล้ว”
ใต้เท้าเจ้าสำนักหันมามองเขาอย่างรำคาญ “เจ้าเป็นผู้ใดกัน”
อาเขยฉินมองใต้เท้าเจ้าสำนักแล้วยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “ข้าคืออาเขยของเจ้า”
ระหว่างทางเฉียวเวยอธิบายความสัมพันธ์ของผู้คนในตระกูลจีให้ใต้เท้าเจ้าสำนักฟังแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าตนเองมีท่านอาคนหนึ่งนามว่าจีซวง จีซวงมีสามีนามว่าฉินปิงอวี่ คิดว่าคงจะเป็นท่านอาเขยคนนี้
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองเขาด้วยแววตาเรียบเฉย แล้วตอบอย่างไม่แยแส “อยากให้ข้าเรียกเจ้าว่าอาเขยหรือ ฝันไปเถอะ!”
อาเขยฉินหัวเราะ “เรียกไม่เรียกก็แล้วแต่เจ้าเถิด ข้าอย่างไรก็ได้ เพียงแต่…เที่ยงแล้วเจ้าไม่อยู่กินข้าวในห้อง อุ้มหีบใบโตตระเวนไปทั่วทำอะไร”
ใต้เท้าเจ้าสำนักใช้แขนเสื้อกว้างบังหีบไว้ “เจ้าอย่ามายุ่งเรื่องของข้า!”
อาเขยฉินหัวเราะแห้งๆ “ได้ๆ ข้าไม่ยุ่ง ถ้าอย่างนั้น…หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าออกไปนอกจวนก่อนนะ วันหน้าพวกเราค่อยมานั่งคุยกัน ท่านอาของเจ้าคิดถึงเจ้ายิ่งนัก”
กล่าวจบก็หมุนตัวจะเดินจากไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักดึงเขาไว้ “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าอะไรนะ เจ้ากำลังจะออกจากจวนหรือ”
อาเขยฉินตอบว่า “ใช่แล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าไหว้วานบางเรื่องกับข้า ข้าอยากจะจัดการให้นางเร็วที่สุด”
“นางยักษ์ไหว้วานให้เจ้าทำอะไร” ใต้เท้าเจ้าสำนักงึมงำ
“เจ้าว่าอะไรนะ” อาเขยฉินฟังไม่ชัด
ใต้เท้าเจ้าสำนักปล่อยมือแล้วกระแอมอย่างเก้อเขิน “ข้าบอกว่า…เจ้าพาข้าออกไปด้วยสิ”
อาเขยฉินมองเขาอย่างอ่อนโยน ยิ้มบอกว่า “ข้าไปทำธุระ ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นนะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่สนใจสักนิด “เจ้าก็ทำของเจ้าไป ข้าก็เที่ยวของข้า รอเจ้าทำธุระเสร็จแล้ว พวกเราค่อยไปรวมตัวกันที่สถานที่สักแห่ง ผู้ใดก็อย่าช้า”
อาเขยฉินปฏิเสธอย่างเกรงใจ “เรื่องนี้เกรงว่าจะไม่ได้ เจ้าเพิ่งมาเมืองหลวงครั้งแรก ไม่คุ้นเคยกับทุกสิ่งในเมืองหลวงนัก หากข้าบุ่มบ่ามทิ้งเจ้าไว้ข้างนอกคนเดียว ข้าคงไม่วางใจ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักกระแอมเบาๆ “มีอะไรไม่วางใจกันเล่า กลัวข้าหนีหรืออย่างไร”
อาเขยฉินหัวเราะ “ไม่ใช่ ข้ากลัวเจ้าเดินหลงหายไปต่างหาก เจ้าไม่เคยเดินเที่ยวมาก่อนย่อมไม่รู้ว่าเมืองหลวงกว้างใหญ่มากเพียงใด หากเจ้าหลงทางขึ้นมา พวกเราตามหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างรำคาญ “พวกเจ้าตามหาข้าลำบาก ถ้าอย่างนั้นข้าเป็นคนตามหาพวกเจ้าก็ง่ายแล้วไม่ใช่หรือ หากข้าเดินหลงไปจริง ถามคำเดียวว่าตระกูลจีอยู่ที่ใด ทั้งเมืองหลวงคงไม่มีสักกี่คนที่ไม่รู้กระมัง”
อาเขยฉินยิ้มพลางโบกมือ “ไม่ได้ๆ ข้าพาเจ้าออกไปไม่ได้อยู่ดี”
ใต้เท้าเจ้าสำนักแววตาทอประกายวูบหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นอย่างมากข้าก็ตามเจ้าไปทำธุระด้วย! ทำ…ธุระก่อน หลังจากนั้นเจ้าค่อยไปเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนข้าต่อ! ข้าโตจนป่านนี้แล้วยังไม่เคยเดินเที่ยวเมืองหลวงเลย เจ้าเป็นอาเขยของข้าไม่ใช่หรือ เจ้าพาข้าไปเดินเที่ยวจะเป็นอะไรไป เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ก็ไม่ยินดีทำ เจ้ายังจะเป็นอาเขยอะไรอีกเล่า”
อาเขยฉินอ้ำอึ้ง “เรื่องนี้…”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เรื่องนี้มันอะไรเล่า บอกมาคำเดียวว่าจะพาข้าออกไปหรือไม่”
อาเขยฉินลำบากใจอย่างยิ่งอยู่พักหนึ่ง ตอนที่ใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกตาจะหมุนตัวเดินจากไปแล้วนั่นเอง เขาก็เอ่ยปากว่า “ก็ได้ ข้าจะพาเจ้าออกไป”