หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 283-2 การสอบ (2)
ตอนที่ 283-2 การสอบ (2)
ป้าหลัวตบมือนางเบาๆ แล้วถอนใจเอ่ยว่า “เจ้าแต่งงานไปแล้วยังต้องลำบากมาคิดถึงข้าอีก เป็นสะใภ้คนนั้นไม่ง่าย เจ้าออกมาข้างนอกบ่อยๆ คนในบ้านสามีไม่ว่าอะไรหรือ”
เฉียวเวยยิ้มละไม “พวกเขาเปิดกว้างกันมาก ท่านอย่าเก็บมาใส่ใจเลย พ่อบุญธรรมสบายดีหรือไม่”
“สบายดี มีแค่ตอนปีใหม่ที่บ่นๆ ว่าเหตุใดถึงไม่ได้ข่าวจากเจ้าเลย”
“ข้าไปตามหาท่านแม่ข้ามา ตอนไปค่อนข้างกะทันหันเลยไม่ทันได้แจ้งข่าวพวกท่าน”
ป้าหลัวถามอย่างร้อนใจว่า “แล้วตามเจอหรือไม่”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้ายินดี “เจอแล้ว เจอทั้งท่านแม่ท่านตาเลยทีเดียว”
ป้าหลัวจับมือนางไว้แน่น “ดีจริงๆ ดีจริงๆ!”
มื้อกลางวันพวกนางกินกันที่บ้านตระกูลหลัว เพราะไม่รู้ว่าเฉียวเวยจะกลับมาป้าหลัวเลยทำกับข้าวแค่อย่างเดียว กับทำไข่ตุ๋นให้จวิ้นเกอร์กิน ป้าหลัวเอาข้าวที่คลุกกับไข่ตุ๋นแล้วส่งให้เฉียวเวย ให้เฉียวเวยเป็นคนป้อนจวิ้นเกอร์ ส่วนตนไปฆ่าไก่ตัวใหญ่อวบอ้วน หั่นเป็นชิ้นๆ แล้วเอาไปตุ๋นกับหูหลัวปัว จากนั้นก็ทำไข่ผัดพริก เครื่องเคียงสองอย่าง นึ่งฟักทองแล้วเอาต้นหอมไปผัดกับกุนเชียงที่ทำไว้เมื่อตอนหน้าหนาว กลิ่นหอมตลบอบอวลจนน้ำลายแทบจะไหลออกมา
อาหารมื้อนี้ตนได้กินอย่างอิ่มหนำ
พอกินข้าวเสร็จ ป้าหลัวก็ลงกลอนประตูแล้วขึ้นเขาไปกับเฉียวเวย
บนเขาเปลี่ยนแปลงไปมาก โรงเก็บของไม่พอใจแล้ว ชีเหนียงเลยตัดสินใจสร้างโรงเก็บของหลังใหม่ขึ้นข้างๆ โรงเก็บของหลังเดิม กินพื้นที่ของหมู่บ้านไปเล็กน้อย ผู้ใหญ่บ้านก็ใจกว้าง กินเข้ามาก็กินไปสิ ไม่กลัวที่เจ้ากินที่หรอก กลัวแค่เจ้าจะไม่กินมากกว่า หากโรงงานแห่งนี้ย้ายไป คนในหมู่บ้านจะไม่มีงานทำกันมากน้อยเพียงใด
อากุ้ยเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ไม้ที่ใช้เขาไม่ซื้อจากผู้ดูแลฉิว แต่ตนพาคนงานในโรงงานไปโค่นต้นไม้จากในป่าตอนเลิกงานแล้ว เงินค่าแรงเขาเป็นคนออกไปก่อน พอโรงเก็บของสร้างเสร็จตัวเขาก็เกือบเป็นช่างไม้เต็มตัวไปแล้ว
ป้าหลัวรู้ว่าที่โรงงานยุ่งมาก จึงเข้าไปรับงานแทนชีเหนียง จะได้ให้ชีเหนียงไปอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนเฉียวเวยได้
ทั้งสองพูดคุยกันปกิณกะกันพักหนึ่งแล้วจึงดูสมุดบัญชี
ช่วงที่เฉียวเวยไม่อยู่ ปริมาณการผลิตของโรงงานเพิ่มขึ้นถึงสามเท่า แต่คนงานไม่ได้เพิ่มมากขึ้นสักเท่าไร ทั้งหมดเป็นเพราะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วงปีใหม่เฉียวเวยไม่อยู่ ชีเหนียงตัดสินใจห่อซองแดงให้กับทุกคน ชีเหนียงเคยคิดว่าหากเฉียวเวยไม่เห็นด้วย เงินก้อนนั้นนางเอาเงินของตนเองออกไปก็สิ้นเรื่อง ถึงอย่างไรเดิมทีนางก็เป็นบ่าวที่ลงนามสัญญาชั่วชีวิตไปแล้ว ทุกอย่างของนางล้วนเป็นของเจ้านาย คิดเสียว่านางไม่ได้มีเงินค่าแรงมากเพียงนั้นก็สิ้นเรื่อง
เฉียวเวยมองออกว่าอีกฝ่ายเป็นกังวลเรื่องอะไร จึงปรายตามองขณะเอ่ยว่า “รู้จักกับข้ามานานเพียงนี้ ข้าเป็นคนเช่นไรเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ ข้าขี้เหนียวเพียงนั้นเชียว”
ในหัวชีเหนียงมีภาพการท่องเที่ยวอย่างหรูหราท่ามกลางป่าเขาอันน่าอนาถแวบเข้ามา
เฉียวเวยตบบ่านาง “ในเมื่อข้ามอบโรงงานให้เจ้าดูแลด้วยความสบายใจแล้ว เจ้าคิดจะจัดการอย่างไรก็ได้ ต่อไปเรื่องเช่นนี้ไม่ต้องกล้าๆ กลัวๆ อีกแล้ว ทำไปอย่างสบายใจได้เลย”
จู่ๆ ฮูหยินก็เกิดจะใจกว้างขึ้นมา น่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก…
สายตาของชีเหนียงมองไปที่สมุดบัญชี พอเห็นว่าเลข “ห้า” ตรงส่วนที่บันทึกไว้ว่าเงินซองแดงทั้งหมดห้าสิบตำลึงนั้นเปื้อนเป็นวงจนมองไม่ออกว่าเป็นเลขห้า คงไม่ใช่ว่า…ฮูหยินคิดว่านางใส่ซองแดงไปทั้งหมดสิบตำลึงก็เลยใจดีเช่นนี้กระมัง…
“ส่วนเงินเดือนของเจ้ากับอากุ้ยแล้วก็เสี่ยวเว่ยควรจะขึ้นได้แล้ว” เฉียวเวยเอ่ยอย่างใช้ความคิด
ชีเหนียงปิดสมุดบัญชีทันที แล้วจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “พูดถึงเสี่ยวเว่ย ข้ามีเรื่องอยากจะหารือกับฮูหยินอยู่พอดี”
เฉียวเวยอุ้มจวิ้นเกอร์ที่หลับสนิทอยู่ “เจ้าหมายถึงเรื่องของเสี่ยวเว่ยกับปี้เอ๋อร์?”
ชีเหนียงตกใจเล็กน้อย “ฮูหยินก็รู้เรื่องของพวกเขาหรือ”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “คนตาไม่บอดก็มองออกกันทั้งสิ้น”
จะว่าอย่างนั้นก็จริง ทั้งสองอายุยังไม่มาก คิดอะไรไม่ซับซ้อน ตนเองคิดว่ากลบเกลื่อนได้ดี แต่อันที่จริงทุกคนมองออกกันนานแล้ว ชีเหนียงเอ่ยว่า “ช่วงเดือนที่ฮูหยินไม่อยู่เมืองหลวง ปี้เอ๋อร์กลับมาหลายครั้ง ปากนางบอกว่ามาเยี่ยมข้า แต่ใครจะมองไม่ออกมาว่านางมาหาเสี่ยวเว่ย ทั้งสองคนเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ คงจะไม่ได้การ ฮูหยินว่าควรออกหน้าจัดการเรื่องแต่งงานของพวกเขาสองคนหรือไม่”
นิ้วของเฉียวเวยเคาะเบาๆ ลงบนโต๊ะหลายครั้ง “ปี้เอ๋อร์ทำเป็นสัญญาจ้างงาน อีกทั้งพ่อแม่นางก็ยังอยู่ เรื่องแต่งงานของนางเกรงว่าคงต้องไปถามความเห็นพ่อแม่นางก่อน จะให้ข้าตัดสินใจแทนเลยใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่ระหว่างนางกับพ่อแม่คงจะกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย”
ชีเหนียงเอ่ยด้วยความลังเลว่า “ที่ฮูหยินกล่าวก็มีเหตุผล ฮูหยินฐานะสูงส่งมากอำนาจ พ่อแม่นางย่อมไม่กล้าไม่ทำตาม เพียงแต่ต่อหน้าทำตาม ในใจกลับมีไฟสุม สุดท้ายก็ต้องไปลงกับปี้เอ๋อร์อยู่ดี เช่นนี้ก็คงไม่เป็นการดีต่อปี้เอ๋อร์ เพียงแต่…หากไปถามความเห็นพ่อแม่นางจริงๆ พ่อแม่นางจะถูกใจเสี่ยวเวยหรือไม่ นิสัยของเฝินซื่อฮูหยินก็เคยเห็นมาแล้ว แทบจะอยากจับปี้เอ๋อร์ไปขายเป็นอนุให้บ้านตระกูลใหญ่ด้วยซ้ำ เวลานี้ปี้เอ๋อร์เป็นสาวใช้ของฮูหยินอัครเสนาบดี ฐานะเช่นนี้น่ากลัวว่าสูงพอจะแต่งงานกับคุณชายได้อย่างถูกต้องเหมาะสมด้วยซ้ำ ข้ากลัวว่าเฝินซื่อจะไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้”
เฉียวเวยเท้าคาง ก็จริง ในบ้านเสี่ยวเว่ยเลี้ยงดูโจรป่าไว้เต็มรังเลยเสียด้วย
สายลมพัดเอื่อย เมฆขาวลอยละล่อง
โจรป่าเป็นสิบยี่สิบคนยืนกันเป็นระเบียบอยู่ใต้ต้นไม้ มองธงโจรบนกิ่งไม้ที่ขาดหลายรูปลิวไสวไปตามสายลม ขณะกล่าวคำปฏิญาณของพวกเขาอย่างเคร่งขรึมและจริงจัง “พวกเราเป็นโจรป่ามากปณิธาน พวกเราจะต้องพากิจการของโจรป่าให้ก้าวไกล เป้าหมายของพวกเราคือปล้นคนมีเงินไปช่วยคนยากไร้ พวกเราร้ายกาจและเด็ดขาด วรยุทธ์ของพวกเราเป็นหนึ่งในใต้หล้า พวกเราจะต้องขโมยให้สิ้น ขโมยให้สิ้น และขโมยให้สิ้น จะไม่มีทางเหลือข้าวให้อีกฝ่ายแม้แต่เม็ดเดียว!”
หัวหน้ารังโจรปักธูปหนึ่งดอก…ครึ่งดอกตรงหน้าป้ายอดีตหัวหน้ารังโจร ไม่มีเงินซื้อธูปแล้ว ธูปครึ่งดอกนี้เขาไปดึงมาจากหน้าสุสานหลุมอื่นด้วยซ้ำ
พอจุดธูปเสร็จ หัวหน้ารังโจรก็คำนับสามครั้ง แล้วหันไปมองเหล่าพี่น้องที่แต่งกายเรียบร้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างเคร่งขรึมดุดันว่า “วันนี้ข้าเรียกทุกคนมาที่นี่ด้วยใจที่หนักอึ้งเหลือแสน ข้าเชื่อว่าทุกคนในเวลานี้ก็หนักใจเช่นเดียวกับข้า ใช่แล้ว พวกเราใกล้จะต้องไปจากถิ่นเก่าแห่งนี้แล้ว พวกเรามีใจรักที่แห่งนี้เช่นเดียวกับที่พวกมีใจรักให้ตนเอง ทว่า บ้านแห่งนี้ของพวกเรากำลังเผชิญกับการทำลายล้าง (ไม่มีอะไรให้กินแม้แต่หญ้าก็เด็ดจนโกร๋นหมดแล้ว) สหายของพวกเรากำลังถูกโจมตี (ไม่มีเงิน เสี่ยวเว่ยก็แต่งสะใภ้ไม่ได้) พวกเราจำเป็นต้องหยิบอาวุธในมือขึ้นมาต่อต้านโชคชะตาอย่างดุดันที่สุด!
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าจะต้องเดินออกจากบ้าน พวกเจ้ากำลังจะได้เผชิญกับโลกภายนอกที่เจ้าไม่รู้จัก กลิ่นคาวจากสายโลหิตในโลกภายนอกอาจทำร้ายเจ้าจนล้มลง เล่ห์กลของศัตรูอาจเล่นงานพวกเจ้า แต่ว่าจงอย่าได้กลัว! ไม่ว่าเมื่อใด ไม่ว่าที่ใด เจ้าอย่าได้ลืมเสียว่าเจ้านั้นคือโจรป่า!”
“เจ้าหยาง เสร็จหรือยังน่ะ รออยู่นานแล้วนะ!” อากุ้ยยืนอยู่นอกโรงงาน เปล่งเสียงตะคอกขึ้น
หัวหน้ารังโจรเก็บเสียงกลับไป “เสร็จแล้ว! รวมอาหารด้วยหรือไม่”