หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน - ตอนที่ 389-1 วั่งซูออกศึก!
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน
- ตอนที่ 389-1 วั่งซูออกศึก!
ตอนที่ 389-1 วั่งซูออกศึก!
จูเอ๋อร์กับต้าไป๋รอเสี่ยวไป๋อยู่ตรงทางเดิน รอแล้วรอเล่าเสี่ยวไป๋ก็ยังไม่ออกมา พวกมันเตรียมตัวจะจัดงานฌาปนกิจให้เสี่ยวไป๋อยู่แล้ว ทันใดนั้นประตูห้องก็ส่งเสียงดังแกรกแล้วเปิดออก
เสี่ยวไป๋ลากธนูคันใหญ่ที่ใหญ่กว่าตัวมันหลายเท่าออกมาด้วย มันเดินออกมาพร้อมเหงื่อท่วมตัว
จูเอ๋อร์กับต้าไป๋ตาเป็นประกาย รีบกระโดดลงไปทันที จากนั้นเหล่าสหายเดรัจฉานน้อยก็แบกธนูคันโตวิ่งไปทางพงหญ้าในสวนด้วยกัน
อินทรีทองเห็นเหล่าลูกสัตว์ตัวจ้อยแล้ว กรงเล็บขวาของมันขยุ้มอากาศ ทันใดนั้นกลไกก็ทำงาน แรงมหาศาลส่งร่างกายของมันเหินออกจากหลังคา
ตัวมันสยายปีกใหญ่สองข้าง ร่อนลงมาถึงพื้นหญ้า จากนั้นกลไกที่กรงเล็บข้างซ้ายกับกรงเล็บข้างขวาก็คว้าจับธนูคันใหญ่ไว้อย่างรวดเร็วโดยไม่บุบสลายแม้แต่น้อย!
บนสายธนูของธนูคันใหญ่มีลูกสัตว์ตัวจ้อยห้อยอยู่สามตัว ลูกสัตว์ตัวน้อยโบกมือให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายที่เฝ้าเวรยามกลางคืนอยู่โดยไม่สังเกตเห็นอะไรสักนิดตรงทางเดิน แล้วลาลับหายไปกับริ้วเมฆ
หนึ่งวิหคกับสามเดรัจฉานนำธนูจันทร์โลหิตกลับมาถึงตระกูลจีได้อย่างปลอดภัย
เวลานี้ค่อนข้างดึกแล้ว ฮองเฮาเยี่ยหลัวกับเด็กน้อยทั้งหลายต่างเข้าสู่ห้วงนิทรา บ่าวรับใช้ทยอยกลับห้อง มีเพียงจีหมิงซิวกับพวกเฉียวเวยที่ยังไม่ง่วงแม้แต่น้อย พวกเขานั่งอยู่ในห้องด้านหน้าของบ้านชิงเหลียนเฝ้ารอผลลัพธ์อย่างเงียบๆ
ผลปรากฏว่าเจ้าสัตว์น้อยทั้งสี่ตัวไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง พวกมันแบกธนูจันทร์โลหิตมาวางบนโต๊ะอย่างครบถ้วนสมบูรณ์!
ฟู่ววว!
เจ้าลูกสัตว์ตัวน้อยทั้งสามตัวหอบหายใจแฮ่กๆ
เฉียวเวยให้รางวัลสัตว์ทั้งสามเป็นถังหูลู่ตัวละไม้
เจ้าสัตว์น้อยกอดถังหูลู่ลูกใหญ่กลมโตแล้วยังวาววับกลับห้องไปอย่างอิ่มเอมใจ!
อินทรีทองรอคอยรางวัลของตนเองเช่นกัน
เฉียวเวยเดินมือเปล่าไปถึงข้างตัวมันแล้วตบหัวของมันเบาๆ “วันพรุ่งนี้อนุญาตให้เจ้ากินเสี่ยวไป๋ได้สองครั้ง”
อินทรีทอง ตกลง!
…
ต่อจากนั้นทุกคนก็เริ่มศึกษาธนูคันนี้
เริ่มจากมองดูรูปลักษณ์ภายนอก ธนูคันนี้เมื่อเทียบกับธนูคันอื่นไม่มีจุดที่พิเศษกว่าสักเท่าใด แม้แต่ตราสัญลักษณ์ที่บ่งบอกความพิเศษสักตำแหน่งก็ไม่มี ขนาดของมันเล็กกว่าคันธนูยาวในท้องตลาดอยู่เล็กน้อย ส่วนเรื่องน้ำหนักนั้นหนักกว่าอยู่บ้าง
เฉียวเวยลองชั่งน้ำหนักธนูในมือ “กำลังแขนของราชครูคงดีเยี่ยมพอตัว”
ธนูในท้องตลาดส่วนใหญ่เป็นธนูไม้ คนที่ไม่ขาดแคลนเงินอาจซื้อธนูที่สร้างจากไม้ผสมกับเหล็ก ส่วนธนูเหล็กล้วนต้องสั่งทำ แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มี ครั้งหนึ่งตอนเฉียวเวยไปเยี่ยมหลัวหย่งเหนียนที่โรงตีเหล็ก นางเคยบังเอิญเห็นเขาตีคันธนูเหล็กให้ผู้อื่นอยู่
เฉียวเวยทราบว่าหมิงซิวมีหน้าไม้พิฆาตเทวาอยู่ในครอบครอง หน้าไม้อันนั้นทำมาจากโลหะทั้งหมด มีระยะยิงที่ไกลยิ่งนัก ความเร็วลูกดอกก็รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ กำลังปะทะก็รุนแรงอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าเป็นราชาในหมู่หน้าไม้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าหน้าไม้ของหมิงซิวเมื่อประจันหน้ากับธนูของราชครูแล้ว ชิ้นไหนจะเหนือกว่า
“เหตุใดจึงไม่มีลูกธนู” เฉียวเวยพึมพำ
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “ธนูจันทร์โลหิตไม่มีลูกธนู”
เฉียวเวยกะพริบตาปริบๆ “ไม่มีลูกธนูหรือ ถ้าเช่นนั้นจะสังหารคนได้อย่างไร”
ฟู่เสวี่ยเยียนส่ายหน้า “ข้าก็ไม่เข้าใจ แต่มันก็สังหารคนเช่นนั้น”
“ธนูจันทร์โลหิตไร้ลูกธนู กระบี่โหราจารย์ไร้คม” เฉียวเวยเลิกคิ้วเรียวของตัวเองแล้วหันไปมองจีหมิงซิวที่อยู่หลังโต๊ะหนังสือ “บรรพจารย์ของพวกท่านช่างน่าสนใจจริงๆ”
จีหมิงซิวผายมือ
“ธนูคันนี้ร้ายขนาดนั้นจริงหรือ ข้าลองดูหน่อย!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพูดพลางก็หยิบธนูจันทร์โลหิตมาจากมือของเฉียวเวย
ไม่อาจไม่พูดว่าธนูคันนี้เป็นธนูดีที่สุดที่เขาเคยเห็นนับตั้งแต่ท่องยุทธภาพมานานขนาดนี้ เขาอยู่กับอาวุธลับและอาวุธมานานปี ดีหรือไม่ดี สัมผัสทีเดียวก็ทราบแล้ว
เฉียวเวยลุกขึ้นไปหยิบลูกธนูดอกหนึ่งในกระบอกลูกธนูส่งให้เขา “ลองกับสิ่งนี้ก็แล้วกัน!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพาดลูกธนูลงบนสาย จากนั้นจึงขยับเท้า ออกแรงแขนเริ่มง้างธนู
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงอย่างยิ่งก็คือเขาง้างไม่ออก!
ทุกคนมองเขาอย่างแปลกใจ
เขาเพิ่มกำลังมากขึ้นอีก แต่ก็ยังง้างไม่ออกเหมือนเดิม!
สายธนูราวกับเป็นของปลอม มันไม่มีความยืดหยุ่นแม้แต่น้อย!
เหตุเพราะออกแรงมากเกินไป หน้าผากของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยจึงมีเส้นเลือดสีเขียวปูดนูนขึ้นมา แต่เขาก็ยังคงง้างสายธนูไม่ออกสักนิดเช่นเดิม
เฉียวเวยขมวดคิ้วอย่างสงสัย “ข้าเอง”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหอบหายใจแฮ่กๆ ส่งธนูจันทร์โลหิตให้เฉียวเวย
แต่เดิมคิดว่าด้วยพละกำลังของเฉียวเวยสมควรง้างออกแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเฉียวเวยก็เป็นเหมือนเยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่มีผิด นิ้วมือของเฉียวเวยง้างสายจนแดงก่ำ
จีหมิงซิวดึงมือของนางออกอย่างปวดใจ “ไม่ต้องง้างแล้ว เจ้าง้างไม่ได้หรอก”
เฉียวเวยถามอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดเล่า”
จีหมิงซิวลูบปลายนิ้วที่แดงระเรื่อของนาง แล้วอธิบายว่า “ธนูจันทร์โลหิตกับกระบี่โหราจารย์ล้วนเป็นสมบัติที่ผู้อาวุโสคนนั้นทิ้งเอาไว้ เจ้าดึงกระบี่โหราจารย์ไม่ออก ย่อมง้างธนูจันทร์โลหิตไม่ได้เช่นกัน หากข้าเดาไม่ผิด คงมีแต่ผู้สืบทอดวิชาของอาจารย์ไสยเวทเท่านั้นจึงจะง้างธนูจันทร์โลหิตได้”
เฉียวเวยกระทืบเท้า “ร้ายถึงเพียงนั้นเชียว!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่เชื่อเรื่องคาถาอาคม เขาเอื้อมมือมาจับธนูจันทร์โลหิต ธนูคันนี้หนักอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับถือไม่ไหว เขาออกแรงง้างสายธนู สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงระคนยินดีก็คือสายธนูกลับขยับเล็กน้อย
ดวงตาของทุกคนเป็นประกายพร้อมกัน!
แต่ไม่ว่าผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้ดีใจจนพอ สายธนูที่ขยับคลายตัวเล็กน้อยนั่นก็ดีดดังผึง!
ใต้เท้าเจ้าสำนักกุมหน้าอกทรุดล้มก้นจ้ำเบ้าบนเก้าอี้!
ทุกคนถูกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ทำเอาตกใจจนตาค้าง เพียงชั่วพริบตาใต้เท้าเจ้าสำนักก็หน้าซีดเผือด เหงื่อเย็นเฉียบไหลซึม ริมฝีปากเริ่มไร้สีเลือด ลมหายใจหอบหนักและปั่นป่วน
“เจ้าเป็นอะไร” ฟู่เสวี่ยเยียนคว้ามือของเขาไว้
ใต้เท้าเจ้าสำนักหอบหายใจอย่างยากลำบาก “ข้า…”
เฉียวเวยเดินอ้อมมาหยุดตรงหน้าเขา สามนิ้วยกขึ้นวางบนแขนจับชีพจรดูเงียบๆ ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็ขมวดคิ้วบอกว่า “พิษของเขากำเริบอีกแล้ว”
“เหตุใดจู่ๆ ก็กำเริบขึ้นมาได้” ฟู่เสวี่ยเยียนกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามขึ้นมาเป็นเสียงเดียว
สายตาของทุกคนหันไปจับบนธนูคันนั้น
เฉียวเวยค้นยาเม็ดหนึ่งส่งให้ใต้เท้าเจ้าสำนัก ใต้เท้าเจ้าสำนักกินยาลงไปแล้วรับถ้วยน้ำที่ฟู่เสวี่ยเยียนส่งมาให้ดื่มน้ำตามไปหนึ่งคำ
ฟู่เสวี่ยเยียนเห็นเขาไม่เป็นอะไรแล้วจึงก้มมองมือของตนเอง ขนตาสั่นไหววูบหนึ่งก่อนจะปล่อยมือออก
แต่เพิ่งคลายมือไม่ทันไรก็ถูกใต้เท้าเจ้าสำนักคว้าไปกุมไว้อีกครั้ง เขากุมไว้แน่นจนสิบนิ้วประสานกัน
คนที่อยู่ด้านข้างไม่ได้สังเกตการกระทำเล็กน้อยของทั้งสองคน พวกเขาจับจ้องธนูคันนั้นเขม็ง ใจอยากรู้ว่าเรื่องเมื่อครู่เกี่ยวข้องกับมันหรือไม่
จีหมิงซิวเอื้อมมือเรียวยาวประหนึ่งหยกออกมายกธนูจันทร์โลหิตขึ้นมาอย่างช้าๆ
แววตาของเฉียวเวยวูบไหว “หมิงซิว…”
จีหมิงซิวผู้มีสีหน้านิ่งสงบเดินไปถึงริมหน้าต่างแล้วยกแขนซ้ายขึ้น มือกำส่วนมือจับของคันธนู ปลายนิ้วมือขวาเหนี่ยวสาย เล็งไปยังต้นท้อต้นหนึ่งนอกหน้าต่าง ฟึบ! เสียงดึงสายธนูดังขึ้น
เฉียวเวยได้ยินเสียงแหลมสูงที่เหมือนมีแต่ก็เหมือนไม่มีดังขึ้นเลือนราง แก้วหูสองข้างเจ็บแปลบอยู่นิดๆ ร่างกายของนางสั่นสะท้าน
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง อาจารย์ตาฮั่วก็ตบหนึ่งฝ่ามือลงบนแผ่นหลังของจีหมิงซิว ร่างกายของจีหมิงซิวกระตุกวูบ ธนูจันทร์โลหิตร่วงตกลงบนพื้น
อาจารย์ตาฮั่วชักมือกลับมา
จีหมิงซิวหันกลับมาช้าๆ มุมปากมีคราบเลือดติดอยู่สายหนึ่ง “ธนูคันนี้ แตะต้องไม่ได้จริงๆ”
เมื่อครู่โชคดีที่อาจารย์ตาฮั่วลงมือว่องไว มิเช่นนั้นเขาคงเส้นลมปราณขาดสะบั้นไปแล้ว ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้นเขาก็ถูกแรงสะท้อนกลับทำร้ายอยู่ส่วนหนึ่ง
มาจนถึงตอนนี้พวกเฉียวเวยนับว่ามองออกกันถ้วนหน้าแล้ว ธนูคันนี้สังหารผู้อื่นได้หรือไม่ พวกเขาไม่แน่ใจ แต่มันเป็นดาวข่มของสองพี่น้องตระกูลจีอย่างแท้จริง
มันกระตุ้นพิษฝ่ามือในร่างของทั้งสองคนทำให้พิษของทั้งสองคนกำเริบจนถึงแก่ความตายได้
วันพรุ่งนี้ขอเพียงจีหมิงซิวกล้ารับคำท้า เขาต้องตายด้วยธนูจันทร์โลหิตของราชครูเยี่ยหลัวอย่างแน่นอน
เฉียวเวยรีบให้จีหมิงซิวกินยาหนึ่งเม็ด แล้วเอ่ยขึ้นอย่างโมโหโทโส “เจ้าเฒ่าหนังเหนียวคนนี้! ช่างเจ้าเล่ห์แสนกลเกินไปแล้วจริงๆ! ข้าว่าหนนี้เขาเตรียมตัวมาตั้งแต่แรกแล้ว! เขาตั้งใจจะสังหารหมิงซิว!”
ไม่ใช่เพียงหมิงซิว เกรงว่าแม้แต่เจ้าซื่อบื้อก็คงไม่โชคดีรอดพ้น นอกเสียจากเจ้าซื่อบื้อจะไม่ไปปรากฏตัวที่ลานประลอง ไม่อย่างนั้นพอพลังของธนูจันทร์โลหิตถูกใช้งาน พิษฝ่ามือที่จะถูกกระตุ้นให้กำเริบย่อมไม่ใช่ของหมิงซิวแค่เพียงคนเดียว
ช่างเป็นความคิดที่ชั่วร้ายมาก!
หมิงซิวกับเจ้าซื่อบื้อไม่เคยล่วงเกินราชครู แม้บรรพบุรุษของทั้งสองตระกูลจะเคยแข่งขันกันก็จริง แต่นั่นก็เป็นเรื่องตั้งแต่อดีตกาลที่ผ่านมาเนิ่นนานจนทุกสิ่งสลายเป็นธุลีหมดแล้ว ต่อให้ทั้งสองฝ่ายมีความบาดหมางกันอยู่บ้าง แต่นั่นก็เป็นเพียงความเกลียดชังที่มีต่ออีกฝ่ายเท่านั้น พูดกันตามตรงแล้วไม่สมควรถึงขั้นต้องเข่นฆ่าล้างบางกันให้หมดสิ้น
เขาทำเช่นนี้ น่าจะเป็นเพราะเอาความแค้นที่มีต่ออวิ๋นจูในอดีตมาคิดบัญชีกับเจาหมิงและน้องสาวของนางรวมทั้งหมิงซิวและน้องชายของเขามากกว่า!
แต่เดิมพวกเขาขโมยธนูจันทร์โลหิตมาเพราะต้องการศึกษาหาจุดอ่อนของมัน แต่เมื่อเห็นเช่นนี้ แผนการนี้คงใช้ไม่ได้แล้ว
เพราะไม่ว่ามันจะมีจุดอ่อนอะไรก็เปลี่ยนความจริงที่ว่ามันกระตุ้นพิษฝ่ามือเก้าสุริยันไม่ได้
และราชครูเองก็ทราบเรื่องนี้ ดังนั้นเขาถึงวางกับดักเช่นนี้ไว้ให้หมิงซิว
วันพรุ่งนี้ขอเพียงจีหมิงซิวเดินขึ้นไปบนเวทีประลองก็จะไม่มีหนทางรอดชีวิตลงมาได้อีก
เฉียวเวยกัดฟันกรอด นางหันไปมองเจ้าซื่อบื้อแล้วว่า “เจ้าพูดถูกแล้ว ชั่วร้ายกว่านางปีศาจเฒ่าฝูงนั้นของตำหนักธิดาเทพมากจริงๆ!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลิกคิ้ว “ใช่หรือไม่เล่า!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยขึ้นมาว่า “แล้วการประลองวันพรุ่งนี้จะทำอย่างไร ให้ข้าขึ้นไปแทนดีหรือไม่”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “ตกลงกันไว้ว่าจะประลองกับกระบี่โหราจารย์ของตระกูลจีไม่ใช่หรือเจ้าชักกระบี่โหราจารย์ออกมาได้หรือไร”
“เรื่องนี้…” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสะอึก
ใต้เท้าเจ้าสำนักแค่นเสียงหยันบอกว่า “อย่างมากก็แค่ทำลายมันเสียก็สิ้นเรื่อง!”
เขาพูดเช่นนี้ แล้วก็ลงมือทำเช่นนี้ทันที