หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 368-1 บิดาและบุตรได้พบหน้า
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 368-1 บิดาและบุตรได้พบหน้า
ตอนที่ 368-1 บิดาและบุตรได้พบหน้า
คืนเดือนมืดที่ลมพัดแรง ภายในเมืองมีเสียงลมพัดโหม คณะที่มุ่งหน้าขึ้นเหนือไม่พบร่องรอยใดๆที่น่าสงสัย อาจารย์ตาฮั่วเลยเปลี่ยนทิศมุ่งหน้าไปอีกที่หนึ่งซึ่งง่ายต่อการหลบซ่อนตัว
บนถนน องครักษ์ที่ถือกระบี่ยาวกำลังไล่หาไปทีละห้อง ถึงจะไม่คิดว่าคนเยี่ยหลัวจะโง่เขลาถึงขั้นจับจิ่งอวิ๋นไปซ่อนไว้ในบ่อน้ำ แต่เพื่อไม่ให้มีอะไรเล็ดรอดไปได้ จึงให้คนไปลองค้นดูอยู่ดี
เหล่าองครักษ์เยี่ยหลัวที่ไม่คิดว่าสตรีนางหนึ่งกับเด็กอีกสองคนจะหนีไปได้ไกลสักเท่าไรนักเช่นกันนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดจึงกลับไปหายังถิ่นฐานเดิมอีกครั้ง
เมื่อเป็นเช่นนั้นทั้งสองฝ่ายจึงได้ประจันหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย
กลุ่มองครักษ์เยี่ยหลัวมีทั้งหมดด้วยกันสามคน คนหนึ่งอายุมากหน่อย ประสบการณ์ค่อนข้างสูง อีกสองคนยังหนุ่ม เพิ่งออกปฏิบัติการณ์ครั้งแรก องครักษ์รุ่นใหญ่เห็นได้ชัดว่าว่องไวกับสภาพแวดล้อมมากกว่าอยู่เล็กน้อย จึงรักษาความระแวดระวังเอาไว้ตลอดเวลา องครักษ์ที่ยังหนุ่มก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพียงแต่ก่อนหน้านี้ดื่มสุราเข้าไปมาก เวลานี้จึงรู้สึกอยากทำธุระเบาขึ้นมา
ทั้งสองไปหาจุดยืนคู่กันแล้วเริ่มจัดการธุระส่วนตัวของตน
แต่แล้วจู่ๆ เงาดำเล็กๆ เงาหนึ่งก็เขยิบเข้ามาใกล้จากทางด้านหลัง เงาดำเล็กๆ นั้นยื่นมือน้อยๆ ออกมาแล้วข่วนเข้าที่หลังขององครักษ์คนขวาให้ทีหนึ่ง
องครักษ์คนขวาหันไปมองสหายของตนแล้วบ่นว่า “ทำอะไรของเจ้าน่ะ”
สหายหน้าตาเหลอหลา “ทำอะไรอะไร”
องครักษ์คนขวาขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ ก่อนจะหันหน้าไปทำธุระของตนต่อ
มือเล็กๆ นั้นยกกระทะใบน้อยขึ้นแล้วฟาดเข้าที่ก้นเขาให้อีกที
เขาเดือดดาลขึ้นมาโดยพลัน ตบบ้องหูสหายให้ทีหนึ่งทันที “แกจะรนหาที่ตายใช่ไหมนี่”
สหายเองทั้งงงทั้งไม่พอใจ ลูบศีรษะที่ถูกอีกฝ่ายตบจนเจ็บแล้วเอ่ยอย่างมีอารมณ์ว่า “เจ้าตบข้าทำไมนี่ อาศัยว่ามาก่อนข้าสองเดือนแล้วถือว่าแน่กว่าหรือไร”
องครักษ์คนขวาไฟโทสะคุกรุ่นขึ้นมา “เอ๊ะ เจ้ายังจะปากแข็งอีก?”
สหายถลึงตาใส่เขาด้วยความแปลกใจ “เจ้ามันประสาท!”
“เจ้า…” องครักษ์คนขวาเงื้อหมัดขึ้นมา ขณะที่กำลังจะชกออกไปนั้น ก็เหลือบไปเห็นพี่ใหญ่ที่อยู่ห่างไปไม่ไกล จึงลดมือลงอย่างดุดัน
ทั้งสองจัดการธุระของตนกันเรียบร้อยแล้วก็สะบัดเล็กน้อย ยกกางเกงและสายคาดเอวขึ้นมา ในขณะที่กำลังจะรัดกลับอย่างเก่านั้น องครักษ์ทางด้านขวาก็ถูกข่วนให้อีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่ทนอีกต่อไปแล้ว เงื้อหมัดชกใส่หน้าสหายของตนทันที!
โบราณว่าไว้ได้ดีนัก ชกคนไม่ชกหน้า การถูกตบโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุนั่นก็แล้วไปเถิด เห็นแก่ประสบการณ์เขาที่มากกว่าเขาจะยอมทนให้ แต่กระนั้นเขาก็ดันชกเข้าที่หน้าตน สหายรู้สึกว่าตนทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
สหายสวนหมัดกลับไปอย่างไม่มีเกรงใจ หมัดนี้ของเขาก็ชกเข้าที่หน้าอีกฝ่ายเช่นกัน
องครักษ์คนขวาเดิมทีก็อาศัยว่าตนอยู่มาก่อน มีศักดิ์สูงกว่าขั้นหนึ่ง มีหรือจะยอมให้ลูกกระจ๊อกคนหนึ่งมาต่อยตนเช่นนี้ เขาจึงไม่พูดพร่ำทำเพลง ชกกลับจนชุลมุนวุ่นวายไปหมด
องครักษ์รุ่นใหญ่เห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีจึงรีบมาห้ามทั้งสองไว้ “พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ”
พอพูดจบก็เหลือบไปเห็นเงาดำเงาหนึ่งแวบผ่านหน้าตนไป ถึงจะว่องไวแต่ด้วยสายตาที่เป็นเลิศของเขาจึงยังมองเห็นทัน เขาควักกระบี่ที่เสียบอยู่ตรงเอวขึ้นมา ค่อยๆ เดินเข้าไปใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างหน้า จากนั้นก็ลอยตัวขึ้นฟันไปยังเงาดำที่อยู่หลังต้นไม้นั้น
เจ้าเงาดำตัวนั้นพลันขนตั้งชัน รีบปีนขึ้นต้นไม้ไปทันที!
“ที่แท้ก็เจ้าลิงนี่เอง!” องครักษ์รุ่นใหญ่เก็บกระบี่อย่างดูแคลนแล้วหันหลังเดินไปหาลูกน้องทั้งสองที่ยังชกต่อยกันให้วุ่นอยู่ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าพอเดินเข้าไปก้าวหนึ่ง สัญชาตญาณของคนฝึกวรยุทธ์ก็ทำให้เขารู้สึกเย็นวาบที่ท้ายทอย เขารีบหมุนตัวกลับไปก็เห็นว่าเจ้าลิงดำตัวนั้นกำลังเอาหางเกี่ยวห้อยลงมาจากกิ่งไม้ ในมือทั้งสองข้างของมันมีกระทะใบเล็ก เห็นได้ชัดว่าเจ้าลิงน้อยไม่คิดว่าเขาจะหันกลับมา จึงอึ้งงันไปทันที มือที่ถือกระทะอยู่ก็แข็งค้างอยู่กลางอากาศ ตาที่เบิกกว้างกะพริบปริบๆ หนึ่งคนหนึ่งวานรนิ่งค้างกันอยู่อย่างนั้น
แล้วจู่ๆ ลิงตัวนั้นก็ฟาดกระทะลงมาใส่ศีรษะเขาเต็มๆ! ฟาดเสร็จแล้วยังกระโดดฉิวขึ้นต้นไม้ไปอีกด้วย!
เสียงที่ดังสนั่นนั้นทำให้องครักษ์ที่สองคนที่กำลังชกต่อยกันอยู่อึ้งงันไป ทั้งสองพากันหยุดมือแล้วมองมายังองครักษ์รุ่นใหญ่ จึงเห็นว่าเขาโบกกระบี่ในมือฟันกิ่งไม้ให้วุ่นไปหมด จากนั้นลิงดำตัวหนึ่งก็กระโดดหนีออกมา
ลิงตัวนั้นท่าทางประหลาดยิ่งนัก ที่หลังมันมีกระบี่ไม้อันหนึ่งสะพายอยู่เสียด้วย
ดูท่าจะไม่ใช่ลิงป่าที่อยู่ตามธรรมชาติ
มันทำร้ายสหายของพวกเขา ต้องไม่ประสงค์ดีแน่!
เมื่อตระหนักได้ถึงปัญหาข้อใหญ่นี้ ทั้งสองก็ลดความเป็นอริต่อกันลง มุ่งเข้าไปหมายจะสังหารลิงดำตัวนั้นทันที
กระทะใบน้อยของจูเอ๋อร์ถูกองครักษ์รุ่นใหญ่ฟันกระเด็นไปแล้ว มันขึ้นอยู่บนกิ่งไม้แล้วเริ่มชักกระบี่ออกมา
ข้าชัก ข้าชัก ข้าชักๆๆ!
ชักไม่ออก
องครักษ์รุ่นใหญ่มือกระชับกระบี่ แทงไปทางหน้าอกของมัน ในชั่วพริบตานั้นเงาคนสีเทาขาวก็เคลื่อนลงมาจากบนฟ้า ฟาดฝ่ามือกลางอากาศ ลมจากฝ่ามือนั้นกระแทกใส่หน้าอกขององครักษ์รุ่นใหญ่จนตัวเขากระเด็นออกไป แต่กระนั้นทั้งหมดก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ลมที่เหลือจากฝ่ามือนั้นพุ่งไปกระแทกถูกองครักษ์สองคนที่กำลังตามเข้ามาด้วย ทั้งสองเลยถูกลมหอบนั้นกระแทกใส่จนกระเด็นไปไกลเช่นกัน พวกเขาล้มกระแทกลงกับพื้น กระอักเลือดสดๆ ออกมาและลุกขึ้นมาไม่ไหวอีก
ปัก!
ในที่สุดจูเอ๋อร์ก็ชักกระบี่ไม้ออกเสียที แต่กลับจับไว้ไม่มั่นจนหล่นลงไป!
มันคว้ากระบี่ไม้ขึ้นมาวิ่งไปหาองครักษ์ทั้งสาม แล้วใช้กระบี่เคาะศีรษะทั้งสามดังป๊อกๆๆ องครักษ์ทั้งสามที่เดิมก็เหลือเพียงลมหายใจสุดท้ายจึงถูกจูเอ๋อร์เคาะจนลุกไม่ขึ้นอีกเลย จูเอ๋อร์เก็บกระบี่ไม้กลับอย่างเย่อหยิ่ง สองมือไพล่หลัง แล้วเดินอาดๆ เข้าไปหาอาจารย์ตาฮั่ว
หลังจากนั้นก็เจอคนเยี่ยหลัวอีกหลายคน ทุกคนล้วนถูกอาจารย์ตาฮั่วจัดการจนหายใจรวยริน จูเอ๋อร์ก็ไล่เคาะศีรษะทุกคนไปด้วย ถือว่าได้เป็นผู้จบงานสมใจอยาก
…
ภายในป่าอันเงียบสงัด หลิวเกอร์เดินจนขาแทบจะหลุดอยู่แล้วและในที่สุดเขาก็ได้เห็นบ้านดินหลังน้อยนั้นอีกครั้ง เขาเอามือเท้าต้นไม้พลางหอบหายใจหนักๆ
สวินหลันบอกเสียงเบาว่า “แม่อุ้มเจ้านะ”
หลิวเกอร์ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยทันที “ไม่ให้ท่านอุ้ม!”
ใจของสวินหลันเจ็บจนคล้ายมีมีดกรีดลงมา “เจ้าอย่าโกรธแม่เลย แม่ทำผิดไปแล้ว แม่จะไม่ทิ้งเจ้าไปอีกแล้วได้หรือไม่”
หลิวเกอร์ไม่พูดอะไร
สวินหลันจับมือเขาไว้ “แม่รับปากเจ้าว่า จะไม่ทิ้งเขาไว้เช่นนี้อีกแล้ว”
หลิวเกอร์มองนางด้วยสายตาดื้อรั้น สวินหลันจึงระบายยิ้มอ่อนโยน “อยากเกี่ยวก้อยสัญญาหรือไม่”
หลิวเกอร์ลังเลไปเล็กน้อยก่อนจะยื่นนิ้วเล็กๆ ของตนออกไป สวินหลันคลี่ยิ้มพลางเกี่ยวก้อยกับบุตรชาย
จากนั้นหลิวเกอร์ก็เข้าไปในห้อง จิ่งอวิ๋นหันหลังให้ประตู ท่าทางคล้ายกำลังหลับสนิท เขาจึงโล่งอก วิ่งเข้าไปตบไหล่จิ่งอวิ๋น “จิ่งอวิ๋น ลุกขึ้นเร็วเข้า”
จิ่งอวิ๋นหันหน้ามา สายตาทั้งวาวทั้งใส ดูไม่มีแววสะลึมสะลือจากความง่วงเลยสักนิด สายตาเขามองผ่านหลิวเกอร์ไปยังใบหน้าของสวินหลัน สายตาที่เย็นยะเยือกและคมกริบนั้นทำให้หัวคิ้วของสวินหลันเต้นตุบๆ ขึ้นมาทันที นางรู้ทันทีว่าจิ่งอวิ๋นน่าจะรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนที่นางอุ้มหลิวเกอร์ออกไปแล้ว เพียงแต่เขาไม่ได้ห้ามปรามและไม่ได้ส่งเสียงอะไรเท่านั้น
เขาคิดไว้ก่อนแล้วว่าพวกตนต้องกลับมาหรือหวังให้นางพาหลิวเกอร์จากไปอย่างปลอดภัยจริงๆ กันแน่
ในใจสวินหลันไม่มีคำตอบให้กับคำถามนี้
หลิวเกอร์ดึงแขนจิ่งอวิ๋น “จิ่งอวิ๋น พวกเราต้องไปแล้ว!”
จิ่งอวิ๋นบอกว่า “น่ากลัวว่าคงไปไม่ทันแล้ว”
สายตาสวินหลันพลันเปลี่ยนไป มองออกไปด้านนอกจากช่องหน้าต่าง แล้วก็เห็นเงาองครักษ์หลายคนกำลังเดินมาทางนี้จริงๆ สวินหลันรีบดึงปิดหน้าต่างบานเก่าทันที
จิ่งอวิ๋นกระโดดลงมา จับมือน้อยๆ ของหลิวเกอร์พาเดินไปยังลานด้านหลัง
ตรงลานด้านหลังมีกองหญ้า จิ่งอวิ๋นแหวกหญ้าแล้วให้หลิวเกอร์มุดเข้าไป สวินหลันลังเลเล็กน้อยและคิดที่จะมุดตัวเข้าไปในนั่นเช่นกัน
จิ่งอวิ๋นเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ตรงนี้ใหญ่ไม่พอ มุดเข้าไปไม่ได้แล้ว”
ใบหน้าสวินหลันดูแข็งค้าง ไม่มีเวลามาซักไซร้จิ่งอวิ๋นว่าเขาตั้งใจหรือไม่กันแน่ นางข่มโทสะเอาไว้แล้วมุดเข้าไปซ่อนในโอ่งน้ำที่มีจอกแหนขึ้นเต็มไปหมด
องครักษ์คณะนี้ก็มีสามคนเช่นกัน ทั้งสามเข้าไปค้นในบ้านรอบหนึ่งแล้วไม่เจออะไร จึงมาที่ลานด้านหลังแล้วแทงดาบเข้าไปในกองหญ้า
จิ่งอวิ๋นกับหลิวเกอร์เห็นกระบี่เล่มหนึ่งแทงเข้ามาตรงกลางระหว่างพวกเขาสองคน หลิวเกอร์ตกใจจนหน้าน้อยๆ ซีดขาว
“ไม่มี!” องครักษ์ชักกระบี่กลับไป
อีกด้านหนึ่งองครักษ์ก็ชักกระบี่ออกมาทิ่มลงไปในโอ่งน้ำ สวินหลันหลบเลี่ยงไปได้อย่างระมัดระวัง ใจเต้นจนแทบจะกระดอนขึ้นมาถึงลูกกระเดือก
“ไม่มี!” องครักษ์ผู้นี้ก็ดึงกระบี่กลับไปเช่นกัน
ทั้งสามหมุนตัวจากไป
เมื่อมั่นใจว่าทั้งสามเดินไปไกลแล้ว จิ่งอวิ๋นถึงได้ปีนออกมาจากกองหญ้า พอออกมาแล้วเห็นหลิวเกอร์ยังนิ่งอยู่จึงถามด้วยความสงสัย “เหตุใดเจ้าถึงไม่ออกมาเล่า เจ็บตรงใดหรือไม่”
หลิวเกอร์ส่ายหน้าอยู่ในกองหญ้า
แต่ส่ายหน้าไปจิ่งอวิ๋นก็มองไม่เห็น
“เจ้าตอบข้าสิ!” จิ่งอวิ๋นบอก
หลิวเกอร์เลยกระซิบเสียงเบาว่า “ข้า…ข้า…ฉี่รดกางเกง…”
จิ่งอวิ๋นใส่กางเกงอยู่สองตัว จึงถอดตัวนอกแล้วยื่นเข้าไปให้ “เอ้า”
หลิวเกอร์เปลี่ยนกางเกงเสร็จแล้วถึงได้ปีนออกมาทั้งหน้าแดงก่ำ
สวินหลันโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ สูดหายใจยาวๆ ให้ทีหนึ่ง นางสงสัยอย่างรุนแรงว่าจิ่งอวิ๋นกำลังแกล้งนาง กองหญ้านั้นมีความเป็นไปได้มากที่นางจะเข้าไปอยู่ได้อีกคน แต่จิ่งอวิ๋นไม่ยอมให้นางเข้าไป
สวินหลันออกมาจะโอ่งน้ำ เนื้อตัวเปียกมะล่อกมะแล่ก ลมยามราตรีพัดมา หนาวจับจิตจับใจ นางไม่ทันเห็นว่ากางเกงบุตรชายของตนเปลี่ยนไป กอดแขนที่หนาวจนสั่นสะท้านของตนพลางเอ่ยว่า “ข้าต้องจุดไฟสักหน่อย”
จิ่งอวิ๋นบอกว่า “ไม่มีเวลาแล้ว อีกไม่นานพวกเขาต้องกลับมาแน่”
สวินหลันมองเขาด้วยความสงสัย “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
จิ่งอวิ๋นหันไปมองป้ายคำสั่งบนพื้น
…