หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 276-1 ถูกจับได้อีกแล้ว
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 276-1 ถูกจับได้อีกแล้ว
ตอนที่ 276-1 ถูกจับได้อีกแล้ว
ใต้เท้าเจ้าสำนักได้ออกจากตระกูลจีสมใจหมาย แรกเริ่มเขานั่งรถม้าของอาเขยฉินเดินทางไปยังสำนักศึกษาหนานซาน ระหว่างทางเขาอ้างว่าหิวจึงแวะเหลาสุราแห่งหนึ่ง เขาบอกว่าไม่เคยกินถังหูลู่ของจงหยวน อยากให้อาเขยช่วยซื้อให้สักสองไม้ อาเขยจึงออกไปซื้อให้อย่างใจกว้าง
แต่เดิมใต้เท้าเจ้าสำนักอยากจะอาศัยโอกาสนี้สลัดอาเขยฉินทิ้ง ไหนเลยจะรู้ว่าอาหารอร่อยเกินไปแล้วจริงๆ เขากินแล้วกินอีก กินจนลืม จนกระทั่งอาเขยฉินถือถังหูลู่แวววาวสามไม้กลับเข้ามา เขาเพิ่งได้สติว่าตนเองเหมือนจะกินเพลินเกินไป
กินข้าวปลาอาหารอิ่มหนำเรียบร้อย ตอนนี้ย่อมไม่มีข้ออ้างให้หนีแล้ว ใต้เท้าเจ้าสำนักได้แต่ดึงดันตามอาเขยฉินไปที่สำนักศึกษา
ทั้งสองลงจากรถม้าที่หน้าประตู สารถีขับรถม้าแล่นเข้าไปยังคอกม้าที่อยู่ด้านในประตูข้าง อาเขยฉินพาใต้เท้าเจ้าสำนักเดินเข้าไปด้านใน
ใต้เท้าเจ้าสำนักกลับชะงักเท้า เอ่ยขึ้นว่า “เอ่อ เอาเป็นว่า ข้ารอเจ้าอยู่ข้างนอกก็แล้วกัน ข้าไม่ใช่คนของสำนักศึกษาเสียหน่อย เข้าไปจะกระอักกระอ่วนเสียเปล่า”
อาเขยฉินยิ้ม “นี่จะมีอะไรกระอักกระอ่วนกันเล่า ข้าไม่ได้ไปพบองค์ชายขุนนางใหญ่อะไรสักหน่อย แค่ไปคุยกับอธิการไม่กี่คำเท่านั้น เจ้าไม่ต้องพูด นั่งอยู่ด้านในก็พอ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่อยากไป
อาเขยฉินมองหีบที่เขากอดไว้ในอ้อมแขนแล้วก็ยิ้ม “ความจริงเจ้าวางไว้บนรถม้าก็ได้ ข้าช่วยเจ้าถือนะ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเบี่ยงตัวหลบมือที่เอื้อมมาของเขา แล้วปฏิเสธเสียงแข็งกร้าว “ข้าจะถือเอง!”
อาเขยฉินรั้งมือกลับไป แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้าตามข้าเข้าไปเถิด”
ใต้เท้าเจ้าสำนักจึงฝืนตามเขาเข้าไป
สำนักศึกษาหนานซานเป็นหนึ่งในสำนักศึกษาที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเมืองหลวง มันกินพื้นที่เท่ากับหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีหอพักทั้งหมดสามหลัง อาคารเรียนสามหลัง สนามหญ้าขนาดใหญ่สองแห่ง โรงอาหารหนึ่งแห่ง หอสูงหนึ่งหลัง ห้องทำงานของอาจารย์หนึ่งหลัง คอกม้าหนึ่งแห่ง สวนสำหรับเลี้ยงสัตว์หนึ่งแห่ง และยังมีภูเขาทิศทัศน์งดงามอยู่ด้านหลังอีกหนึ่งลูก
เวลานี้เป็นเวลาพักพอดี บนสนามหญ้ามีลูกศิษย์เยาว์วัยกำลังเล่นเตะลูกบอลอยู่จำนวนไม่น้อย คนที่อายุน้อยที่สุดอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี คนที่โตที่สุดอายุสี่สิบกว่าปี พวกเขาสวมเครื่องแบบสีขาวของสำนักเหมือนกันหมด เส้นผมถูกมัดสูงผูกด้วยผ้ามัดผมสีเดียวกัน วิ่งกันอยู่ในสนามอย่างคึกคัก เหงื่อโปรยปรายดุจสายฝน
“เจ้าเคยเรียนหนังสือหรือไม่ หมิงเยี่ย” จู่ๆ อาเขยฉินก็เอ่ยปากถาม
ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงเหอะ “ต้องเคยเรียนอยู่แล้ว! สำนักศึกษาที่ข้าเคยเรียนใหญ่กว่าที่แห่งนี้มากนัก!”
อาเขยฉินเหมือนจะเชื่อ แย้มยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน “ได้ยินว่าเจ้าเติบโตขึ้นมาบนเกาะแห่งหนึ่ง ที่นั่นคือเกาะอะไรหรือ”
“เกาะนิรนาม” ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“เกาะนิรนามหรือ เหตุไฉนมีเกาะประหลาดเช่นนี้” อาเขยฉินทำหน้างุนงง
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า” ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างไม่สบอารมณ์
อาเขยฉินนำทางใต้เท้าเจ้าสำนักเดินผ่านทางเดินเส้นหนึ่ง แล้วถามว่า “เกาะแห่งนั้น…อยู่ไกลจากต้าเหลียงมากหรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างรำคาญ “เจ้าถามมากมายถึงเพียงนั้น เจ้าอยากไปที่เกาะหรืออย่างไร”
อาเขยฉินยิ้ม “ข้ากลัวเจ้าอึดอัดถึงหาเรื่องคุยกับเจ้าต่างหากเล่า”
“ข้าไม่สนหรอก” ใต้เท้าเจ้าสำนักกลอกตาใส่
ตอนนี้เอง ศิษย์ในสนามก็เตะลูกบอลผิดทาง ลูกบอลถูกเตะลอยมาหาใต้เท้าเจ้าสำนักด้านนี้ ศิษย์ผู้นั้นตะโกนบอกให้ระวัง ใต้เท้าเจ้าสำนักยกเท้าเตะออกไปด้วยสัญชาตญาณ แต่น่าเสียดายที่เตะพลาดเป้า
ขณะที่เห็นว่ากำลังจะถูกลูกบอลกระแทกแล้วนั่นเอง อาเขยฉินก็คว้าหมับจับลูกบอลไว้ด้วยมือเดียว
ศิษย์วิ่งหอบแฮ่กเข้ามาเอ่ยขออภัยครั้งแล้วครั้งเล่า
อาเขยฉินส่งลูกบอลคืนให้เขา
“ขอบคุณขอรับอาจารย์ฉิน!” ศิษย์อุ้มลูกบอลเดินจากไป
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองอาเขยฉินอย่างนิ่งอึ้ง ปฏิกิริยาโต้ตอบเร็วทีเดียว แต่นั่นเป็นเพราะเขายั้งเท้าเอาไว้หรอก ถึงมีโอกาสผลัดถึงตาเจ้าหมอนี่ออกโรง
ทั้งสองคนเดินตัดสนามหญ้าเข้ามาในเรือนที่เป็นอาคารห้องทำงานของบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย อาคารห้องทำงานเป็นเรือนซ้อนสามชั้นหลังหนึ่ง ห้องหนังสือของอธิการอยู่ด้านในสุด หากเดินผ่านโถงทางเชื่อมสองห้องกับสวนดอกไม้สองแห่งก็จะมาถึงเขตของอธิการทั้งหลาย เหตุที่เรียกว่าอธิการทั้งหลายนั่นก็เพราะสำนักศึกษามีอธิการทั้งหมดสามคน ได้แก่อธิการหนึ่งคนกับรองอธิการสองคน พวกเขาล้วนทำงานอยู่ที่นี่
ห้องที่แสงดีที่สุด กว้างขวางที่สุดย่อมเป็นของอธิการ
อาเขยฉินแจ้งจุดประสงค์ที่มากับเด็กรับใช้หน้าประตู
สายตาแปลกประหลาดของเด็กรับใช้หยุดอยู่บนร่างใต้เท้าเจ้าสำนักพริบตาหนึ่ง ไม่ใช่เพราะอื่นใด แต่เป็นเพราะใบหน้าดวงนั้นของใต้เท้าเจ้าสำนักต่อให้ถูกบดบังไปครึ่งหนึ่งก็ยังทำให้คนลุ่มหลงโงหัวไม่ขึ้น ช่างเป็นรูปโฉมที่ล่อลวงดวงวิญญาณผู้คนเกินไปแล้วจริงๆ
ใต้เท้าเจ้าสำนักถลึงตาใส่ด้วยสายตาอันเย็นชา “ดูอะไร หากดูอีกข้าจะควันลูกตาเจ้าออกมา!”
เด็กรับใช้ตกตะลึง เขากะพริบตากริบๆ แล้วหมุนตัววิ่งเข้าไปในห้อง
ไม่นานเด็กรับใช้ก็เดินออกมาอีกหน ครั้งนี้เขาไม่เสียกิริยาอีกแล้ว เอ่ยตอบโดยมิเหล่ตามองสิ่งใด “อธิการเชิญขอรับ”
อาเขยฉินยืนอยู่บนแผ่นหินแล้วถอดรองเท้า เท้าที่สวมถุงเท้าสีขาวเหยียบบนแผ่นไม้ตรงชานเรือน
“ยุ่งยากจริง” ใต้เท้าเจ้าสำนักเตะรองเท้าทิ้งบ้าง แต่เดินได้ไม่กี่ก้าว เขาก็อุ้มหีบมานั่งตรงชานเรือน พื้นเรือนยกสูงกว่าพื้นดินหนึ่งช่วง เขาแกว่งขาไปมาก็ยังเหยียบไม่ถึงพื้น “เจ้าไปพบอธิการอะไรนั่นเถอะ ข้าจะรอเจ้าข้างนอก”
อาเขยฉินเกลี้ยกล่อมเสียงอ่อนโยน “ในเมื่อมาแล้ว ก็ไปทักทายอธิการด้วยกันสักคำเถิด”
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างดูแคลน “มีอะไรดีถึงต้องไปทักทาย”
อาเขยฉินตอบอย่างอดทน “คนในตระกูลพวกเราล้วนร่ำเรียนวิชามาจากสำนักศึกษาหนานซาน ท่านอธิการเป็นทั้งอาจารย์ของข้าและของบิดาของเจ้า แล้วก็เคยเป็นอาจารย์ของพี่ใหญ่ของเจ้าด้วย”
“แล้วเกี่ยวอันใดกับข้า”
“ทักทายสักคำ”
“ไม่ทักทาย!”
อาเขยฉินทำหน้าเคร่งขรึม “ถ้าอย่างนั้นประเดี๋ยว…”
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองอย่างเย็นชา “เจ้ากล้าข่มขู่ข้า กลับไปข้าจะไปฟ้องเรื่องเจ้ากับนายท่านคนนั้น!”
อาเขยฉินทำหน้าหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก “ได้ๆ กลัวเจ้าแล้วบรรพบุรุษตัวน้อย เจ้านั่งอยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน แต่ข้าขอบอกไว้ก่อน ห้ามไปไหนทั้งนั้น รอข้าอยู่ตรงนี้เท่านั้น”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเบ้หน้าอย่างรำคาญ “รู้แล้วๆ เจ้าพร่ำบ่นไม่เลิก ไม่รำคาญหรืออย่างไร”
อาเขยฉินกวักมือเรียกเด็กรับใช้คนนั้น
เด็กรับใช้เดินเข้ามาทักทายอย่างรักษามารยาท “อาจารย์ฉิน”
อาเขยฉินบอกว่า “คนนี้คือหลานชายของข้า เขาเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ไม่คุ้นเคยกับสถานที่ เจ้าช่วยข้าเฝ้าไว้สักหน่อย อย่าให้เขาเดินออกไป”
“เข้าใจแล้วขอรับ อาจารย์ฉิน” เด็กรับใช้ตอบ
อาเขยฉินเข้าไปในห้องหนังสือของอธิการ
ใต้เท้าเจ้าสำนักรออยู่ข้างนอกอย่างเบื่อหน่าย เด็กรับใช้เชื่อฟังคำพูดของอาเขยฉินจึงยืนอยู่ข้างกายใต้เท้าเจ้าสำนักอย่างตั้งอกตั้งใจ เฝ้าไม่ยอมห่างสักก้าวเดียว ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินไปมาตรงชานเรือนหนึ่งรอบ เด็กรับใช้ก็ยังตามติดไม่ยอมห่าง
ใต้เท้าเจ้าสำนักหันกลับไป เด็กรับใช้หยุดฝีเท้าได้ทันเวลา ใต้เท้าเจ้าสำนักเอ่ยอย่างจนปัญญา “ห้องส้วมอยู่ที่ใด”
เด็กรับใช้ชี้ทางทิศตะวันออก
ใต้เท้าเจ้าสำนักสวมรองเท้าแล้วเดินไปยังห้องส้วม
เด็กรับใช้ก็สวมรองเท้าบ้าง
ใต้เท้าเจ้าสำนักขมวดคิ้ว “ข้าจะไปฉี่ เจ้าก็จะไปดูด้วยหรือ”
เด็กรับใช้สำลัก “ข้าจะเฝ้าอยู่ด้านนอก”
ใต้เท้าเจ้าสำนักขยับเข้ามาใกล้เขา แล้วถามด้วยท่าทางอันตราย “เจ้าจะแอบฟังหรือ”
เด็กรับใช้รีบอุดหู
ใต้เท้าเจ้าสำนักตาเป็นประกาย เดินเข้าไปในห้องส้วม
เด็กรับใช้อุดหูอย่างเชื่อฟังยิ่งนัก ทันใดนั้นของบางสิ่งก็ตกลงมาบนหัวไหล่ของเขา พอเขาหันกลับมาก็เห็นหินน้อยก้อนหนึ่งบนพื้น เขาเอามือลงแล้วเก็บก้อนหินขึ้นมา เวลานี้เองเสียงของใต้เท้าเจ้าสำนักก็ดังขึ้นมาจากในห้องส้วม “กระดาษชำระหมดแล้ว! เจ้าไปหยิบกระดาษชำระให้ข้าหน่อย!”
เด็กรับใช้ไม่ทันคิดอะไรมาก หมุนตัววิ่งไปหยิบ
ไหนเลยจะรู้ว่าเขาเพิ่งเดินออกไป ใต้เท้าเจ้าสำนักก็อุ้มหีบร้อยสมบัติเผ่นแผล็วออกมาแล้ว
ใต้เท้าเจ้าสำนึกฮึดวิ่งออกจากสำนักศึกษาในเฮือกเดียว
…
เฉียวเวยกำลังทานอาหารกลางวันอยู่ที่เรือนลั่วเหมย เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสามคนอยู่นอนกลางวันที่เรือนลั่วเหมย เฉียวเวยแยกกลับมาบ้านชิงเหลียน นางเห็นเยียนเอ๋อร์ตากผ้าปูที่นอนที่ซักเสร็จแล้วอยู่ตรงประตูก็ถามว่า “คุณชายรองเล่า”
เยียนเอ๋อร์คำนับแล้วตอบว่า “คุณชายรองไปทานอาหารที่เรือนลั่วเหมยเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเพิ่งกลับมาจากเรือนลั่วเหมย เขาไม่ได้ไปที่นั่น”
“อะไรนะเจ้าคะ คุณชายรองบอกชัดๆ ว่าเขาจะไปทานอาหารกับเหล่าไท่ไท่ แล้วยังเตรียมของขวัญไว้ให้เหล่าไท่ไท่หีบใหญ่…” เยียนเอ๋อร์วาดไม้วาดมือบอก
เฉียวเวยชะงัก “เจ้าไปถามคนเฝ้าประตูดูซิ”
“เจ้าค่ะ!” เยียนเอ๋อร์หันไปตะโกนบอกคนในห้อง “ฉานเอ๋อร์ เจ้าช่วยข้าตากผ้าหน่อย ข้าจะออกไปด้านหน้า!”
“ได้!”
ฉานเอ๋อร์เปิดม่านออกมา
เยียนเอ๋อร์ซอยเท้าเดินไปที่ประตูใหญ่ ไม่นานก็หอบแฮ่กวิ่งกลับมา พอเข้ามาในห้องก็รายงานว่า “เรียนฮูหยินน้อย คุณชายรองกับท่านเขยฉินออกไปด้วยกันเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยฉงน “เหตุใดเขาจึงออกไปด้วยกันกับอาเขยฉินได้”
เยียนเอ๋อร์สูดหายใจ แล้วตอบว่า “เสี่ยวหวนจื่อบอกว่าตอนแรกคุณชายรองจะออกไปเอง แต่คุณชายใหญ่สั่งไว้ ดังนั้นเสี่ยวหวนจื่อจึงไม่ยอมปล่อยคุณชายรองออกไป ตอนนั้นเองท่านเขยฉินก็เดินมาพอดี คุณชายรองขอร้องท่านเขยฉินอยู่นาน ท่านเขยฉินจึงพาคุณชายรองออกไป”
เฉียวเวยสูดลมหายใจเข้าปอด แล้วเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เจ้าหมอนั่นต้องคิดหนีแน่! หมิงอันกลับมาแล้วหรือยัง”
เมื่อปีกลายบ้านของหมิงอันเกิดเรื่อง เขาจึงขอลายาวครึ่งปี
เยียนเอ๋อร์ตอบว่า “กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยออกคำสั่ง “เจ้าให้เขาเดินทางไปสำนักศึกษารับเจ้าเด็กนั่นกลับมาเดี๋ยวนี้ หากเจ้าเด็กนั่นไม่ยอมกลับก็มัดเขากลับมาให้ข้า ถ้าหากว่า…เขาไม่อยู่ที่สำนักศึกษาแล้ว ก็ให้หมิงอันรีบไปแจ้งคุณชายใหญ่ที่วังหลวง!”
“เจ้าค่ะ!”
…
เยียนเอ๋อร์ไปจวนชั้นนอกแจ้งกับหมิงอันทันที หมิงอันไม่เสียเวลานั่งรถม้า เขาเลือกม้าชั้นดีตัวหนึ่งควบอาชาห้อตะบึงออกจากจวน เขาเดินทางไปยังสำนักศึกษาหนานซานอย่างเร็วที่สุด แต่ก็ได้รับแจ้งว่าคุณชายรองตระกูลจีกับอาเขยฉินจากไปแล้ว
“หมายถึงคุณชายสวมหน้ากากผู้นั้นหรือ เขาออกไปก่อน หลังจากนั้นท่านเขยฉินทราบเรื่องก็รีบออกไปตามหาเขา” เด็กรับใช้บอกอย่างรู้สึกผิด หากตนเองไม่ไปหยิบกระดาษชำระก็คงไม่ปล่อยให้คนเดินหายไป
“คุณชายผู้นี้!” หมิงอันโกรธจนกระทืบเท้า เขาห้อม้าไม่หยุดพักมุ่งไปยังวังหลวงต่อ ทว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนจะพังทลายก็คือเขามาสายไปก้าวหนึ่งอีกแล้ว จีหมิงซิวออกไปแล้ว!
แต่เขาออกไปแล้วใช่ว่าจะเป็นเรื่องร้าย คุณชายใหญ่ออกไปเที่ยวเตร่น้อยครั้งยิ่งนัก ทุกครั้งที่เขาเลิกประชุมล้วนตรงกลับจวนทันที หากกลับไปที่จวน เขาย่อมทราบแล้วว่าน้องชายของตนหายไป เขาย่อมส่งคนไปตามหาแน่
…
“ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี”
บนถนนกว้างขวางที่มีไว้สำหรับรถม้าวิ่ง ผู้เฒ่าสวมอาภรณ์หรูหราสีน้ำตาลคนหนึ่งยืนประสานมือขวางรถม้าของจีหมิงซิว
“ผู้ใด” สารถีเอ่ยถาม
ผู้เฒ่าตอบอย่างมีมารยาท “ข้าน้อยหยางปี้ ขอพบใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี”
“ที่แท้ก็เสนาบดีหยาง” จีหมิงซิวยื่นมือเรียวงามดั่งหยกออกมาแหวกม่านอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตาเยือกเย็นหันไปมองนายท่านหยาง ท่าทีไม่เย็นชาแต่ก็ไม่กระตือรือร้น เหมาะสมพอดี “เสนาบดีหยางมาหาข้ามีธุระประการใด”
นายท่านหยางคลี่ยิ้ม “ข้าลงจากตำแหน่งมานานแล้ว คำเรียกขานว่าเสนาบดีนี้ ข้าละอายใจไม่กล้ารับ วันนี้บุ่มบ่ามมาขวางรถม้าของอัครมหาเสนาบดีเพราะมีเรื่องไม่เหมาะควรประการหนึ่งอยากขอร้อง มิทราบว่าอัครมหาเสนาบดีจะแวะคุยกันสักหน่อยได้หรือไม่”
หากกล่าวโดยละเอียดแล้วเสนาบดีหยางคนนี้ก็มีความสัมพันธ์กับจีหมิงซิวอยู่บ้าง ตอนยังหนุ่มเขาเคยรับตำแหน่งราชครูของฮ่องเต้ ยามนั้นฮ่องเต้ยังมิทันขึ้นเป็นฮ่องเต้ เขาเป็นเพียงองค์ชายพระองค์หนึ่ง สมัยนั้นองค์หญิงเจาหมิงยังเล็ก นางไม่ยอมแยกห่างจากพี่ชายแท้ๆ ของตน เวลาฮ่องเต้ไปร่ำเรียนจึงมักจะหนีบเด็กตัวจ้อยคนหนึ่งเป็นตังเมไปด้วยเสมอ เจ้าก้อนตังเมน้อยว่าง่ายยิ่งนัก นางนั่งอยู่ด้านหลังพี่ชายไม่โวยวายไม่ร้องไห้ ผู้อื่นทำสิ่งใด นางก็ทำสิ่งนั้น ผู้อื่นคัดอักษร นางก็หยิบพู่กันมาวาดยันต์ขยุกขยุย ผู้อื่นท่องตำรา นางก็อ้าปากส่งเสียงอืออาสมทบ สรุปก็คือนางอยู่ในชั้นเรียนของเสนาบดีหยางอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง
ดังนั้นนับดูแล้วเสนาบดีหยางคนนี้ก็นับว่าเป็นอาจารย์ตาของจีหมิงซิว