หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 29 ค่ำคืนหิมะโปรย
ตอนที่ 29 ค่ำคืนหิมะโปรย
จีเหล่าฮูหยินนั่งหน้าบึ้งอยู่บนเบาะรอง เบื้องหน้าคือโต๊ะน้ำชาทำจากไม้หวงหลี จีหมิงซิวผู้สวมเสื้อตัวยาวสีขาวนวลคุกเข่าอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ
จีหมิงซิวขานเรียกท่านย่าเสียงเบา
จีเหล่าฮูหยินแค่นเสียงขึ้นจมูก “ไม่ต้องมาเรียกข้า! ข้าไม่ใช่ท่านย่าของเจ้า! ข้าไม่มีหลานอย่างเจ้า! บอกจะไปก็ไป หนึ่งปีไม่เคยกลับบ้าน! ในใจเจ้า ยังมีข้าท่านย่าคนนี้ที่ไหน”
จีหมิงซิวหลุบตาลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ทำให้ท่านย่าเป็นห่วงแล้ว หมิงซิวผิดเอง ท่านย่าตีหมิงซิวสักทีระบายโทสะดีหรือไม่”
จีเหล่าฮูหยินหันกลับมาถลึงตาใส่เขา “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าใช่หรือไม่”
จีหมิงซิวลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า สองมือประคองไม้เรียวเดินอ้อมโต๊ะน้ำชาแล้วคุกเข่าลงข้างกายจีเหล่าฮูหยิน “ท่านย่า”
“เจ้า…” จีเหล่าฮูหยินมองไม้เรียวที่ทั้งยาวทั้งเย็นเยียบไม้นั้นแล้วอ้ำอึ้งพูดไม่ออก
หรงมามารีบเข้ามาไกล่เกลี่ย “เหล่าฮูหยิน คุณชายกลับมาแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ มีอันใดท่านก็พูดคุยกับคุณชายดีๆ อย่าถึงกับต้องลงโทษตามกฎตระกูลกันเลย ท่านดูคุณชายสิเจ้าคะ ผอมกว่าก่อนหน้านี้อีกแล้ว”
จีเหล่าฮูหยินมองจีหมิงซิวก็พบว่าใบหน้าเกลี้ยงเกลาของเขาซูบผอมลงไม่น้อยจริงๆ นางปวดใจในทันใด แต่ก็ไม่อยากจะให้อภัยเขาเช่นนี้ จึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเล่ามาซิ หนึ่งปีนี้ไปเตร่ที่ไหนมา”
“เพียงไปสงบใจ ขบคิดบางสิ่งเท่านั้น” จีหมิงซิวเอ่ยตอบ
จีเหล่าฮูหยินแค่นเสียงดังเหอะ “ขบคิดอันใด อยู่บ้านขบคิดมิได้หรือ แล้วหาคนมาส่งข่าวสักคนไม่ได้หรือไร”
จีหมิงซิวไม่ตอบ เขาไม่ขบคิดอยู่ที่บ้านย่อมมีเหตุผลที่มิอาจขบคิดอยู่ที่บ้านได้ การที่ไม่ส่งข่าวก็ย่อมมีความลำบากทำให้ส่งข่าวไม่ได้เช่นกัน
จีเหล่าฮูหยินรู้นิสัยของเขา เขาไม่ชอบโพนทะนาเรื่องของตนเอง การออกเดินทางเช่นนี้ก็ไม่ได้เพิ่งทำเพียงครั้งสองครั้ง ทุกช่วงเวลาหนึ่งเขาจะออกจากเมืองหลวงไปครั้งหนึ่ง ใครก็ตามหาเขาไม่เจอ แต่ก่อนหน้านี้สักเดือนหรือสองเดือนก็จะกลับมา แต่ครั้งนี้กลับไปหนึ่งปีเต็ม จะไม่ให้นางร้อนใจได้เช่นไร
“เจ้าขยับมานี่!” นางเอ่ยอย่างฉุนเฉียว
จีหมิงซิวขยับเข้าไปตรงหน้านางสองสามก้าว แล้วนางก็ยกมือขึ้นแล้วจัดสาบเสื้อให้เขา “หลังจากนี้ห้ามทำเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่”
จีหมิงซิวพยักหน้าเล็กน้อย “เข้าใจแล้วขอรับ”
สีหน้าของหญิงชราดีขึ้นเล็กน้อย
จีหมิงซิวหยิบกล่องไม้ท้อที่วาดลวดลายประณีตใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อกว้างแล้วยื่นให้จีเหล่าฮูหยิน จีเหล่าฮูหยินเปิดออกดูก็พบปิ่นทองคำฝังหยกลายผีเสื้อยอกเหย้าบุปผาชุดหนึ่ง มีสามเล่มเป็นปิ่นผีเสื้อ สองเล่มเป็นปิ่นดอกฉยง[1] งามสะกดตาแต่ไม่ฉูดฉาด ให้กลิ่นอายสูงศักดิ์และไว้ตัว
“นี่คือ…ของโบราณสินะ” เหล่าฮูหยินถามอย่างประหลาดใจ
จีหมิงซิวพยักหน้า “ปิ่นสิบสองผีเสื้อเหย้าบุปผาที่จักรพรรดิซื่อจงรัชสมัยก่อนสั่งทำมอบให้พระสนมตระกูลหมิง”
เหล่าฮูหยินดวงตาเริ่มเป็นประกาย “ปิ่นสิบสองเล่มนี้หายไปนานนัก องค์หญิงใหญ่ยังมีเพียงสองเล่ม เจ้าไปหามาจากที่ใดจึงหามาได้ตั้งห้าเล่ม”
มุมปากของจีหมิงซิวยกโค้งขึ้นนิดๆ “เมืองซีหนิว”
เหล่าฮูหยินเอ่ยต่อ “ร้านค้าคงไม่รู้สินะว่านี่คือสิบสองปิ่นของหมิงเฟย หากรู้คงมิยอมขายให้เจ้าแน่”
ร้านต้าฟังไม่รู้จริงๆ ว่านี่คือสิบสองปิ่นของหมิงเฟย เพียงได้ยินคนเล่าว่าเป็นของโบราณชุดหนึ่ง เดิมทีสมควรมีสิบสองเล่ม แต่พวกเขาไม่รู้ว่าเป็นของโบราณอันโด่งดังเช่นนี้ ยามนั้นคนผู้นั้นขโมยของมาจึงรีบร้อนจะปล่อยของจากมือจึงขายให้ร้านต้าฟังราคาถูก ร้านต้าฟังคิดว่าของสิ่งนี้ไม่มีราคาแต่โก่งราคาเสียแปดร้อยตำลึง ทว่าแปดร้อยตำลึงนี่กลับถูกเฉียวเวยต่อจนเหลือหกร้อยตำลึง
แม้จีหมิงซิวไม่ทราบความเป็นมาของปิ่น แต่พอคาดเดาได้ว่าคงมีที่มาที่ไปไม่ถูกต้อง ร้านค้าเองก็ไม่รู้จักสินค้าจึงขายให้ราคาถูก ต้องบอกก่อนว่าปิ่นสองเล่มนั่นในมือองค์หญิงใหญ่ซื้อมาถึงสามพันตำลึงเงิน
สตรีนางนั้นยังจะกังวลว่าต่อราคาได้ไม่พอ แอบถามเขาอีกว่านี่เป็นของโบราณจริงหรือไม่
จู่ๆ จีหมิงซิวก็หัวเราะออกมา
เหล่าฮูหยินกำลังลองประดับปิ่น เห็นหลานชายหัวเราะผ่านกระจกทองแดงถึงกับคิดว่าตนเองตาลาย
หลายปีแล้ว นับตั้งแต่เกิดเรื่องกับลูกสะใภ้ หลานชายคนนี้ก็ไม่เคยหัวเราะอีก นางกำลังจะถามว่าหมิงซิวหัวเราะอะไร นอกประตูก็มีเสียงสาวใช้รายงานว่า “เหล่าฮูหยิน คุณชาย คุณหนูเฉียวมาเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มหดหายไปจากใบหน้าของจีหมิงซิว
เหล่าฮูหยินดวงตาเป็นประกายเอ่ยอย่างดีอกดีใจ “ซีเอ๋อร์มาหรือ รีบเรียกนางเข้ามา”
เฉียวอวี้ซีเปิดม่านเดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้ นางสวมกระโปรงคาดเอวยาวระพื้นสีชมพูกับเสื้อขนกระต่ายสีขาวตัวสั้น ตรงสาบเสื้อใช้แก้วสีชมพูเป็นกระดุม รับกับปิ่นมุกดอกท้อสีชมพูที่ประดับอยู่บนเรือนผม ช่างงามพริ้งเพราดั่งบุหลันเคียงเมฆา
นางมีเรือนร่างอรชร ท่วงท่าสง่างาม ไม่ว่าหมุ่นคิ้วหรือแย้มยิ้มล้วนทำให้ผู้คนหวั่นไหว
นางเดินเข้าไปหาเหล่าฮูหยินอย่างไม่วอกแวก แล้วคำนับอย่างถูกต้องทุกกระเบียดนิ้ว “ขอให้เหล่าฮูหยินมีแต่ศิริมงคล”
เสียงดุจสำเนียงสวรรค์
หลังจากนั้นนางจึงหันกายไปหาจีหมิงซิวแล้วเอ่ยอย่างอ่อนหวานระคนเขินอาย “ขอให้ใต้เท้าสุขภาพแข็งแรง”
จีหมิงซิวผงกศีรษะอย่างเฉยชาเป็นการคำนับคืน
เหล่าฮูหยินพอใจเป็นที่สุด นางจับมือเฉียวอวี้ซีแล้วเอ่ยอย่างดีใจยิ่งนัก “วันนี้หนาวเหน็บ ลำบากเจ้าอุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อนแม่เฒ่าเดียวดายคนนี้เช่นข้า! หมิงซิวเพิ่งมาถึงเมื่อบ่าย ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะให้หมิงซิวไปเยี่ยมเจ้าเมื่อใดดี เจ้าก็มาพอดี!”
ดวงหน้างามประหนึ่งหยกของเฉียวอวี้ซีแดงระเรื่ออย่างรวดเร็ว นางหลุบตาลง เอ่ยเสียงเบาหวิว “ซีเอ๋อร์มาส่งขนมให้เหล่าฮูหยิน เดิมสมควรนำมามอบให้ท่านเร็วกว่านี้ แต่ซีเอ๋อร์แวะไปวัดขอพรให้เหล่าฮูหยินกับใต้เท้าจึงกลับมาสาย”
เหล่าฮูหยินถอนหายใจ “เด็กคนนี้ ช่างใส่ใจเสียจริง หากหมิงซิวกตัญญูได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้า ข้าคงขอบคุณพระพุทธเจ้า!”
เฉียวอวี้ซียิ้มหวาน “ใต้เท้าย่อมกตัญญูต่อท่าน เพียงแต่ใต้เท้าห่วงใยบ้านเมือง มีเรื่องมากมายให้จัดการ ไม่เหมือนซีเอ๋อร์ทุกวันว้างเว้นมิมีงานต้องทำจึงดูขยันขันแข็งกว่าใต้เท้า”
คำพูดนี้ทำให้เหล่าฮูหยินใจอ่อนยวบ ทั้งร่างผ่อนคลาย
เฉียวอวี้ซีสังเกตเห็นปิ่นทองคำประดับหยกบนศีรษะของเหล่าฮูหยิน “เหล่าฮูหยิน ปิ่นของท่านงามยิ่งนัก”
หญิงชราประคองปิ่นแล้วยิ้มแย้มอย่างยากจะอดกลั้น “หมิงซิวซื้อมา!”
“ใต้เท้าตาแหลมยิ่งนัก” เฉียวอวี้ซีเอ่ยชมจากใจ “หากเป็นข้า คงเลือกปิ่นที่เหมาะกับท่านเช่นนี้ไม่ได้”
เหล่าฮูหยินยิ้มอย่างพออกพอใจ “ถ้าเช่นนั้นครั้งหน้าให้หมิงซิวไปเดินตลาดเป็นเพื่อนเจ้า เลือกให้เจ้าสักชุด!”
เฉียวอวี้ซีก้มหน้าอย่างเขินอาย
เหล่าฮูหยินเปิดกล่องขนม ขนมที่เฉียวอวี้ซีให้คนไปซื้อมาจากเมืองล้วนใช้ใบไผ่ห่อ ภายหลังนางรังเกียจว่าดูไม่หรูหราพอ จึงสั่งทำกล่องขึ้นมาโดยเฉพาะ ทั้งประณีตทั้งหรูหรา เพียงราคากล่องหนึ่งใบก็ซื้อขนมได้หนึ่งร้อยชิ้นแล้ว
“โอ๊ะ ปูน้อยตัวนี้ทำออกมาหน้าตาน่าขันเกินไปแล้ว” เหล่าฮูหยินหยิบขึ้นมาชิมคำหนึ่ง “เจ้าดูสิ ซีเอ๋อร์กตัญญูกับข้าเท่าไร ทุกวันล้วนให้คนไปที่เมืองห่างไกลขนาดนั้นเพื่อซื้อของกินให้ข้า!”
จีหมิงซิวไม่ขยับ
เฉียวอวี้ซีจึงเอ่ยว่า “ใต้เท้า ขนมเปี๊ยะปูนี่รสสัมผัสดียิ่ง ทั้งหอมทั้งนุ่ม ในรสเค็มมีรสหวาน ท่านจะต้องชื่นชอบแน่”
“หมิงซิวไม่กินของหวาน” เหล่าฮูหยินอธิบาย
“เช่นนี้เอง ซีเอ๋อร์จะจำไว้” ในใจเฉียวอวี้ซีผิดหวังเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าฟ้ามืดแล้ว เฉียวอวี้ซีจึงลุกขึ้นขอตัวกลับ นอกเรือนมีหิมะโปรยปรายตกหนักตั้งแต่เมื่อใดมิทราบ โลกทั้งใบกลายเป็นสีขาวโพลน
ฮูหยินเท้าปลดม่านลงแล้วเอ่ยกับจีหมิงซิว “หิมะตกหนัก ข้าไม่วางใจ เจ้าไปส่งคุณหนูเฉียวกลับจวนเถอะ”
…
เกล็ดหิมะทยอยโปรยปรายลงมาขับแสงโคมจากบ้านเรือนให้โดดเด่น ทุกบ้านต่างปิดประตูหน้าต่าง ท้องถนนเงียบเหงาวังเวง
ล้อรถกับกีบเท้าม้ากระทบถนนหินเขียวอย่างไม่รีบเร่ง
เฉียวอวี้ซีนั่งอยู่ในรถม้าอันอบอุ่น โถน้ำร้อนสองใบวางอยู่บนขา อีกใบกุมไว้ในมือให้มืออุ่น นางยื่นมือขาวผ่องข้างหนึ่งออกมาเลิกเปิดม่านรถ มองไปยังบุรุษผู้สูงศักดิ์และเย็นชาประหนึ่งจักรพรรดิบนอาชากำยำแล้วเอ่ยเบาๆ “ใต้เท้า ด้านนอกหิมะตกหนัก ท่านเข้ามานั่งในรถเถิด”
“ไม่จำเป็น” จีหมิงซิวสีหน้าไร้อารมณ์
“ถ้าเช่นนั้น…” เฉียวอวี้ซีลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยกับคนขับรถม้าว่า “จอดรถ”
คนขับรถม้าจอดรถม้าที่ข้างทาง
เฉียวอวี้ซีเดินลงจากรถม้า แล้วแหงนหน้ามองผู้ที่อยู่บนอาชาสูงใหญ่ “ใต้เท้า รบกวนท่านลงมาสักประเดี๋ยว”
จีหมิงซิวหยุดแล้วพลิกกายลงจากหลังม้า ผ้าคลุมสีเงินถูกสายลมพัดพลิ้วไหวเป็นวงโค้ง กลิ่นอายบุรุษเฉพาะตัวของเขาพัดมาหาเฉียวอวี้ซี
หัวใจของเฉียวอวี้ซีเต้นผิดจังหวะ ใบหน้าแดง ปลดผ้าพันคอขนเพียงพอนสีขาวของตนเองออกมาพันบนลำคอของเขาแผ่วเบา
[1] ดอกฉยง ดอกไม้สีขาว ออกดอกติดกันเป็นพุ่มตรงปลายกิ่งจนดูคล้ายพุ่มกลมสีขาว