หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 367-2 จิ่งอวิ๋นเฉลียวฉลาด สู้กับสวินหลัน (2)
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 367-2 จิ่งอวิ๋นเฉลียวฉลาด สู้กับสวินหลัน (2)
ตอนที่ 367-2 จิ่งอวิ๋นเฉลียวฉลาด สู้กับสวินหลัน (2)
จีหมิงซิวกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยมุ่งหน้าลงใต้ตามกลิ่นของจิ่งอวิ๋นกับหลิวเกอร์ไป พวกเขาผ่านถนนในตัวเมืองที่คึกคัก ผ่านบ้านพักที่อยู่ในป่า ผ่านถนนเก่าแก่ที่ผู้คนยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ ช่วงแรกของถนนเก่าแก่เส้นนี้ยังพอพบเห็นชาวบ้านได้บ้าง แต่ยิ่งเดินไป ก็เหลือเพียงพวกเขากับศิษย์สำนักโลหิตพิฆาตเท่านั้น
เยี่ยเฟยเจวี๋ยมุ่งหน้าไปสำรวจเส้นทางก่อน ขากลับมาเขาบอกว่า “ไปข้างหน้าอีกก็เป็นภูเขาเหมืองแล้ว เหมืองแห่งนั้นถูกทิ้งร้างมานาน ไม่น่ามีคนอาศัยอยู่”
จีหมิงซิวเอ่ยสีหน้าเครียด “ไปหาดู”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพยักหน้า ใช้วิชาตัวเบาทะยานตัวเข้าไปในภูเขาเหมือง จีหมิงซิวกับศิษย์สำนักโลหิตพิฆาตตามหากันตามทางต่อไป หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ทะยานตัวกลับมาพร้อมเหงื่อโซมกาย สีหน้าเขาดูตื่นเต้นยินดี “เจอแล้ว! ตรงนั้นมีร่องรอยว่าเคยมีคนอยู่มาก่อน แต่เวลานี้ว่างเปล่า ไม่รู้ว่าหายไปที่ใดกันหมด!”
จีหมิงซิวคล้ายจมลงสู่ความคิด ก้าวขาออกเดินไปยังบ้านหลังน้อยที่อยู่ด้านหลังเหมือง
ภายในเรือนดูระเกะระกะเล็กน้อย ไหสุราล้มอยู่ตามพื้น กลิ่นฉุนของสุราถูกลมยามราตรีพัดเข้ามาให้ได้กลิ่น ในกลิ่นนั้นยังเจือกลิ่นสมุนไพรเหมิงฮั่นอยู่จางๆ อีกด้วย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับนักฆ่าเหล่านี้ล้วนเป็นนักฆ่ามือฉมังแห่งยุทธภพ เรื่องอื่นไม่กล้าเอ่ยถึง แต่สมุนไพรเหมิงฮั่นนี้ไม่มีทางผิดแน่
บนโต๊ะอาหารมีจานกับข้าวสิบกว่าอย่างที่เหลืออยู่อย่างละนิดละหน่อย แต่ยังไม่เสีย ไฟที่เตาในห้องครัวก็ยังร้อน น่าจะจุดเมื่อตอนดึกแล้ว ดูจากชามและตะเกียบ จำนวนคนกินน่าจะไม่น้อยกว่าสิบห้าคน แต่เพราะมีเหตุอะไรกันแน่ถึงทำให้คนกลุ่มนี้ทิ้งรังออกไปกันหมดเช่นนี้
จีหมิงซิวเดินเข้าไปด้านใน ห้องนี้แค่ดูก็ว่าเป็นห้องของสตรี บนโต๊ะมีแจกันปักดอกไม้อย่างสวยงามวางอยู่ ซึ่งไม่เข้ากับความหยาบกระด้างของส่วนอื่นๆ ในบ้านเอาเสียเลย จีหมิงซิวหยิบหมอนบนเตียงขึ้นมาก็เห็นหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนี้ดูจากภายนอกแล้วไม่มีอะไรพิเศษ แต่บนปกหนังสือมีตราประทับของสำนักศึกษาหนานซานประทับอยู่
พอเปิดหนังสือดูก็มีเปลือกส้มตกลงมา จีหมิงซิวหยิบเปลือกส้มขึ้นมาดู แล้วหันกลับไปมองตราประทับบนหนังสืออีกครั้ง เขาวิเคราะห์ได้ทันทีว่า “พวกจิ่งอวิ๋นเคยมาที่นี่ แต่หนีออกไปแล้ว พรรคพวกของชางจิวนั้นออกไปตามหาพวกเขา”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยนิ่งอึ้งไปก่อนจะตามด้วยหัวเราะอย่างยินดี “ไม่เสียแรงที่เป็นจิ่งอวิ๋น หนีรอดจากสายตาของคนเยี่ยหลัวตั้งมากเช่นนี้ไปได้เสียด้วย! พวกเราก็รีบไปตามหากันเถิด อย่าได้ให้พวกคนเยี่ยหลัวเหล่านั้นตัดหน้าไปได้เชียว!”
…
ตอนจิ่งอวิ๋นเอาเปลือกส้มชิ้นสุดท้ายเสียบไว้กับกิ่งไม้ข้างทางนั้น พวกเขาทั้งสามก็เหนื่อยกันจนเดินไม่ไหวแล้ว ห่างไปไม่ไกลมีบ้านดินหน้าตากระดำกระด่างตั้งอยู่ บ้านดินหน้าตาเช่นนี้ พวกเขาพบเห็นระหว่างทางที่หนีมาไม่น้อย น่าจะสร้างขึ้นสมัยช่วงแรกเพื่อให้สะดวกต่อการเข้ามาบุกเบิกเหมือง หลังจากคนที่บุกเบิกเหมืองไปแล้ว บ้านเหล่านี้จึงถูกทิ้งร้างไปด้วย
สวินหลันเช็ดเหงื่อตรงขมับ “เข้าไปพักสักเดี๋ยวเถิด พวกเราเดินมาไกลพอแล้ว พักกันสักคืนหนึ่ง พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางต่อ”
หลิวเกอร์เหนื่อยจนไม่อยากขยับตัว โผเข้าไปให้สวินหลันอุ้มทันที
สวินหลันอุ้มเขาเข้าไปในบ้าน
จิ่งอวิ๋นก็ตามไปด้วย
บ้านดินแห่งนี้หลังไม่ใหญ่ มีห้องโถงหนึ่งห้อง ห้องนอนหนึ่งห้อง ลานด้านหลังเชื่อมกับเล้าไก่และห้องครัวกึ่งกลางแจ้ง ภายในบ้านไม่เหลือเครื่องเรือนอะไรแล้ว แต่ยังมีผ้าห่มผืนเก่ากับฟางแห้งอยู่ สวินหลันกับหลิวเกอร์โตมาอย่างได้รับการประคบประหงม เมื่อเห็นสภาพห้องเก่าผุๆ พังๆ เช่นนี้ก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว
จิ่งอวิ๋นเคยอยู่ในบ้านดินที่สภาพผุพังยิ่งกว่านี้มาสองปี เคยไม่มีกระทั่งเตียงสักหลัง จำต้องนอนอยู่บนพื้นที่ปูด้วยฟาง จึงไม่รู้สึกรังเกียจสถานที่เช่นนี้ เพราะไม่ต่างกันสักเท่าไรนัก
เขาเปิดตู้ที่เต็มไปด้วยฝุ่น หอบเอาผ้านวมผืนเก่าออกมาโยนลงกับกองฟาง “ปูสิ”
สวินหลันปรายตามองจิ่งอวิ๋นเรียบๆ ทีหนึ่ง ในตอนนั้นจิ่งอวิ๋นไม่เหมือนเด็กคนหนึ่งเลยจริงๆ สายตาที่ล้ำลึกนั้น ไอเย็นที่แผ่ออกมา แม้กระทั่งสีหน้าก็ยังดูเจือแววกดดัน ช่างคล้ายจีหมิงซิวยิ่งนัก
“ปู เตียง” จิ่งอวิ๋นเอ่ยย้ำทีละคำ
“ข้าปูให้!” หลิวเกอร์กระโดดขึ้นเตียง จัดการสะบัดผ้านวมที่เต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้น สวินหลันอุ้มหลิวเกอร์ลงมาแล้วจัดการปูเตียงเอง
เพียงแต่กลิ่นเชื้อราที่กระจายออกมานั้นรุนแรงเกินไป นางจึงอดขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจไม่ได้
จิ่งอวิ๋นกระโดดขึ้นเตียงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง กอดกระเป๋าหนังสือแน่นแล้วหลับตา
หลิวเกอร์เห็นจิ่งอวิ๋นนอนแล้วเลยปีนขึ้นไปบ้าง ศีรษะน้อยๆ ลงนอนคู่กับจิ่งอวิ๋น อ้าปากหาวแล้วผล็อยหลับไป
พระจันทร์เสี้ยวซ่อนตัวเข้าไปหลังชั้นเมฆจนสุดท้ายไม่เหลือกระทั่งแสงจันทร์ บ้านดินหลังน้อยมืดสนิทลงในที่สุด แม้แต่มือตนเองยื่นออกไปก็มองไม่เห็น
สวินหลันนั่งเงียบๆ อยู่หน้าเตียง มองไปยังความมืดมิดอันไร้ขอบเขต สายตานิ่งลึก
เวลาไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด นานราวกับห้องนี้ถูกแสงสว่างลืมเลือนไปแล้วกระนั้น
หลิวเกอร์รู้สึกตัวขึ้นมาจากแรงสั่นสะเทือน พอตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าตนอยู่ในอ้อมแขนของมารดา ท่านแม่อุ้มเขาอยู่ กำลังวิ่งตรงไปข้างหน้าไม่หยุด เขาขยี้ตาถามว่า “พวกเราจะไปไหนกันหรือ ท่านแม่”
สวินหลันหอบหายใจ “กลับบ้าน”
“จิ่งอวิ๋นเล่า” หลิวเกอร์อ้าปากหาว
สวินหลันไม่ตอบ
หลิวเกอร์กระพริบตาทีหนึ่งแล้วพลันหายจากความงัวเงียทันที เขากวาดตามองไปรอบแล้วไม่เห็นจิ่งอวิ๋น เตะขารัวๆ ต้องการจะลงมายืนเอง
สวินหลันหอบหายใจหนักๆ “อย่าดิ้น! แม่ใกล้จะหมดแรงแล้ว ถ้าเจ้ายังดิ้นอีกแม่จะอุ้มเจ้าไม่อยู่แล้ว!”
หลิวเกอร์ผลักมารดาของตน “ข้าไม่อยากให้ท่านอุ้ม! ท่านปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้!”
สวินหลันตะคอกเสียงต่ำ “เจ้าอย่างอแง!”
หลิวเกอร์ดิ้นสู้เต็มที่ “ท่านปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้! ข้าจะลง!”
สวินหลันอุ้มไว้ไม่อยู่อีก พอมืออ่อน หลิวเกอร์ก็ลื่นตกจากแขนนางไป หลิวเกอร์ไม่รอให้นางได้หยุดพักหายใจ ผลักนางได้ก็ออกวิ่งทันที!
นางคว้าคอเสื้อเขาเอาไว้ กดเตียงต่ำลงพูดว่า “เจ้าจะไปที่ใด”
หลิวเกอร์ดิ้นสู้ “ท่านปล่อยข้า! ข้าจะไปหาจิ่งอวิ๋น!”
สวินหลันกวาดมองโดยรอบอย่างระแวดระวัง “เจ้าเบาเสยงหน่อย!”
หลิวเกอร์ “ไม่เอา!”
สวินหลันทั้งร้อนใจทั้งโมโห คว้าคอเสื้อเขาไว้ไม่ยอมปล่อย “เจ้าจะหาเขาไปไย ดึกดื่นป่านนี้แล้ว เจ้าไม่รู้หรือว่ากลับไปนี่อันตรายมาก”
หลิวเกอร์เอ่ยอย่างดื้อรั้น “ยังไงข้าก็จะไปหาจิ่งอวิ๋น!”
“เจ้า…” อารมณ์โกรธแล่นขึ้นมาจุกที่อกของสวินหลัน
หลิวเกอร์กัดมือนาง นางเจ็บจนต้องคลายมือออก หลิวเกอร์เลยอาศัยจังหวะนั้นวิ่งหนี
สวินหลันไม่รู้เลยว่าบุตรชายของตนแข็งแรงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด นางเกือบไล่ตามเขาไม่ทัน นางคว้าแขนบุตรชายไว้แล้วดึงกลับมากอดพลางเอ่ยอย่างเจ็บปวดว่า “เจ้าดื้อรั้นเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไร! เมื่อก่อนเจ้าเชื่อฟังแม่ที่สุดแล้ว! ดูเจ้าเวลานี้สิ…”
หลิวเกอร์มองนางอย่างทั้งเสียใจและขุ่นเคือง
สวินหลันสะอึกไป ขนตาสั่นไหวเล็กน้อย นางหลุบตาลงจับประคองใบหน้าเขาไว้แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “แม่ทำเพื่อเจ้านะ เชื่อแม่สิ พวกเราต้องไปจากที่นี่”
หลิวเกอร์กำหมัดแน่น “หากเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ นางไม่มีวันทิ้งข้า!”
สวินหลันอึ้งไป
บอกไม่ถูกว่าเสียใจหรือไม่พอใจกันแน่ ขอบตาของหลิวเกอร์แดงระเรื่อขึ้น หน้าอกน้อยๆ กระเพื่อมขึ้นลง “พี่สะใภ้ใหญ่ยังไม่ทอดทิ้งบุตรของท่าน เหตุใดท่านถึงทอดทิ้งบุตรของนาง!”
“…” สวินหลันสะอึกจนพูดไม่ออก
หลิวเกอร์เช็ดตาที่เปียกชื้น “ข้าผิดหวังในตัวท่านมาก!”
ใจของสวินหลันคล้ายถูกมีดกรีดอย่างไรอย่างนั้น นางมองบุตรชายด้วยสายตาตื่นตระหนก เขาอยู่ตรงหน้านางนี้เองแต่กลับคล้ายอยู่ห่างไปไกล นางจับไหล่น้อยๆ ของเขาไว้ เอ่ยอย่างทั้งร้อนรนและลนลาน “เจ้าอย่าพูดเช่นนี้สิ แม่ไม่เหลืออะไรแล้ว แม่เหลือแค่เจ้าคนเดียว เจ้าอย่าผิดหวังในตัวข้า อย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนี้…”
หลิวเกอร์มองนางด้วยสองตาแดงก่ำ “ท่านไม่ให้ข้านอนกับท่าน ไม่ให้ข้ากินของอร่อยๆ แล้วยังทิ้งข้าไปอยู่ที่อื่น เวลานี้ก็ยังมาทิ้งเพื่อนที่ดีที่สุดของข้าอีก… เขาอยู่คนเดียวที่นั่น เขาต้องรู้สึกกลัวแน่!”
หน้าอกของสวินหลันคล้ายมีหินก้อนหนึ่งกดทับลงมา รู้สึกหายใจไม่สะดวกนัก นางเอ่ยเสียงสั่นว่า “เรื่องนั้นไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด เจ้าฟังแม่อธิบายก่อน…”
หลิวเกอร์เอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ข้าเกลียดท่าน!”
สวินหลันอึ้งไป มองบุตรชายของตนอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้าว่าอะไรนะ…”
หลิวเกอร์กำหมัดน้อยๆ ของตน เอ่ยอย่างทั้งเสียใจและโมโหว่า “ข้าบอกว่าข้าเกลียดท่าน! ข้าไม่ต้องการให้ท่านเป็นแม่ข้าอีกต่อไปแล้ว!”
สวินหลันหน้าขาวซีดไปโดยพลัน!